[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
วันแรกของการเดินทางทริปยาวๆ 15 วัน อินเจแปน มาถึงแล้ว ทริปนี้จะเป็นทริปญี่ปุ่นครั้งที่ 3 นั่นคือ ญี่ปุ่น ภาค 3 นั่นเอง ใครยังไม่เคยอ่านภาค 2 และ ภาคแรก เชิญนะครับ...วันนี้จะเสียเวลาไปกับการเดินทางเต็มๆ โดย
1)เครื่องบินแอร์เอเชียเอ๊กซ์ ไฟล์ท XJ606 จากสนามบินดอนเมืองไปสนามบินนาริตะ โตเกียว ประมาณ 6 ชั่วโมง และต่อด้วย
2)รถไฟสายเคเซเมนไลน์(Keisei Main Line) จากสนามบินนาริตะไปอูเอโนะ 70 นาที
แล้วพอไปถึงอูเอโนะก็จะเดินไปเช็คอินที่โรงแรมแคปซูลที่จองไว้ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับสถานีรถไฟอูเอโนะเลย แล้วก็ออกมาเดินหาอะไรทานก่อนจะกลับไปที่พักต่อไป
ที่เลือกอูเอโนะใน 2 คืนแรกนี้ก็เพราะว่ามีโรงแรมแคปซูลที่ชื่อว่า Capsule and Sauna Oriental (Men Only) ที่ราคาไม่แพงและมีคะแนนรีวิวที่ยอดเยี่ยมเพราะอยู่ในย่านตลาดอะเมโยโกะเลย แถมใกล้สถานีรถไฟหลักอย่างอูเอโนะมากๆ เลยเลือกพักที่นี่ เพราะเพียงแค่ 2 คืนพอวันที่ 3 เช้ามืดก็เดินทางออกจากอูเอโนะไปฮอกไกโดด้วยชินคันเซ็นแล้ว ซึ่งสะดวกมากๆ ไม่ต้องต่อรถไฟหลายครั้งแต่อย่างใด
เช้าวันนี้ตื่นประมาณตี 5 ครึ่งตามแพลนที่วางไว้เพื่อจะได้มาถึงสนามบินดอนเมืองตอนเวลา 7 โมงกว่าๆ 3 ชั่วโมงก่อนที่เครื่องจะออก ครั้งนี้จากบ้านไปสนามบินดอนเมืองผมใช้บริการ Grab Taxi ซึ่งสะดวกดีครับ กดจองในแอ๊พไม่นามก็มีโทรศัพท์เข้ามาจากคนขับแท็กซี่ที่อยู่ใกล้ๆ สอบถามเส้นทางเล็กน้อยไม่กี่อึดใจก็มาจอดรอหน้าบ้านแล้ว มีค่าบริการเพิ่ม 20 บาทจากค่ามิเตอร์ปกติ
ตอนเช็คอินที่เคาน์เตอร์แอร์เอเชีย ทางเจ้าหน้าที่ก็ขอบอร์ดดิ้งขากลับจากผมด้วย ด้วยเหตุเพราะผมจองแอร์เอเชียแค่ขาไปเท่านั้น ขากลับเป็นสายการบินอื่น ทางเจ้าหน้าที่จึงต้องขอดูเพื่อจะเช็คว่าเราพำนักในประเทศญี่ปุ่นเขาเกิน 15 วันตามกำหนดมั้ย(วิธีการนับวันดูได้จากตอน 0) ถ้าเกินคงแจ้งกับเราหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมก็หาบอร์ดดิ้งพาสและยื่นให้เขาแบบเสียวๆเหมือนกัน 555 ว่าตัวเองนับวันมาเกินมั้ย แต่สุดท้ายก็รอดครับ นับวันมาถูกต้อง กลับก่อนที่เขาให้พำนัก 1 วัน
พอเสร็จจากเช็คอินก็ต้องเอากระเป๋าที่โหลดไปรอคิวเข้าเครื่องสแกนวัตถุ ซึ่งครั้งนี้มาแปลกที่สแกนทีหลังที่จะเช็คอิน เพราะถ้ามันไม่ผ่านจะทำไงเพราะเช็คอินไปแล้วนี่?? แต่ก็ผ่านไปด้วยดี เหลือแต่กระเป๋าเป้สะพายหลังที่ภายในบรรจุกระเป๋ากล้อง DSLR อีกใบข้างในพร้อมเอกสารสำคัญ ซึ่งเอาไปพร้อมกับตัว เข้าไปผ่านตม.และการสแกนอีกครั้งก่อนจะออกมาเพื่อรอที่เกทตามที่ใบบอร์เดิ้งพาสเขียนไว้ ในรูปเป็นเครื่องแอร์เอเชียเอ็กซ์ลำที่จะพาเราไปลงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากตื่นเช้าเลยยังไม่มีอะไรรองท้อง จึงไปจัดแซนวิชไข่มา 1 อันซึ่งราคา 85 บาทแพงเป็นปกติของสินค้าในสนามบิน(แม้จะมีเรื่องราวร้องเรียนจากชาวญี่ปุ่นใน Socia Media ขณะนี้ก็ตาม ก็ทำแบบขอไปที) พอรองท้องไปได้ ก่อนที่จะขึ้นเครื่อง ซึ่งบนเครื่องจะมีอาหารที่ผมจองไว้ตอนจองตั๋วเพราะจากประสบการณ์ครั้งก่อน 6 ชม.ยังไงๆต้องมีอาหารรองท้องไว้ จะไปซื้อตอนบนเครื่องก็แพงกว่าปกติเลยจองไว้ก่อนดีกว่า
พอสัญญาณรัดเข็มขัดดับลง ทางสจ๊วตก็แจกใบ Immigration เข้าประเทศญี่ปุ่น ก็เขียนซะเลยไม่รอใกล้ตอนจะแลนดิ้งเพราะจะฉุกละหุก ก็เป็นใบตม.ขาเข้าเดิมๆนะครับ ถ้าใครเคยมาญี่ปุ่นแล้วก็จะทราบดี
มองไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นภาพแบบนี้ เมฆจะเป็นก้อนๆเล็กๆกระจัดกระจาย ยังไม่เยอะมากนักเพราะระดับความสูงยังไม่สูงมากนัก
เที่ยงตรงก็มีอาหารมาเสริฟแล้ว สจ๊วตขอดูบอร์ดดิ้งพาสเพื่อให้แน่ใจว่าเรานั้นคือคนสั่งอาหารจริงๆไม่ใช่คนอื่นที่มานั่งตำแหน่งเรา
เปิดฝาครอบมาก็คือ ข้าวไก่เทอริยากิ น่าทานและอร่อยดีครับ รองท้องไม่ให้ว่างไปอีก 5 ชั่วโมง
ณ เวลา 12.22 น.ตามเวลาประเทศไทย มุมมองน่านฟ้าภายนอกจะเป็นแบบนี้ ด้านล่างคือทะเลอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่งไปหลับไป อีก 2 ชั่วโมงเป๊ะๆตอนตื่นขึ้นมา มองไปท้องฟ้าด้านนอก ภาพที่เห็นก็เป็นแบบนี้ ด้านล่างเป็นปุยเมฆสีขาวน่ากระโดดลงไปเกือกกลั้วซะจริงๆ
บ่าย 3.22 น. หรือเวลาตามประเทศญี่ปุ่น 17.22 น. อีก 1 โมงกว่าๆก็จะถึงสนามบินนาริตะ โตเกียวแล้ว เส้นขอบฟ้าที่เห็นบ่งบอกว่าพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าออกไป
6 โมงเย็น 23 นาที ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น เครื่องบินลดระดับเข้ามาที่ชายฝั่งเตรียมตัวจะแลนดิ้งแล้วครับ
แล้วก็แลนดิ้งตามคลิปนี้อย่างปลอดภัย
ลงมาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 ที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า
ณ ตำแหน่งนี้ เวลา 18.57 น. ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น
เหมือนเดิมครับ เดินไปที่ช่อง walk way นี้เพราะมันไกลมากๆ เดินด้วยขาเองไม่ไหว
ยินดีต้อนรับสู่ตรวจคนเข้าเมือง ประเทศญี่ปุ่น จะบอกว่าครั้งนี้ตม.ญี่ปุ่นเปลี่ยนไป เพราะอะไรหน่ะเหรอครับ ก็เพราะเหตุการณ์วินาศกรรมในประเทศต่างๆโดยเฉพาะประเทศอเมริกาและฝั่งยุโรป หลายครั้งหลายคราที่ผ่านมา ทำให้ตม.ญี่ปุ่นตรวจเข้มกว่าเดิมเอามากๆ โดยทุกคน เน้นนะครับว่าทุกคน ต้องเปิดกระเป๋าสัมภาระให้ทางเจ้าหน้าที่ตม.ดูทุกใบ! เจอแบบนี้เล่นเอาเสียวๆเลยครับท่าน คิวยาวที่ตม.ขาเข้าเป็นหางว่าวเลย...ก่อนถึงคิวตัวเองก็ยืนลุ้นมองคนอื่นก่อนหน้าว่าจะเจออะไรบ้างน้อ..? พอถึงคิวตัวเอง ก็ทำตามที่เจ้าหน้าที่เขาบอก จนท.เห็นผมมาคนเดียวแถมอยู่ 15 วันอีก เลยถามว่าจะไปไหนบ้าง ซึ่งพอได้ทีผมเลยตอบไปว่าจะพักที่อูเอโนะก่อน แล้วหลังจากนั้นจะนั่งรถไฟชินคันเซ็นไปฮอกไกโด จนท.ฟังผมตอบแล้ว โอ้ว...มีอึ้ง ผมก็ตอบไปอีกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมาครั้งที่ 3 แล้ว ไม่ต้องกลัว สบายๆมาก 555 ก็ดูจะเป็นการคุยกันนะครับ จนท.เองก็ยิ้ม แล้วให้เปิดเป้สะพายหลังอีกอันหลังจากตรวจกระเป๋าลากใบใหญ่เสร็จแล้ว(ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้ตรวจอะไรมากหรอกครับ) ผมก็เปิดให้ดู ซึ่งอย่างที่บอกว่าภายในเป็นกระเป๋ากล้องอีกในอยู่ข้างในพร้อมเอกสารอื่นๆ ก็สุดท้ายผ่านมาด้วยดีครับ
ก็ออกมาจากตม.แล้วครับ ถึงกับโล่งเลย มองหาป้ายไปสถานีรถไฟ ตามป้ายชี้ว่า <--- Train ไปทางซ้ายมือครับ ก็เดินตามป้ายไป
ผมวางแผนว่าครั้งนี้จะไม่ขึ้น Kesei Skyliner แม้ว่าจะเร็วเพียง 44 นาที ก็ถึงอูเอโนะแล้ว แต่ครั้งนี้สบายๆ ไม่เร่งรีบ รู้จักอูเอโนะแบบถึงพริกถึงขิงแล้ว เลยเลือกรถไฟปกติเส้น Kesei Main Line ราคาถูกสุด(1030 เยน) ใช้เวลา 70 นาที ตอนแรกรู้ว่าบัตร PASMO จะลดได้ 5 เยนจากราคาปกติ แต่จนแล้วจนรอดหาเมนูซื้อบัตร PASMO จากเครื่องอัตโนมัติไม่เจอ 555 สุดท้ายกลัวจะเสียเวลาก็เลยเข้าไปซื้อตั๋วที่ห้อง Kesei ตามปกติครับ ได้รอบรถไฟเวลา 20.07 น. ตามป้ายด้านบนขวา Ltd. Exp. Track 3
เดินลงบันไดเลื่อนไปตามป้ายนะครับ ทางเข้าจะงงๆนิดนึง เพราะมันมี 3 เส้นทางร่วมกันอยู่
ในที่สุดก็ขึ้นรถไฟมาแล้วครับ คือเส้นนี้มันไม่ได้จองที่นั่งไงครับ และเป็นเส้นปกติจอดทุกสถานี เลยต้องรีบหาที่นั่งหน่อย แต่จากสนามบินนาริตะเป็นสถานีแรกอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว ในรูปสัมภาระทั้งกระเป๋าลาก 26" และกระเป๋าเป้สะพายหลังวางกันแบบกินที่เลย ลำบากมากครับ
70 นาทีผ่านไป 21.27 น.ก็มาถึงสถานีปลายทางอูเอโนะแล้วครับ คุ้นมากๆเลยจากครั้งก่อน ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนสั้นๆนี้หล่ะครับ (ขออภัยภาพสั่นมากๆเพราะถ่ายจากมือถือ)
ขึ้นมาด้านบน ออกมาภาพภายนอกก็จะเจอกับไฟหลากสีบนตึกตรงข้างเช่นเดียวกับครั้งก่อนเลย เดิมๆมากๆไม่เปลี่ยนแปลง (ขออภัยภาพสั่นมากๆเพราะถ่ายจากมือถือ)
เดินลากกระเป๋าพร้อมแบกเป้ด้านหลังหาโรงแรมแคปซูลนี้ ชื่อเต็มๆคือ Capsule and Sauna Oriental (Men Only) ก็ไม่ไกลเลยครับ ทำเลดีจริงๆ แต่ตอนครั้งแรกจะงงๆว่ามันใช่ทางเข้าโรงแรมมั้ย 555 อาคารที่มีไฟแบบนี้คือใช่แน่นอน!
ตรงนี้ทางเข้านะครับ เดินขึ้นบันไดไปก็จะเจอกับลิฟท์ที่อยู่ด้านขวามือ คือแคบๆแถมไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่อีก เพราะจะอยู่บนชั้น 4 เลยจะงงๆช่วงแรก
กดมาชั้น 4 ตามป้ายครับ จะเจอกับเคาน์เตอรเช็คอิน เก็บเงินคืนต่อคืนนะครับ จริงๆเก็บไปเลยก็ได้ 2 คืน อ้อ...ที่เห็นคนขวามือใส่ชุดสีเหลืองๆนั้นที่คล้ายๆชุดนักโทษ 555 คือชุดที่ทางโรงแรมแจกครับ ไว้ใช้เวลาลงไปอาบน้ำแบบแก้ผ้า!
เช็คอินเสร็จก็เอารองเท้าเราไปเก็บที่เก็บรองเท้า ดึงกุญแจจากช่องเก็บไปให้เจ้าหน้าที่ รับกุญแจแคปซูลจากเจ้าหน้าที่ แล้วใส่รองเท้า slipper จากตรงนี้ขึ้นไปชั้นที่เราได้พักครับ (บอกเลยยุ่งยากมาก แถมจนท.ที่เคาน์เตอร์ก็พูดอังกฤษฟังยากอีก โหย...เหนื่อย)
ผมได้พักชั้น 7 เลขซองแคปซูล 7F013 ตรงนี้เลย ปล.ขอแบบชั้นล่างตอนจอง ไม่งั้นลำบากถ้าเป็นชั้นบน
อันนี้ภาพตรงๆ ไม่น่ามีกล่องโทรทัศน์ที่เห็นด้านซ้ายมือเลยครับ เข้าออกลำบากมากในตัวแคปซูล
ลักษณะในชั้นเป็นแบบนี้ครับ (ขออภัยภาพสั่นมากๆเพราะถ่ายจากมือถือ)
มาสำรวจห้องน้ำกัน อยู่ชั้นเดียวกับที่นอนครับ มีทุกชั้น คือแค่ห้องส้วม และที่ล้างหน้านะครับ ส่วนอาบน้ำมีชั้นเดียว ชั้น 4 ชั้นเดียวกับเช็คอิน แก้ผ้า 100% ครับ
พวกครีมต่างๆ ใช้ฟรี
และใบมีดโกน+แปรงสีฟันและยาสีฟัน
มาพูดถึงห้องอาบน้ำกันครับ ไม่น่าเชื่อว่า ผมพลาดที่จองโรงแรมแคปซูลโดยไม่รู้ว่าต้องอาบน้ำแบบออนเซ็นหรือแก้ผ้าในห้องรวมครับ พลาดจริงๆ ครั้งก่อนพักโรงแรมแคปซูลก็มีห้องอาบน้ำเป็นห้องๆปกติ แต่มาครั้งนี้ก็ดูและอ่านรีวิวแล้วนะ มีคนบอกฝักบัวแรงดี โถ่...คิดว่าห้องแยกซะอีก...เฮ้อ...สุดท้ายทำใจอยู่นานครับว่าจะอาบไม่อาบดี คิดไปคิดมา ไม่อาบไม่ได้แล้วเพราะพักตั้ง 2 คืน เลยทำใจลงไปแก้ผ้าแบบเขินๆเข้าไปใช้บริการ สุดท้ายกล้าไปใช้บริการ 2 ครั้ง วันละครั้งก็พอแล้ว เข็ด 555
พออาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็ได้เวลาออกไปหาอะไรทานครับ หิวจริงๆ ชอบทางเดินใต้รถไฟ JR นี้จริงๆ
มองหาร้านเดิมที่เคยทานเมื่อครั้งก่อน อ้า....เจอแว้วววว ราคาไม่แพง
ได้ราเมงผักมา 1 ชาม สนนราคา 460 เยน อร่อยดี หนาวๆแบบนี้ต้องนี่เลย
และก่อนกลับที่พักครับ แวะตู้กดน้ำ เห็นถั่วแดงต้มอีกแล้ว ของชอบเลยตั้งแต่ครั้งก่อน กดมา 1 กระป๋อง 100 เยน อร่อยฝุดๆ แล้วมาพบกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นวันคริสต์มาสครับ
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น