[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เช้าวันนี้ตื่นไม่ค่อยจะเช้าแบบทุกๆวันที่ผ่านมา เพราะมีแพลนจะไปขึ้นรถบัสที่ใกล้ๆสถานีอะบาชิริประมาณ 8.50 น. ซึ่งไม่เช้ามากนัก โดยจะพาไปพิพิธภัณฑ์นักโทษ(เรือนจำ)อะบาชิริ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเมืองอะบาชิรินี้ มีจุดประสงค์เดียวกันคือไปดู Abashiri Prison Museum และ Drift Ice หรือเรือแล่นตัดธารน้ำแข็งกลางทะเลนั่นเอง ที่จุดนี้มีชื่อเสียงมากๆ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ช่วงที่ผมมานั้นยังไม่ถึงช่วงเวลาที่มีธารน้ำแข็งเกาะตัวมากพอที่เรือจะออกไปแล่นครับ โดยเรือจะออกแล่นในช่วง 20 มกราคม - 3 เมษายน ของทุกปี ตามข้อมูลในนี้ (วันเวลาจริงๆในแต่ละปีช่วยเช็กละเอียดอีกครั้งนะครับ) นั่นคือ ผมเหลือตัวเลือกที่จะไปเที่ยวได้เพียง 1 สถานที่คือพิพิธภัณฑ์นักโทษ(เรือนจำ)อะบาชิริ นั่นเอง ก็ดีครับ ใช้เวลาแค่สถานที่เดียวให้คุ้มค่าไปเลย ฉะนั้น ผมจะใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์นักโทษอะบาชิริ จนถึงเวลาประมาณบ่าย 1 หรือ 1 ครึ่ง และต้องกลับมาที่ตัวเมืองอะบาชิริอีกครั้งก่อนบ่าย 2 โมง หรือ บ่าย 2 โมงครึ่ง เป็นอย่างช้า เพราะมีแพลนขึ้นรถไฟไปสถานีคีตะฮามะ(Kitahama) เวลา 15.10 น. ไปดูสถานีที่มีนามบัตรของคนทั่วโลกต่อไป
เนื่องจากในวันนี้ภาพที่ไปพิพิธภัณฑ์นักโทษ(เรือนจำ)อะบาชิริ เยอะมากๆ แล้วมันก็ถ่ายมาหลายๆมุม ผมเลยแยกเป็น 2 ตอนย่อยนะครับ เพื่อจะได้ไม่โหลดเยอะเกินไป เหมือนๆกับที่ไปโตเกียวครั้งก่อน ในตอนพิพิธภัณฑ์รถไฟ ที่แยกเป็น 2 ตอนเช่นกันครับ
ก่อนออกจากโรงแรม ได้เช็คเอาท์เรียบร้อยพร้อมฝากกระเป๋าสะพายหลังไว้ที่นี่ ไปเที่ยวเสร็จจะกลับมารับอีกครั้ง มาดูโบชัวร์ของโรงแรมโตโยดกะอินน์กันก่อน ทีี่เห็นนี้คือสาขาทั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นนะครับ คือแบบ เยอะมากๆๆ
ออกจากโรงแรมก็เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง เดินงงๆไปที่ป้ายหมายเลข 2 ครับ โพยบอกใกล้สถานีรถไฟอะบาชิริ แต่อยู่ทางซ้ายของสถานีถ้าหันหลังให้สถานี ถ้าหันหน้าเข้าสถานีจะอยู่ทางขวามือ ซึ่งเดินมาแบบงงๆ ไม่แน่ใจ เพราะมันเงียบๆ เดินวนร้านซูกิยะ 1 รอบ แล้วมาทางด้านหน้า อ๋อ ป้ายรถบัสอยู่หน้าร้านนี้นั่นเอง(จริงๆไม่ใช้ด้านหน้าหรอก มันคือด้านข้างร้าน เพราะด้านหน้าหันไปทางอีกฝั่งที่จอดรถ) ซูมป้ายให้ดูกันชัดๆ มารอไม่ผิดแน่ๆ แต่ไม่มีใครมารอเลยแฮะ มีผมคนเดียวจริงๆ
มาดูตารางรถบัสในเมืองแล่นกันดีกว่า มีขาไปและขากลับ ขาไปจะเริ่มจากป้าย Abashiri Bus Terminal หมายเลข 1 แล้ว มา JR Abashiri Station หมายเลข 2 ซึ่งก็คือป้ายที่ผมยืนอยู่นี่เอง แต่มันไกลสถานีรถไฟอะบาชิริจริงๆ แล้วแล่นไป Abashiri Prison สถานที่ที่ผมจะไป และไปเรื่อยๆ จนไปสุดสายที่ Hana Tent ส่วนขากลับก็ดูได้จากตารางด้านล่างครับ แต่บอกไว้ก่อนว่า รถบัสในญี่ปุ่นนี่ถ้ามีวันหยุดเข้ามาคือยุ่งยากมากๆ เพราะบางวันจะวิ่งแค่ช่วงเช้าในวันหยุด หรือบางที่ไม่วิ่งเลย ซึ่งจะมาดูกันครับว่าผมจะเจออะไรบ้างกับความไม่แน่นอนของรถบัสในญี่ปุ่น
คือมาถึงที่ป้ายหมายเลข 2 ก่อนเวลา เลยอัดคลิปวิดีโอรอบๆป้ายให้ชมกันครับ เผื่อจะได้คุ้นๆสถานที่ก่อนมาที่นี่จริงๆ
ปล.ตึกที่เห็นด้านหลังของรถบัสสูงๆค่อนไปทางซ้ายมือสีน้ำตาล คือตึกของโรงแรมที่ผมพักนั่นเองครับ
และแล้วรถก็แล่นมาจอดที่ป้ายหมายเลข 3 คือพิพิธภัณฑ์นักโทษ(เรือนจำ)อะบาชิริ เป้าหมายของเรานั่นเอง ในเวลา 9.02 น. ซึ่งช้ากว่ากำหนด 5 นาที คือตอนผมลงรถ ผมทำหมวกคลุมศีรษะหลุ่นในรถครับ และคนขับคงเห็น แต่ผมไม่ทราบและเดินออกไปแล้ว แต่ตอนที่กำลังเดินเหมือนมีเสียงใครเรียกตะโกนๆมา เลยหันหลัง อ้าว คนขับชูหมวกคลุมศีรษะให้ดู โอ้ว คลำหัว เอ้ยยย....ไม่มีหมวกอยู่แล้วนี่หว่า เลยเดินกลับไปเอามา และขอบคุณคนขับมากๆ เอ่อ...ได้เจอสิ่งดีๆอีก 1 อย่างครับ
ณ จุดนี้ เดินตรงไปตามทางที่เห็นนะครับ ตรงป้ายดำๆข้างหน้าทางซ้ายมือแล้วก็เลี้ยวซ้ายขึ้นบันไดไป
เพื่อความเข้าใจตรงกัน ผมได้นำแผนที่ของพิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ พร้อมเส้นทาง(เส้นประสีม่วงและสีน้ำเงิน)ที่ผมเดินไปในแต่ละสถานที่มาให้ดู ส่วนแผนที่แบบไม่มีเส้นประสามารถ Download ได้จาก Link นี้ครับ
ส่วนแผนที่นี้เป็นแผนที่ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์เวลาชำระค่าผ่านประตู ผมเอามาสแกนความละเอียดสูงให้ Save กันไปใช้งาน
ใต้สะพานจะเป็นสระน้ำนะครับ แต่ ณ เวลานี้ อย่างที่เห็นในภาพ แข็งไปหมด เห็นเพียงรั้วไม้รอบขอบสระ
ข้ามสะพานมาก็จะเห็นเคาน์เตอร์ขายตั๋วอยู่ข้างหน้า ไปซื้อได้เลยครับ ผู้ใหญ่ราคา 1080 เยน แต่มันมีส่วนลดถ้ายื่นคูปองตามนี้ครับ http://www.kangoku.jp/multilingual_thai/files/web_waribiki.pdf ซึ่งผมเองก็ไม่รู้มาก่อน กลับมาถึงมานั่งเขียนบรรยายถึงจะมารู้ว่ามีส่วนลด 10% จะเซฟลิงค์ หรือพิมพ์บนกระดาษและยื่นให้เจ้าหน้าที่ตอนจะจ่ายเงินก็ได้ครับ
เดินผ่านประตูเข้ามาก็จะเห็นภาพดังนี้ เป็นทางขึ้นเนินนิดหน่อยเดินไปหาซุ้มประตูทางเข้าแบบอิฐสีแดง โดยด้านหน้าจะมีเทอร์โมมิเตอร์แสดงอุณหภูมิขณะนั้นอยู่ -3 องศา จร้าาา
เดินตรงไปเข้าคุกอะบาชิริกันครับ
ซุ้มประตูทางเข้าคุกอะบาชิริ
ตอนแรกคิดว่าคนมายืนจริงๆ ที่ไหนได้ อ้าวว...หุ่นนี่หว่า หุ่นผู้คุมคุกนั่นเอง
ลอดซุ้มประตูมาก็จะเจอกับอาคารบัญชาการ จุดที่ 0 เข้าไปข้างในกันก่อนครับ ยิ่งหนาวๆอยู่
ข้อมูลจากเว็บไซท์เรือนจำอะบาชิริ
อาคารนี้เป็นอาคารหลักของฝ่ายบริหารเรือนจำ นอกจากจะมีห้องทำงานของผู้บัญชาการเรือนจำซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดแล้ว ยังแบ่งออกเป็นห้องประชุม แผนกธุรการทั่วไป แผนกดูแลความปลอดภัย แผนกจัดซื้อ แผนกการศึกษา และแผนกการทำงานนอาคารหลัก
อาคารไม้ชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้อง มองเห็น Dormers มี Dormers 6 แห่ง สร้างให้ส่วนบนมีลักษณะโค้ง
มีปีกสองข้างยื่นออกมาที่ปลายด้านหลัง ทั้งซ้ายและขวา ที่ด้านหน้าของหลังคาที่มีสันแหลม มีหน้าต่าง Dormer ที่มีส่วนบนโค้ง ส่วนบนที่แผ่นไม้ฉลุลายของหลังคามีสันแหลม ซึ่งมีหน้าบันแบบ Finial จะมองเห็นหน้ากระจังที่คิดด้นขึ้นใหม่เป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม ด้านในมีหน้าต่างแบบยุโรป ด้านล่างจะเป็น Canopy ที่มีหลังคาทรงมะนิลา ติดแผ่นไม้ฉลุลายที่คิดด้นขึ้นใหม่แบบเดียวกัน
โครงหลังคาเป็นแบบดั้ง เป็นเสาไม้ที่ใช้ปิรามิดทรงสามเหลี่ยม
โถงหน้าที่มีหลังคาทรงมะนิลานั้นค้ำด้วยเสาเหลี่ยมที่มีการตกแต่งที่หัวเสาด้วยสัญลักษณ์อาทิตย์อุทัย
ผนังภายนอกเป็นผนังไม้ซ้อนเกล็ดทาสี ด้านล่างของผนังติดแผ่นไม้ในแนวตั้ง มีหน้าต่างที่เลื่อนบานขึ้นลง
ผนังภายในฉาบปูน เนื่องจากมีการตกแต่งที่ส่วนต่างๆ จึงมีหินภูเขาไฟที่เจาะรูใช้สำหรับปล่องเตาผิงที่เรียกว่ากาเนอิชิติดไว้อยู่ เพดานฉาบปูน มีโคมไฟทรงกลมติดไว้ตามที่ต่างๆ
เป็นสถานที่ราชการที่มีสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับการดัดแปลงด้วยรูปแบบที่คิดค้นขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปในสมัยเมจิ
กล่าวกันว่าผู้คนพากันเรียกอาคารที่ดูภายนอกเห็นเป็นสีฟ้าและสีเทา หลังจากที่เปิดไฟแล้วว่า “ปราสาทที่ไม่มียามค่ำคืนที่อยู่ปลายสุด”
เข้ามาภายในฝั่งซ้ายมือก็จะเป็นข้อมูลเรื่องราวที่มาของการจัดตั้งเรือนจำนี้ขึ้นมา ซึ่งอยู่ในสมัยเมจิโน่นเลยครับ
แผนที่ในฮอกไกโดที่บ่งบอกจุดที่เป็นสาขาของเรือนจำฮอกไกโด ในที่นี่ที่เรามาชมคือสาขาอะบาชิริ ที่คูชิโระใต้ลงไปก็มีเช่นกัน เรียกได้ว่ามีครอบคลุมทั้งเกาะฮอกไกโดเลย
ไม่แน่ใจว่ารูปปั้นบุคคลคนนี้คือใคร แต่ให้เดาน่าจะเป็นคนก่อตั้งเรือนจำนี้ขึ้นมาครับ ตั้งข้างๆป้ายการก่อตั้งเรือนจำสาขาอะบาชิริ
ชมวิดีทัศน์แล้วก็เปิดแผนที่หาจุที่จะไปสำรวจกันเลย
มาจุดแรกครับ จุดที่ 1 Temporary Quarters คล้ายๆที่พักชั่วคราวของนักโทษสำหรับทำงานโครงการที่อยู่นอกคุกครับ คือเคลื่อนย้ายไปมาได้ตลอด
ข้อมูลจากเว็บไซท์เรือนจำอะบาชิริ
ในกรณีที่นักโทษออกไปทำงานนอกเขต และไม่สามารถกลับในวันนั้นได้ ก็จะค้างแรมที่กระท่อมที่พักชั่วคราวที่เรียกว่า “ที่พักแรม”
ในการตัดถนนชูโอที่เชื่อมระหว่างซัปโปโรกับอาบาชิรินั้น ได้เกณฑ์นักโทษกว่าพันคนให้ทำการก่อสร้างเป็นเวลา 8 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1891 และในระหว่างการก่อสร้างก็มีการเคลื่อนย้ายไปพลาง สร้างที่พักไปพลางไปเรื่อยๆ
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เรือนจำเคลื่อนที่” วิธีก่อสร้างก็คือ ใช้ไม้ท่อนกลมเป็นวัตถุดิบ กำแพง จะขุดหลุมประมาณ 60 – 90 ซม.แล้วใช้แผ่นไม้แคบๆ เสียบลงไป พื้นกลางห้องจะเป็นดิน ด้านในสุดจะเป็นสุขา ไม่มีรั้วและจะถูกเฝ้าอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ที่นอนปูด้วยกระดาน ใช้ท่อนไม้ที่ตอกตะปูไว้กับไม้กระดานแทนหมอนเครื่องนอนมีเพียงผ้าห่มผืนบางๆ ผืนเดียวเท่านั้น
ทางเข้ามีเพียง 1 แห่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี ภายหลังได้นำเอารูปแบบที่พักแรมเหล่านี้ ไปใช้ในสถานที่ก่อสร้างสมัยบุกเบิก เรียกว่า ทาโกะเบยะ (ห้องปลาหมึก)
เข้ามาภายในอาคารแรก เจอนอนกันซะส่วนใหญ่เลย มีตื่นมาอยู่คนเดียว คงนอนไม่หลับมั้ง อิอิ
ผู้คุมยืนดูน่ากลัวจัง
อีกอาคารที่อยู่ติดกันครับ กำลังยืนทำอะไรกันนะ หุงหาอาหารแหง๋ๆเลย
ส่วนคนนี้โดนสั่งให้ทำอะไรเนี่ย
เดินต่อมาที่จุดที่ 2 Agricultural Storehouse ในช่วงเริ่มทศวรรษที่ 19 คุกอะบาชิริเป็นที่ได้ยินทั่วทั้งญี่ปุ่นว่าได้มีการทำฟาร์มและใช้เทคโนโลยี่ใหม่ๆมาทดลองในช่วงนั้น คลังอันนี้ก็เลยเป็นที่เก็บพืชผลต่างๆที่เก็บเกี่ยวมา และอุปกรณ์ในการทำฟาร์มต่างๆ
ข้อมูลจากเว็บไซท์เรือนจำอะบาชิริ
โคอุนโกะ
เรือนจำอาบาชิริที่มีชื่อสียงไปทั่วประเทศว่าเป็นเรือนจำเกษตรกรรมนั้น ได้ว่าจ้างเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเกษตรกรรมซัปโปโร (มหาวิทยาลัยฮอกไกโดในปัจจุบัน) และนำเอาระบบการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ของอเมริกามาใช้ และเทคโนโลยีนั้นก็ทันสมัยมาก
ไม่เพียงในเขตเรือนจำเท่านั้น ยังขยายออกไปสู่พื้นที่ทางการเกษตรอื่นๆ เช่นฟุตามิกะโอกะ ซึ่งอยู่ชานเมืองอาบาชิริริมทะเลสาบหรือซุมิโยชิ และกลายเป็นเรือนจำแห่งเดียวในญี่ปุ่นที่มีนาดำ มีผลงานเป็นที่ยอมรับ และถูกกำหนดให้เป็น “เรือนจำที่มีอุปกรณ์ทางการเกษตรเป็นกรณีพิเศษ” โคอุนโกะนี้ เป็นสถานที่เก็บเครื่องมือทางการเกษตร และปุ๋ยที่ใช้ในสมัยนั้น
เข้ามาดูภายในกันครับ ก็เป็นเครื่องมือทางการเกษตร
ตรงนี้ก็เช่นกัน
ตรงนี้มีนักโทษทำลังตีเหล็กเพื่อทำเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ
เดินมาอีกจุดคือจุดที่ 3 Vegetable Storehouse ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่พืชผลต่างๆมากมายได้ถูกเก็บเกี่ยว จะเข้ามาในจุดนี้เพื่อทำการถนอมอาหารเก็บไว้อุปโภคในช่วงฤดูหนาวอันยาวนานของฮอกไกโด ว่ากันว่า พืชผลที่โดนถนอมด้วยการผสมเกลือและรำข้าวจากที่นี่ ถือเป็นผักดองที่อร่อยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ข้อมูลจากเว็บไซท์เรือนจำอะบาชิริ
ที่เก็บของดอง
อาบาชิริในช่วงฤดูหนาวจะขาดแคลนผัก จึงนำผักที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปดอง และเก็บไว้รับประทานในช่วงฤดูหนาว
ปริมาณผักดองที่ให้แก่นักโทษในแต่ละมื้อประมาณ 25 กรัม หากเป็นหัวไชเท้าดองจะได้ประมาณ 3 ชิ้น ในฤดูร้อนจะได้รับประทานผักกะหล่ำปลี ผักกาดขาว หรือแตงกวาที่ดอง ใหม่ๆ เมื่อถึงเวลาที่หมอกลง จะใช้ท่อนไม้ทำร้านไว้ตากหัวไชเท้าสำหรับทำหัวไชเท้าดอง
ดองหัวไชเท้า 3000 หัว ไว้ในอ่างขนาดใหญ่ที่ทั้งเส้นผ่าศูนย์กลาง และความลึก 1.6 เมตร ที่เรียกว่า นิจูโกะอิชิโอเกะ
แล้วก็เดินต่อมานี้ เป็นรูปปั้นนักโทษ 2 คน 2 ข้างกำลังทำงานแบกของหนักอยู่
ด้านหน้าประตูทางเข้าของจุดที่ 4 Penological Museum ห้องพิพิธภัณฑ์ที่จะแสดงหนังสั้นและภาพอื่นๆถึงความทรหดของนักโทษที่จะต้องสร้างถนนหลักเชื่อมต่อระหว่างอะบาชิริผ่านอะซาฮิกาวะและไปถึงซัปโปโร โดยถนนระหว่างอะบาชิริกับอะซาฮิกาวะใช้เวลาสร้าง 8 เดือน ยาว 220 กม. มีนักโทษต้องตายไปหลายคนด้วยกันกว่าจะสร้างเสร็จ
ข้อมูลจากเว็บไซท์เรือนจำอะบาชิริ
หอประวัติศาสตร์เรือนจำ
การแสดงหลักของหอประวัติศาสตร์คือการฉายภาพที่มีหัวเรื่องว่า การตัดถนนชูโอ
ภาพที่ฉายอยู่ด้านหน้าซ้ายขวา 3 ด้านนั้น คือเรียลลิตี้ที่ย้อนเวลากลับไปสู่สถานที่ก่อสร้างถนนอันทารุณโหดร้าย เมื่อ 1 ศตวรรษก่อน ขอเชิญชมเธียเตอร์ “ป่าหุ่นนักโทษสีแดง สัมผัสทางร่างกาย” โดยใช้สัมผัสทั้ง 5 (ระยะเวลาฉาย 7 นาที บรรยาย 5 ภาษา)
เดินเข้ามาภายในรูปแรกที่เห็นคือ คุกแบบดาว 5 แฉกอันเลื่องลือ
รูปนี้ก็ต่อกันจากรูปด้านบนไปทางขวามือ
นี่ครับ กำลังฉายหนังที่นักโทษต้องตรากตรำท่ามกลางฝนและหิมะตกกว่าจะสร้างถนนจากอะบาชิริเชื่อมอะซาฮิกาวะเสร็จ มีคนญี่ปุ่นกำลังดูอยู่เช่นกัน
นักโทษถูกจองจำ 3 คน มัดติดกันไป
ก็คงเป็นประวัติการก่อตั้งคุกนี้นะครับ ในรูปการแต่งกายนี่คล้ายๆในไทยเราเลย
ก็จะเป็นห้องแสดงสิ่งของต่างๆ
ชุดนักโทษและตรวนที่ใช้ล่ามนักโทษ
รองเท้าและสิ่งของสมัยนั้น
หนังสือ
อุปกรณ์ทำการเกษตร
รองเท้าที่ได้จากต้นไม้
อุปกรณ์ทำการเกษตร มีจอบ ตระกร้า และอื่นๆ
รถเข็นเก็บพืชผลทางการเกษตร
เดินมาตรงนี้ตกใจเลย...เจอผู้คุมยืนจังก้าอยู่ 2 คนด้วยกัน ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ
แล้วก็ได้เวลาเดินออกมา เพื่อจะไปจุดอื่นต่อ
ตรงนี้ครับ ทางเข้าจุดที่ 5 Building of The Futamigaoka Branch ขอหยุดพักเบรคไว้ตรงนี้ก่อนครับ แล้วค่อยมาต่อกันในตอนต่อไป Part II ครับ
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น