วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

15 วัน อินเจแปน ตอน 14.2 นั่งรถไฟ Keisei Main Line กลับสนามบินนาริตะ เพื่อเข้าพักโรงแรมแคปซูล Nine Hours Narita Airport ก่อนจะมีบินไฟล์ทเช้าในวันรุ่งขึ้น


หลังจากตอนที่แล้ว ที่กลับไปรับกระเป๋า 2 ใบที่โรงแรม Enaka ย่านอาซากุสะ แล้วก็ลากกระเป๋าตุเลงตุเลงออกมาขึ้นรถไฟใต้ดินสายกินซ่าจากสถานีอาซากุสะไปลงสถานีอุเอโนะ แล้วเดินลากกระเป๋าต่อไปยังสถานีเคเซอุเอโนะ (Keisei Ueno Station) ที่อยู่ใกล้ๆกัน แล้วต่อจากนั้นก็นั่งรถไฟ Limited Express ซึ่งเป็นรถไฟสายเคเซเมนไลน์ จอดหลายสถานีในระหว่างทางที่แล่นไปนั่นเอง เรียกง่ายๆว่ารถไฟหวานเย็น ที่เลือกสายนี้ก็เพราะว่าไม่ได้รีบเร่งอะไรมากนั้น และอยากลองนั่งด้วย แถมค่ารถไฟก็ถูกลงกว่าเคเซสกายไลน์ครึ่งๆ(Keisei Main Line 1030 Yen, Keisei Skyliner 2470 Yen) แต่ใช้ระยะเวลาเดินทางมากกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 75 นาที ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเลย
พอถึงสนามบินนาริตะก็ยังไม่ต้องรีบเช็คอิน เนื่องจากยังไม่ได้บินวันนี้ ฮ่าๆๆ ลากกระเป๋าไปต่อที่โรงแรมแคปซูล Nine Hours Narita Airport ซึ่งอยู่ชั้น B1F เข้าเช็คอิน เก็บสัมภาระ และสำรวจบริเวณโรงแรมแคปซูล ก่อนจะออกมาข้างนอกอีกครั้ง เดินสำรวจภายในสนามบินนาริตะให้ฉ่ำปอด และไม่ลืมที่จะไปดูป้ายรถบัสที่จะขึ้นไปเทอร์มินอล 3 ในวันพรุ่งนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นแพลนของตอนนี้ครับ
ปล.ภาพทุกภาพในตอนนี้เป็นภาพจากมือถือ ดังนั้นภาพจะออกมัวๆ เบลอๆตามคุณภาพของมือถือนะครับ


เวลา 16.56 น. ก็มาถึงชานชาลาสถานีเคเซอุเอโนะ รถไฟสาย Keisei Main Line หรือสายสีแดงจะออกเที่ยวต่อไปคือเวลา 17.14 น. รอกันต่อไปครับ สบายๆ พอรถไฟมาเทียบชานชาลาก็เข้าไปจองที่นั่งเพราะสายนี้ไม่มีการจองจร้า ใครเร็วใครได้ แต่เนื่องจากเป็นต้นทางของสาย เลยไม่ได้แย่งที่นั่งอะไรมากมายนัก แต่ก็กินที่นั่งไป 60% เชียวนะครับ


นั่งไปชิลล์ๆ ผ่านหลายๆสถานีก็จะมีคนขึ้นมาเรื่อยๆ ลงก็มี แล้วก็จะแน่นๆนิดนึง แต่ในที่สุด 18.29 น.ก็มาถึงสถานีสนามบินนาริตะเทอร์มินอล 2-3
หมายเหตุ : รถไฟขาไปสนามบินนาริตะ จะจอดที่เทอร์มินอล 1 ก่อนนะครับ ใครอย่าหลงลงก่อนหล่ะ


ลากกระเป๋าใบใหญ่กันขึ้นมาที่ชั้นบนก่อน เดินตรงไปผ่านประตูข้างหน้าเลยครับ


มาผ่านเกตเข้ามา ก็จะงงๆ เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าโรงแรม Nine Hours อยู่ไหน เจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้เดินเลี้ยวขวาไปตามป้าย ก็ลากกระเป๋ามานี่ครับ เจอป้ายโรงแรมแล้ว ให้เดินตรงไปถ้าเป็นโรงแรม Nine Hours ส่วนถ้าโรงแรม Pet Inn หรือฝากสัตว์เลี้ยงก็ให้เลี้ยวขวาไป ตอนนั้นงง เดินเลี้ยวขวาซะงั้น


นี่ครับ เลี้ยวขวาก็จะเจอกับบันไดและบันไดเลื่อน ก็ขึ้นไปชั้นบนครับ


แต่พอขึ้นไปถึงชั้นบน มันจะงงๆหน่อย เพราะมันคือชั้น Central Square ส่วนตัวโรงแรมอยู่อีกฝั่งนึงครับ มองไม่เห็นมีเวทีอะไรสักอย่างบัง เลยถามพนักงานแถวนั้น ได้ความว่าให้เดินอ้อมไปตามทางเดินแล้วจะเจอ ก็เดินตามที่บอกมาครับ งงๆมากๆ แต่ก็เจอจนได้ 555 ที่จริงคือ จากชั้นล่างที่มีป้ายบอกโรงแรม ควรเดินตรงมาก่อนตามป้ายครับ แล้วจะเจอกับบันไดเลื่อนขึ้นมาอีกที พอขึ้นมาก็จะเจอกับด้านหน้าโรงแรมเลย แต่ผมดันมาขึ้นอีกทางก็เลยงง


เข้าไปเช็คอินกันครับ จะเห็นว่าที่นี่จะรับลูกค้าทั้งชายและหญิงแต่แบ่งพื้นที่กันชัดเจนคือ ชายฝั่งซ้ายมือโดยประดูเข้าจะมีรูปสัญลักษณ์ผู้ชายสีดำ ส่วนผู้หญิงฝั่งขวามือ ประดูเข้าจะมีรูปสัญลักษณ์ผู้หญิงใส่กระโปรงสีแดง
พอได้เช็คอินก็จ่ายค่าห้องพักไปครับ อย่างที่เคยบอกว่า จะจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือเงินสดก็ราคาเท่ากัน ผมจ่ายด้วยบัตรเครดิต คืนละ 6000 เยน(เป็นเงินไทย 1,763.34 บาท) แล้วเจ้าหน้าที่ก็แนะนำการเข้าพัก แผนที่ในห้องต่างๆ และให้ถุงมาถุงนึงใส่ชุดยูกาตะมาให้ใส่เวลานอน และรองเท้า sleeper มา 1 คู่


เปิดประตูเข้าไปนี่จะงงๆ มืดๆหน่อยครับ เพราะจะเจอกับห้องเล็กๆก่อน ไว้ใส่ชุดที่ใช้แล้ว ผ้าเช็ดตัวอะไรพวกนี้ และก็อ่านแผนผังของโรงแรมฝั่งชายให้เข้าใจก่อนจะได้ไม่งงและหลง


ส่วนรูปนี้คือขั้นตอนการเช็คอินและเข้าพักทั้งหมด
1.เช็คอิน
2.เอาของเก็บกระเป๋าสัมภาระเข้าล็อคเกอร์และเปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้า sleeper รองเท้าเดิมเก็บในล็อคเกอร์เช่นกัน
3.อาบน้ำให้สดชื่น
4.เข้าไปนอนในแคปซูลของตัวเอง
5.เช็คเอาท์


และก็เปิดประตูเข้าไปก็จะเจอกับห้องล็อคเกอร์


ผมได้เบอร์ 108 เอากุญแจมาไขตู้ล็อคเกอร์ 108 ทางขวามือ เก็บสัมภาระทั้งกระเป๋าใบใหญ่ก็สามารถใส่ได้ในชั้นล่าง และกระเป๋าสะพายหลังแบบแบ็คแพ็คชั้นบน โดยจะเห็นถาดพลาสติกที่อยู่ชั้นล่างเอาไว้รองรองเท้าครับ เยี่ยมจริงๆ


อันนี้คือถุงที่ใส่ชุดยูกาตะมาให้ครับ ข้างในก็จะมีรองเท้า sleeper ให้เปลี่ยนด้วย ให้เราเปลี่ยนตอนนี้เลยถ้าจะเดินเข้าไปข้างในต่อ ส่วนเสื้อผ้ายังไม่ต้องเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะก่อนก็ได้นะครับ ค่อยเปลี่ยนตอนจะอาบน้ำก็ได้ แต่รองเท้าต้องเปลี่ยนเลย


และก็เดินไปอีกประตูข้างหน้า มีป้ายแจ้งชัดเจนว่า ห้ามสวมรองเท้าเข้าไปถ้าจะผ่านประตูนี้ โดยตรงไปจะเป็นห้องส้วมและห้องอาบน้ำ เลี้ยวขวาจะเป็นห้องนอนแบบแคปซูล


ผมเลี้ยวขวาก่อนครับ จะไปดูหน้าตาแคปซูลว่ามันจะสวยเหมือนในรูปมั้ย เปิดประตูนี้ออกไปจะเจอกับแคปซูลตำแหน่งที่ 132 พอดี


เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอแบบนี้ เป็นฝั่งซ้ายมือ เหมือนในรูปที่ดูมาก่อนเลย แนวสถานีอวกาศมากๆ ชอบๆ  ตำแหน่งตัวเลขที่บอกแคปซูลชัดเจนมากๆ


มุมนี้มองไปทางขวามือครับ กำลังจะเดินไปหาแคปซูลตัวเอง


เจอแว้วววว 108...ในทริปนี้ทั้งทริป ถ้าเป็นที่พักแบบแคปซูลผมจะขออยู่ชั้นล่างตลอด เพราะผมเป็น AS(ANKYLOSING SPONDYLITIS) เดินมากๆขาเดี้ยง ขยับขาขึ้นลงบันไดไม่ได้จริงๆครับ เจอมาแล้วตอนทริปญี่ปุ่นครั้งที่ผ่านมา พักที่ 1 night 1980 hostel แจ็คพ็อตได้ชั้น 2 ของแคปซูลทั้ง 6 คืน เซ็งไปเลยครับ ทริปนี้จึงต้องเลี่ยงไว้ก่อนเลย ตอนจองที่พักผมจึงต้องเขียนใน special request ไปว่า ถ้าเป็นไปได้ขอแคปซูลชั้นล่าง เนื่องจากมีปัญหาด้านกระดูก ขึ้นลงชั้นบนไม่ไหว เพราะจองล่วงหน้าพอควรมั้งครับ เลยได้ชั้นล่างตามที่ขอไปทุกที่ในทริปนี้เลยครับ เยี่ยมมากๆ


สะอาดสะอ้านดีมากๆ


ที่เห็นเป็นสีดำๆคล้ายๆห่วงลงมา จริงๆคือลายด้านหลังแคปซูลนะครับ เป็นปุ่มหรี่ไฟและอื่นๆ ไม่ใช่ห่วงจริงๆ แต่ผมพบว่า แปลกจังที่นี่ไม่มีที่ชาร์จไฟ หรือผมหาไม่เจอเอง?? ก็ไม่น่าจะใช่นะ


เอาหล่ะ....ได้เวลาไปสำรวจห้องน้ำห้องท่ากันแล้ว มาเริ่มกันที่ห้องส้วมนะครับ จะมีอ่างล้างหน้าและกระจกทางด้านขวามือ ส่วนห้องส้วมอยู่ทางด้านซ้ายมือ


เข้าไปสำรวจกันจ้าาา ไฮเทคฝุดๆนะครับ ที่นี่มีแผงคอนโทรลติดข้างผนังเลย โดยแผงแรกคือแผงควบคุมการฉีดก้น และชำระของผญ. ระดับความแรง โน่นนี่นั่น ที่เราเห็นกันบ่อยๆถ้าเข้าห้องน้ำญี่ปุ่นมาแล้ว อันนี้ก็ปกติ และอีกอันที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนคือ แผงการกดชักโครกครับ! ที่อยู่ด้านซ้ายมือสุดของภาพมีรูปสัญลักษณ์ฝ่ามืออยู่ คือ ให้เราแค่ยกมือมาบังแสงอินฟราเรดแค่นี้มันก็กดชักโครกให้เราแล้ว ล้ำหน้าจริงๆเลย


ไปต่ออีกห้องครับ อยู่ในสุดแล้ว เป็นห้องอาบน้ำแล้วทีนี้ สัญลักษณฝักบัวพ่นน้ำดูๆอีกทีก็คล้ายคนก้มโค้งคำนับนะครับ


สำรวจภายในกัน ก็สะอาดสะอ้าน แบ่งเป็นส่วนแห้งและเปียกเหมือนห้องน้ำในญี่ปุ่นทั่วๆไป กว้างขวางนะครับ เปรียบเทียบกับโรงแรม 1 night 1980 Yen Hostel ที่แคบไปหน่อย อันนี้กว่างสบายๆไม่อึดอัดเวลาเข้ามาอาบน้ำเลย


ด้านซ้ายมือเวลาเข้ามาภายในจะเป็นชั้นไว้วางผ้าเช็ดตัวและอื่นๆครับ เนื้อที่ใช้สอยเยอะดี


และก็จะมีของเหลว 3 อย่างด้วยกันคือ 1.สบู่เหลว 2.แชมพู 3.คอนดิชันเนอร์


สำรวจแล้วก็เปลี่ยนรองเท้าเดินออกมาข้างนอกโรงแรมครับ ยังไม่ได้อาบน้ำแต่อย่างใด ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ไปสำรวจที่สนามบินนาริตะกันดีกว่า พอออกจากโรงแรม Nine Hours ก็เดินมาไม่ไกลก็จะเจอกับโรงแรม Pet Inn Royal ไว้ฝากสัตว์เลี้ยงมั้งครับ ตกแต่งใช้ได้เลยแฮะ


ตรงนี้อย่างที่บอก เป็นลานโล่งๆอยู่ตรงกลาง เรียกว่า Central Square มีเวทีตรงด้านโน้นที่ผมบอกว่าโรงแรม Nine Hours อยู่ด้านหลังเวทีอะไรสักอย่าง ซึ่งก็คือเวทีนี้นั่นเอง


เดินลงมาก็จะเจอกับร้าน doutor พอดีผมหิว หาร้านอะไรยังไม่เจอเลยไปสั่งซื้อแซนวิช Family Mart ไปแล้ว และเพิ่งมาพบร้านนี้


เข้ามาภายในชั้นผู็โดยสารขาเข้ากันดีกว่า ชอบรสไหนกันเอ่ย?? ส่วนผม ชาเขียวครับ กดมา 1 อัน 130 เยน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า มีเงินเหลือในบัตร PASMO อยู่นี่หน่า ไปขอรีฟันด์คืนเงินดีกว่า ถามเจ้าหน้าที่ช่องออกตั๋วรถไฟเคเซ ได้ความว่า ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ประตูขาเข้ารถไฟเคเซ ผมก็เดินไป ถามว่าต้องการรีฟันด์บัตร PASMO เขาก็แจ้งขอบัตรเรามา ก็ยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ไป จนท.เอาบัตรไปเสียบในเครื่อง สักพักก็จะมีเงินออกมา ทั้งธนบัตรและเงินเหรียญ ได้คืน 1007 เยน (507 มูลค่าเงินที่เหลือจริง+500 จากการมัดจำบัตรไว้)
เสร็จจากตรงนี้ผมก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ว่า จะไปเทอร์มินอล 3 ยังไง เขาก็บอกมาว่า ให้ไปขึ้นรถบัสที่จุดจอดรถบัส โดยจะออกทุก 5 นาที ไม่เสียเงินเป็นบริการฟรี ใช้เวลา 5 นาทก็ถึง แต่ถ้าจะเดินก็เดินได้ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที เอ่อ.....ใครจะเดินหว่า 555 ถามเสร็จผมก็เดินไปหาป้ายรถบัสดังกล่าว แล้วไลฟ์เฟสบุคไปด้วย แล้วจะเอามาลงอีกครั้งนะครับ ก็ได้รับทราบว่าจุดจอดรถอยู่ตรงไหน จะได้มาถูกในวันรุ่งขึ้น ไม่งั้นมีหลงและเสียเวลามากๆ


พอได้จุดจอดรถบัสแล้ว ก็เดินขึ้นมาสำรวจชั้นผู้โดยสารขาออกบ้างครับ เป็นชั้น 3 เงียบเหงาทีเดียว ตอนนี้ 3 ทุ่มครึ่งได้ เดินไปหาร้านอาหารด้านบนว่ามีอะไรทานได้บ้าง แต่ร้านปิดหมดแล้ว


สุดท้าย เลยได้กาแฟเอสเปรสโซ่ ยี่ห้อ Kirin เอ๊ะ มันยี่ห้อเบียร์นี่หว่า??? เอามาดื่มแก้ขัด 1 ขวด และคุยกับน้องทางเฟสบุคไปด้วย สักครู่ จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามาถามคนที่นั่งอยู่แถวนี้ครับ มาถามผม ซึ่งฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ ตอนแรกถามมาเป็นภาษาญี่ปุ่น จนผมส่งภาษาอังกฤษออกไป เขาเลยถามมาเป็นภาษาอังกฤษ ทำนองว่า ตอนนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้ว มันไม่มีไฟล์ทบินแล้ว ให้ไปอยู่จุดอื่นประมาณนี้ ผมเลยบอกครับๆ พอดีพักที่นี่ เลยออกมาหาอะไรกิน แล้วก็จะกลับแล้ว ก็ดีครับ...การรักษาความปลอดภัยดีมากๆเลย ญี่ปุ่นตอนนี้เขาก็กลัววินาศกรรมเช่นประเทศยุโรปเหมือนกันนะครับ สังเกตได้จากตอนขามาวันแรก ตม.ให้เปิดกระเป๋าทุกใบ 100% เลยครับ ทำให้ช้ามากๆ แต่แลกกับการเฝ้าระวัง เขาก็คงยอม


แล้วผมก็เดินลงมาชั้นผู้โดยสารขาเข้าแบบเดิม อ้าววว เดินไปเดินมา มีร้านเซเว่นอยู่นี่นี่หว่า....คิดว่าไม่มีอะไรขายแล้ว เลยเอากาแฟสดร้อนเซเว่นมาอีกแก้ว ฟินจริงๆ อากาศเย็นๆจิบกาแฟ ชอบมากกกกก


สุดท้าย....ไม่มีอะไรแล้ว ก็เดินกลับที่พัก ผ่านตู้กดตัวการ์ตูนเรียงรายกันเยอะเชียววว กลับเข้าที่พักแล้วจัดแจงเปลี่ยนชุดยูกาตะแล้วไปอาบน้ำครับ สดชื่นก่อนนอนเพื่อจะตื่นเช้ามาเช็คอินที่เทอร์มินอล 3 บินภายในประเทศไปโอกินาว่าต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น