วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2560

15 วัน อินเจแปน ตอน 7.3 รถบัสจากพิพิธภัณฑ์ฯพาผิดแผน ก่อนจะเดินทางสู่สถานีคีตะฮามะ(Kitahama Station) สถานีอันโด่งดังในเรื่องนามบัตร, รูปถ่าย, โพสต์อิท ฯลฯ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกแปะติดไปทั่วผนังสถานี


จากตอนก่อนที่เสร็จสิ้นจากการชมพิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริ ก็ต้องมายืนรอรถบัสสายเดิมแต่เป็นขากลับ ที่วิ่งจากสถานี Hana Tent ไปสถานี Abashiri Bus Terminal ซึ่งมันควรที่จะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะใจเองก็ไม่ได้ต้องการไปไหนต่อแล้ว กลัวจะกลับไปขึ้นรถไฟไปต่อที่อื่นไม่ทัน แต่ดันมีปัญหาซะนี่ ดีที่เผื่อเวลากลับไว้เยอะไม่งั้นตกรถไฟแน่ๆ เจอปัญหาอะไรนั้นไว้ตามอ่านกันครับ

หลังจากที่มาถึงที่ตัวเมืองอะบาชิริแล้ว แพลนผมก็จะมารับกระเป๋าสะพายหลังที่ฝากไว้ที่โรงแรมโตโยโกะอินน์ที่ผมพักเมื่อคืน และแถมด้วยการเปลี่ยนกางเกงจากกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ขณะนี้เป็นกางเกงบล็อกเทคของ Uniqlo เพราะทนหนาวขาไม่ไหว กางเกงยีนส์ที่เราๆเห็นว่าหนาๆนั้นช่วยอะไรไม่ได้เลยครับ มาหนาแต่มันมีรูพรุน ลมเย็นเลยเข้าผ่านมาข้างในได้ ต้องกลับไปใส่บล็อกเทคแบบเดิมดีกว่า หลังจากนั้นก็จะขึ้นรถไฟสาย Semmo Line จากสถานีอะบาชิริไปสถานีคูชิโระ ระหว่างทางจะมีอยู่สถานีหนึ่งที่ถึงก่อนคือสถานีมาสุอุระ( Masuura) เป็นสถานีเล็กมากไม่มีคนอยู่ แต่จะไม่ลง ทำแค่ถ่ายรูปตัวสถานีไว้ครับ โดยผมจะแวะลงที่สถานีคีตะฮามะ(Kitahama Station)ก่อน โดยได้ยินมาว่าเป็นสถานีเล็กที่มีนามบัตร, รูปถ่าย กระดาษโพสต์อิทและอื่นๆ จากนักท่องเที่ยวทั่วโลกนำมาติดเต็มผนังภายในสถานีเต็มไปหมด แถมมีร้านกาแฟน่ารักๆอยู่ข้างในด้วย แบบนี้น่าสนใจมากๆ จะผ่านไปเลยคงไม่ใช่ผมแน่ๆ  และหลังจากนั้นก็จะเดินเท้าไปที่ทะเลสาบโทฟุสึ( Tofutsu Lake) โดยจะพบหงส์วูเปอร์(Whooper Swan)ในฤดูหนาวคือช่วงนี้เยอะมาก หลังจากนั้นก็รีบกลับมาที่สถานีคีตะฮามะอีกครั้งเพื่อขึ้นรถไฟเที่ยวต่อไปคือเวลา 16.35 น.ไปคูชิโระต่อไป แพลนทั้งหมดหวังว่าคงสำเร็จนะครับ แต่จริงๆจะออกมายังไงก็คงต้องติดตามอ่านกันครับ


เดินออกมาจากทางออกของพิพิธภัณฑ์เรือนจำอะบาชิริก็เดินมาข้ามสะพานคากามีซึ่งตอนนี้ขามโพลนไปด้วยหิมะที่ตกลงมาอยู่ตลอด


ณ ตอนนี้ที่ป้ายรถบัสของพิพิธภัณฑ์ฯเป็นเวลา 12.32 น. จากตารางที่ดูมานั้น เที่ยวต่อไปรถจะมาเวลา 12.50 น.โดยรถจะแล่นไปป้ายสถานีอะบาชิริต่อไป แต่ในตารางเวลาของป้ายที่นี่ บอกว่าเที่ยวต่อไปคือ 12.46 น.(ตารางล่าง) ก็โอเคอยู่ ต่างกันเพียง 4 นาที ไม่เป็นไร โดยผมไม่ได้ดูเวลาอีกขานึงเลยว่ามาถึงกี่โมง(ตารางบน)


ถ่ายสภาพตัวเองกับป้ายรถบัสซะหน่อย ซึ่งหนาวๆ เพราะหิมะตกลงมาตลอดเลย มองไปรอบๆจะหลบหิมะตรงไหนดีว้าาา? อ้อ....เหลือบไปเห็นป้อมสูงๆอันนึง ไหนไปดูซิว่าเข้าไปหลบได้มั้ย...


ฮ่าๆๆ ก็เข้ามาข้างในได้ แล้วมีที่ให้นั่งด้วย ก็มันคือที่นั่งรอรถบัสนั่นเอง เวลาฝนหรือหิมะตกนะครับ บ้านเราไม่มีไม่ได้เป็นแบบนี้นั่นเอง นั่งรอไปก็ชะโงกดูรถบัสผ่านกระจกไปว่าจะมาตอนไหนกันนะ ดูเวลาไปเรื่อยๆ มีคนจีน 2 คนและฝรั่งอีก 2 คนเข้ามารอข้างในด้วย จาก 12.32 น. เป็น 12.40 น. เป็น 12.46 น. ก็ยังไม่มีรถใดๆมา จวบจน 12.50 น. ก็ยังไม่มีรถมาอีก ในใจคิดแล้วว่า สงสัยต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆเลย ทุกทีไม่ผิดเวลาขนาดนี้นะ แต่ก็คิดอีกว่า เอาน่ารอไปอีก เป็นรถคงติดหิมะ มาตามเวลาไม่ได้ รอจนท้อ...


เวลา 13.17 น. ก็มีรถบัสแล่นเข้ามา ทุกคนที่คอยอยู่(เดาว่าจะกลับไปที่ป้ายสถานีอะบาชิริทุกคน)ก็เดินไปที่รถบัสอย่างกับคิดว่ามันคือสายที่จะต้องกลับไปที่สถานีอะบาชิริจริงๆ ผมเองก็เดินตามไปด้วย บอกตรงๆว่าวินาทีนี้นั้น ไม่มองดูอะไรแล้ว ขอให้มีรถมาก็พอแล้วขึ้นมันหมด คงไปถึงหมดไม่ใช่อีกขาไปแบบที่เรามา แต่พอมาทำรูปนั้นก็พบเลยว่าที่ป้ายบนหัวของรถบัสนั้นบอกไว้ว่า For Tentozan ซึ่งก็คือป้ายต่อไปจากป้ายนี้ไปจอดที่ Tentozan นั่นเองซึ่งมันขาไปครับพี่น้อง!!! ไม่ใช่ขากลับตามที่ 5 คนรวมทั้งผมด้วยเข้าใจกัน แต่อย่างที่บอกไว้ว่า ณ เวลานั้นรถอะไรมาก็ขึ้นหมดโดยไม่สังเกตอะไรเลย ทั้งที่มันห่างจากเวลาตามกำหนดถึง 31 นาทีก็ตาม!!!


พอได้ขึ้นรถไป ช็อตแรกที่ผมคิดว่าขึ้นฝั่งผิดแล้ว นั่นคือ เวลารถออกจากประตูของพิพิธภัณฑ์ฯมันเลี้ยวขวาไป แทนที่จะเลี้ยวซ้ายตรงข้ามกับตอนขามา คราวนี้ดู Google Map ตาม มันไม่ใช่แน่ๆ และแผงด้านหน้ารถที่บอกค่าโดยสารก็ขึ้นอีกสถานีที่ไม่ใช่ป้ายสถานีอะบาชิริ นั่นคือผิดทางแล้วครับพี่น้อง

สุดท้ายผมลงอีกป้ายหนึ่ง คือป้าย Hokkaidō Museum of Northern Peoples (และคนอื่นๆที่รอที่ป้ายเดียวกัน 2 คู่ 4 คนก็ดันลงด้วยสิ) คิดว่า ไหนๆก็ผิดแล้ว งั้นมาดูพิพิธภัณฑ์ของคนชาวเหนือของฮอกไกโดก็ได้วะ จะได้ไม่เสียเที่ยว ผลปรากฎว่า ..... พิพิธภัณฑ์ฯปิดคร้าบบบบบ ฉิบหายแว้ววว


จะแก้เก้อด้วยการเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ฯก็ไม่ได้ซะแล้ว ทำไงต่อดีว้า?? งั้นเดินไปถามคนขับถรถบัสที่จอดอยู่ละกัน ปรากฎว่าก็คือรถบัสที่เราขึ้นมานั่นแหล่ะ วันนี้มันวันหยุด เลยวิ่งไม่เต็มวันนั่นเอง จอดรอเพื่อจะวิ่งกลับนั่นเอง ที่ไปถามคือ ถามว่า ถ้าจะกลับไปที่สถานีอะบาชิริต้องขึ้นที่ไหน? คนขับแกก็บอกว่าให้ไปรอขึ้นรถบัสที่ป้ายตรงโน้น อยู่บนถนนใหญ่พร้อมกับชี้นิ้วให้ดู แล้วบอกว่า รถจะออกเวลา 14.05 น. พร้อมกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ  โอ้ว....ตอนนี้เพิ่ง 13.37 น. โอเค อีกครึ่งชั่วโมง งั้นเดินตามที่คนขับบอก เดินลำบากโพดๆ เพราะหิมะมันท่วมถนนหนามากๆ ต้องค่อยๆเดินครับ ในรูปคือเดินมาตรงถนนใหญ่ เพื่อจะดูซิว่าตรงไหนวะ ป้ายรถบัส เพราะมองไม่เห็นว่าจะมี จะได้ไปคอยถูก


อ่า....มีป้ายรถจริงๆด้วยแฮะ...โอเค ณ จุดนี้ ไม่มี 2 เที่ยวแล้ว เหลือเที่ยวเดียว เวลาต่อไป 14.05 น.จริงๆด้วย เออ...แล้วไปยืนรอตรงไหนดี เพราะ ขณะนี้หิมะตกตลอดเลย ป้ายรถแกก็โล่งซะจริงๆ หลบหิมะไม่ได้เลย


เหลือบไปมองรอบๆ ก็คงไปหลบที่นี่ละกัน ใกล้สุด คือเดินขึ้นไปหลบใต้ชายคาตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ละกัน แล้วใกล้ๆเวลารถออกก็เดินออกมารออีกที


เดินขึ้นมาหลบหิมะได้แล้ว ถ่ายเป็นหลักฐานซะหน่อยว่า มันปิดจริงๆ ไม่ได้โม้ และพอถึงใกล้ๆเวลา 14.00 น. ก็เดินลงไปรอที่ป้ายรถบัสครับ รถก็มาจอดก่อนเวลาด้วย ก็รถเดิมคนขับคนเดิมนี่แหล่ะ และอีก 4 คนที่ลงมาด้วยก็เดินมาขึ้นรถด้วยกัน เป็นอันว่าได้ขึ้นรถถูกฝั่งแล้วจริงๆ ได้กลับไปที่สถานีอะบาชิริสมใจแล้ว


14.22 น.รถมาจอดที่ป้ายสถานีอะบาชิริคนละจุดกับขาไป แต่จะใกล้สถานีรถไฟหน่อย ด้วยความหิวข้าว เลยเดินมาที่ร้านนี้ ร้านสุกิยะ ต้องลองข้าวหน้าเนื้อซะหน่อย


ไม่รอช้า สั่งข้าวหน้าเนื้อไป 1 ชามพร้อมไข่ออนเซ็น ให้เยอะด้วย ชุดนี้ 500 เยน เวลามีไม่มากครับ เพราะต้องเปลี่ยนกางเกงและไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ด้วย เพราะรถไฟจะออกเวลา 15.10 น. มีเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงต่อจากนี้

ทานข้าวหน้าเนื้อเสร็จก็แวะไปที่โรงแรมโตโยโกะอินน์ รับกระเป๋าสะพายที่ฝากไว้พร้อมขอเข้าห้องน้ำเปลี่ยนกางเกง ห้องน้ำเขาใหญ่สุดๆ เปลี่ยนได้สบายๆ แล้วก็วิ่งแจ้นมาที่สถานีอะบาชิริต่อไป บันไดทางขึ้นสถานีรถไฟโดยปิดไป 1 ช่องเนื่องจากหิมะถล่ม อิอิ


ใช้พาสฮอกไกโด 3 วันผ่านเข้ามาที่ชานชาลาแบบฉลุย ตรงนี้ก็ไม่แพ้กัน หิมะถล่มจนกระเซ็นมาที่ชานชาลา พนักงานต้องเก็บกวาดกันไป ส่วนที่รางก็ขาวโพลนไปหมด เกือบจะไม่เห็นรางรถไฟกันเลยทีเดียว อ้อ...ขบวนนี้ไม่ใช่ขบวนที่จะขึ้นนะครับ โน่น อีกฝั่งหนึ่ง


ข้ามฝั่งมาก็จะเจอกับขบวนที่จะขึ้นไป นั่นคือขบวน JR Senmo Line  for KUSHIRO ขบวนนี้เป็นขบวนที่ไม่ต้องจองที่นั่งล่วงหน้ามาครับ ฉะนั้น ใครใคร่นั่งไหนก็นั่งไปเลย และที่นั่งก็ไม่เต็มด้วย เพราะเป็นสายชนบทคนขค้นน้อยมากๆ


เข้าไปนั่งด้านในเลยครับ เห็นอะไรมั้ยครับ ช่องที่ว่าคือช่องของพนักงานขับรถไฟซึ่งขบวนนี้มี 2 ตู้รถไฟ(เขาไม่ให้เรียกโบกี้แล้ว) ทั้ง 2 ตู้เวลาจะขึ้นและลงต้องมาที่ตู้นี้และผ่านพนักงานขับรถไฟด้วยทุกครั้ง เพราะตัวสถานีในเส้นทางนี้จะไม่มีพนักงานรถไฟคอยตรวจตั๋วนะครับ พนักงานขับรถไฟบนรถไฟนั่นเองที่จะตรวจตั๋วว่าถูกต้องมั้ยตอนจะลงทุกครั้ง จึงเป็นข้อเฉลยที่มีคนที่มาขึ้นสายนี้แล้วถามว่า สถานีเล็กๆไม่มีพนักงานรถไฟอยู่จะซื้อตั๋วยังไง ก็เวลาจะลงรถไฟต้องผ่านช่องพนักงานขับรถไฟทุกครั้งเพื่อจ่ายค่าตั๋วรถไฟให้พนักงานขับรถไฟนั่นเอง ส่วนพาส JR ก็แค่โชว์ให้เขาดูก็เป็นอันเสร็จพิธี


รถไฟแล่นออกจากสถานีอะบาชิริแล้วครับ โค้งนิดนึงก่อนที่จะเลียบทะเลไป


นี่ครับ พอทางตรงก็จะแล่นเลียบทะเลแบบนี้ เสียดายกระจกไม่ใสเอาซะเลย คงโดนหิมะมา


แล้วรถไฟก็มาจอดที่สถานีนี้ สถานีที่ 2 จากสถานีอะบาชิริ(สถานีที่ 1 คือ KATSURADAI) ชื่อว่า Masuura Station ที่ใครๆก็บอกว่าเป็นสถานีที่เล็กมากๆ


เนี่ย...มีอยู่แค่นี้จริงๆ ตัวสถานี


บางช่วงก็จะห่างจากชายฝั่งทะเลแบบนี้บ้าง แต่วิวยังสวยตลอดเลย


แล้วก็มาถึงแล้วครับ สถานีรถไฟอันขึ้นชื่อของนักเดินทางทั่วโลก สถานีคีตะฮามะ(Kitahama Station) เพียง 18 นาที หรือ 11.5 กม. จากสถานีอะบาชิริเท่านั้น ก่อนลงพนักงานขับรถไฟก็ขอดูตั๋วนะครับ ซึ่งไม่มีเพราะใช้ JR Pass ก็ควักโชว์เขาก็เป็นอันเสร็จครับ ลงจากรถไฟได้

Kitahama แยกเป็น 2 คำ คือ Kita แปลว่า เหนือ และ Hama แปลว่า ชายฝั่ง ในภาษาญี่ปุ่น ฉะนั้น Kitahama จึงแปลว่า ชายฝั่งทางตอนเหนือ(ฮอกไกโด) นั่นเอง 


ออกไปส่งรถไฟที่มาส่งเราหน่อย...โน่นกำลังแล่นจากไปทางโน้น


เข้ามาภายในสถานีอีกครั้ง โห...ความรู้สึกแรกมันตื่นเต้นอ่ะ มีนามบัตร กระดาษโน่นนี่ติดเต็มไปหมด ไม่คิดว่าจะติดเพดานด้วยนะเนี่ย มุมนี้คือมุมจากด้านหน้าประตูไปทางด้านหลังนะครับ ซึ่งด้านหลังก็มีประตูด้วยเช่นกัน ออกไปจะเจอกับถนนครับ


ผมหมุนขวาทีละ 90 องศาเพื่อเก็บภาพภายในสถานีทั้ง 4 ด้าน มุมนี้ทางขวามือของประตูทางเข้าหน้าด้านติดรางรถไฟ จะเห็นว่ามีประตูอยู่บานหนึ่งที่มีช่องกระจกอยู่ คือร้านกาแฟนั่นเอง แต่น่าเสียเดีย มันปิดแล้วครับ อดมานั่งดื่มกาแฟชิลล์ๆเลย ฮือๆ เข้าไม่ได้นะครับล็อคอยู่


หันมาอีกมุม เป็นด้านหน้าทางเข้าครับ ที่หันไปทางรางรถไฟและชายทะเล เพดานก็ยังไม่เว้นมีคนเอากระดาษไปแปะอีก


หันมาอีกมุมหนึ่ง ด้านซ้ายมือของทางเข้า จะเห็นม้านั่งพลาสติก 4 สีด้วยกัน สีสันสดๆตัดกับห้องได้เป็นอย่างดี ผมว่าเขาจงใจมากๆที่เลือก 4 สีนี้มาไว้ในห้องสถานีนี้ อ้อ...ที่เห็นประตูทางขวามือนั่นคือห้องน้ำนะครับ จะบอกว่า สะอาดและน้ำไหลแรงด้วย เพราะผมแวะปัสสาวะตอนขากลับครับ จริงๆตอนถ่ายรูปนี้ก็ไม่ได้สังเกตว่ามีห้องน้ำอะไรหรอก แต่พอเวลานั้นมันอยากเข้าห้องน้ำเลยหาดู โอ้วว มีห้องน้ำซ่อนอยู่จริงๆด้วยแฮะ


มุมเดินแต่ถ่ายช้อนขึ้นไปให้เห็นไฟฟลูออเรสเซนต์ด้วย กระดาษที่ติดนี่มันตระการตาจริงๆครับ และต้องขอบคุณที่ ณ เวลาที่ผมเข้ามาถ่ายรูป ไม่มีใครมาใช้เลย ผมเลือกมุมถ่ายต่างๆได้ตามสบายเลยครับ สุดๆไปเลย


ออกมาเก็บภาพและบรรยากาศด้านนอกสถานีกันบ้าง ลมแรงมากๆเพราะติดชายทะเล ดูสิครับ ต้องมีไม้กระดานมาบังความแรงของลมและคงบังคลื่นด้วยมั้งครับ


หันไปทางซ้ายของสถานี โล่งมากๆ


ด้านนอกก็มีเก้าอี้พลาสติก 4 สีอีกแว้ววครับ แต่ขอบอกว่า นั่งไม่ไหวหรอก เพราะทั้งหนาวและลมแรงเอามากๆเลย


เดินมาทางนี้ดีกว่า ทางที่รถไฟแล่นทิ้งผมไป หรือแล่นไปคูชิโระนั่นเอง กลับกันจะแล่นมาที่อะบาชิริ


เดินไปดูหอคอยชมวิวกันดีกว่า


ตอนแรกเห็นบอกว่ามี 2 ชั้นก็ยังนึกไม่ออก จริงๆสถานีมีชั้นเดียวนะครับ แต่จะสามารถชมวิวมุมสูงได้จากหอคอยไม้นี้ต่างหาก


มุมนี้สวยอีกแล้วววว


มา...เรามาชมคลิปวิดีโอที่พาสำรวจสถานีคีตะฮามะ(Kitahama Station) โดยผมเองกันครับ


เมื่อได้เวลาแล้วก็ต้องรีบออกเดินต่อไปด้วยเท้าไปที่ทะเลสาบโทฟุสึ( Tofutsu Lake) เพื่อไปชมหงส์ครับ ไม่แน่ใจจะทันมั้ย


เดินมาที่ถนนใหญ่ พื้นเต็มไปด้วยหิมะ บอกเลย เดินลำบากมากๆ แผ่นรองรองเท้ากันลื่นก็เหลืออยู่ข้างเดียวแล้ว ณ ตอนนี้เวลา 15.54 น. ผมต้องไปและกลับมาให้ทันขึ้นรถไฟเที่ยว 16.35 น. เหลือเพียง 39 นาทีเท่านั้น


ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ แสงก็จะเริ่มหมดลงเรื่อยๆ ผมดูนาฬิกาตลอดเวลา พร้อมกับแผนที่บนมือถือว่าใกล้เข้ามาหรือยัง ซึ่งจริงๆก็ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ตรงไหนหรอกนะครับ เจ้าทะเลสาบโทฟุสึ( Tofutsu Lake)เนี่ย แต่เห็นด้านขวามือขนานไปกับถนนมีเป็นทำนบยกขึ้นสูงจากพื้นดิน เดาว่าน่าจะเป็นตัวทะเลสาบแน่ๆครับ แต่เรื่องของเรื่องคือ เดินก็ทำได้ช้าเพราะหิมะกองท่วมสูงจากพื้น กระเป๋าก็หนักมาก แสงก็จะหมด ดูว่าตอนนี้ 16.00 น.เข้าไปแล้วสิ เหลือเพียง 35 นาทีทั้งไปให้ถึง ไหนจะใช้เวลาชมอีก และเวลาเดินกลับมาที่สถานีอีก แม้จะกลับมาไม่ทันรอบ 16.35 น.แต่ก็มีรอบ 19.10 น. แต่ผมมองว่า มันจะดึกเกินไป แถม ถ้าฝืนเดินไปดูหงส์ที่ทะเลสาบอาจไม่เห็นอะไรแล้วก็ได้เพราะมันจะมืดแล้ว สุดท้ายเลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่สถานีคีตะฮามะตามเดิม ทิ้งแพลนไปดูหงส์ไว้ เพราะไม่สามารถจริงๆ


ขากลับแวะร้านมินิมาร์ทซื้อขนมปังไปทานตอนที่นั่งในรถไฟครับ เพราะนานพอควรกว่าจะถึงคูชิโระ


นี่ครับ ออกจากมินิมาร์ท ใกล้จะถึงสถานีคีตะฮามะก็เกือบมืดอย่างที่เห็น ซึ่งตอนนี้เวลา 16.18 น.เพียงเท่านั้น ถ้าเดินไปก็ไม่เห็นหงส์ หรือไม่ก็ถ่ายรูปยากอยู่ดี


แต่ ณ เวลานี้บอกเลย ท้องฟ้าแจ่มมากๆ สีสวย


สถานีคีตะฮามะ(Kitahama Station) เปิดไฟสว่างไสวแล้ว ผมยังคิดว่าเข้าไปาถานีตอนนี้น่าจะเจอคนบ้างหล่ะ ผิดคลาด ไม่มีคนเหมือนเดิม ก็ปวดฉี่ครับ ในใจคิดว่าจะฉี่ที่ไหนดี เดินเลยมินิมาร์ทมาแล้ว ที่สถานีไม่รู้จะมีห้องน้ำมั้ย มองไม่เห็นซะด้วย แต่พอสำรวจ อ้าว...มีจริงๆ ก็ประตูไม้ที่ผมบอกไปตอนแรกไงครับ ห้องน้ำสะอาดด้วยสิ


ออกมารอด้านหน้าตรงฝั่งรางรถไฟ เขาเปิดไฟอัตโนมัติสว่างไสวจริงๆ อีก 2 นาทีรถไฟจะมา


โอ้ว...ทางซ้ายมือเห็นไฟหน้าจากรถไฟมาแล้ว ดูนาฬิกาเหลือเวลาอีก 1 นาที ตรงเป๊ะๆจริงๆเลยรถไฟญี่ปุ่นเนี่ย


รถไฟที่ว่าก็มาจอดตรงเวลาเป๊ะๆ 16.35 น. มีอยู่ 2 ตู้รถไฟ และคนที่ลงก็ต้องมาลงที่ตู้รถไฟตู้แรกทุกคนเพื่อให้พนักงานขับรถเช็คค่าโดยสารโดยจ่ายที่เขาเลย อ้อ สายนี้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิคส์ไม่ได้นะครับ เพราะไม่มีเครื่องรับ ต้องเงินสดจ่ายให้กับพนักงานขับรถเท่านั้น ก็เป็นอันว่า ผมได้ขึ้นรถไฟขบวน JR Senmo Line  for KUSHIRO เพื่อไปลงสุดสายที่สถานีคูชิโระ(Kushiro Station) ในเที่ยวเวลา 16.35 น. โดยจะถึงปลายทางเวลา 19.54 น. แล้วมาเจอกันใหม่ในตอนหน้านะครับ จะไปลงสถานีคูชิโระและสำรวจป้ายรถบัสที่จะขึ้นไปดูนกกระเรียนในวันรุ่งขึ้นครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น