[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เดินออกมาจากชานชาลาสถานีซัปโปโรก็เลี้ยวไปทางซ้ายมือ จะเห็นป้ายที่เขียนว่า North Exit ซึ่งเป็นประตูทางออกจากสถานีทางเหนือนั่นเอง ส่วนฝั่งขวามือก็จะเป็นทางใต้นะครับ ปล.จะสังเกตว่าออฟฟิศ JR สำหรับแลก JR Pass และตั๋วจองที่นั่งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อหันหน้าไปทางประตูทางออกทางเหนือ(ตามรูปด้านบน)
เข้าไปเช็คอินพร้อมกับแสดงบัตรสมาชิกคลับเพื่อส่วนลดตามวันที่กำหนด จ่ายเงินจะเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ตามสะดวกนะครับ แล้วก็ฝากสัมภาระไว้ โดยเขาจะเก็บของเราแอบๆพร้อมกับให้บัตรกระดาษที่มีหมายเลขไว้กับเราเพื่อจะได้มารับสัมภาระตรงตามที่เขาเก็บไว้ให้ไม่ผิดเจ้าของ และเช่นเคยคือ เข้าห้องพักได้ตอนเวลา 15.00 น.ครับ
ต่อจากนั้นก็เดินออกจากโรงแรมย้อนมาทางเดิมที่มาเพื่อกลับไปยังสถานีซัปโปโร เพื่อไปแลก JR Pass ตัวจริงของพาสที่ยังไม่ได้แลกอีก 1 ใบถ้ายังจำกันได้ครับ อ้อ...ที่ยังไม่แลกตอนมาถึงสถานีเลยเพราะไม่อยากพะรุงพะรังครับ โรงแรมก็อยู่ใกล้ๆเลยขอมาเก็บสัมภาระก่อนดีกว่า แล้วค่อยเดินย้อนมาอีกที ตรงนี้เป็นมุมที่มองเห็นหอนาฬิกาทางขวามือครับ หิมะยังคงตกปรอยๆ ไม่หนักมากนัก
แล้วก็มายืนรอสัญญาณไฟที่สี่แยกนี้ ข้ามไปเดินอีกนิดก็จะถึงสถานีซัปโปโรเลย เรียกได้ว่าใกล้สถานีมากๆครับสำหรับโรงแรม Toyoko-Inn ทั้งที่นี่และที่ฮาโกดาเตะเมื่อวานนี้ คิดม่ผิดที่เลือกพักในเครือโรงแรมนี้ครับ
ทางซ้ายมือก็จะเป็นถนนที่รอดทางรถไฟ JR ที่ผมขึ้นมานี่เองครับ หิมะถูกนำไปกองกันที่ขอบๆถนน
เข้าไปภายในสถานีแล้วก็เดินไปทางขวามือเพื่อไปยัง Ticket Counter ของ JR ครับ โดยผมจะมาแลก Hokkaido Rail Pass 3 Days ที่ยังไม่ได้แลกพาสจริงที่นี่ครับ หลังจากแห้วแลกไม่ได้ที่สถานีอูเอโนะ และลืมแลกอีกครั้งที่สถานีฮาโกดาเตะที่ผ่านมานั่นเอง!!!
แล้วจะบอกว่าต้องไปแลกพาสตัวจริงที่เคาน์เตอร์ฝั่งขวามือที่เขียนว่า Travel Service Counter เพราะตอนแรกเผลอไปยืนต่อคิวที่เคาน์เตอร์ออกตั๋ว(Ticket Counter) ด้านซ้ายมือ พอถึงคิวกับเจ้าหน้าที่ก็ชี้ให้มาที่นี่
เอา Exchange Order ที่ซื้อมาจากในไทย(ซ้ายมือ) ยื่นให้ทางเจ้าหน้าที่แล้วแจ้งด้วยว่าเราจะเริ่มใช้พาสนี้วันไหน โดยจะนับลงในพาสเลยว่าวันที่ 1, 2 และ 3 ต่อเนื่องกันที่ใช้พาสนี้ได้เป็นวันไหน ไม่เหมือนกับพาสเดิมที่ใช้วันไหนก็ได้ 6 วันจาก 14 วันนับจากวันที่แลกพาสจริง สรุปคือ เริ่มใช้วันแรกคือวันที่ 29 ธค. 60 และนับไปอีก 3 วันคือ วันที่ 30 ธค. วันที่สอง และสิ้นสุดวันที่ 31 ธค. 60 วันที่สามนั่นเอง
ผมไม่ลืมที่จะถามเจ้าหน้าที่ว่า ที่นี่ปิดตอนกี่โมง เพราะผมได้จองตั๋วที่นั่งรถไฟล่วงหน้าจากในเว็บมาแล้วเมื่อวานโดยจะต้องมารับตั๋วจองที่นั่งที่นี่ในวันรุ่งขึ้น แต่วันรุ่งขึ้นผมมีแพลนจะไป Kiroro Ski Resort ซึ่งจะใช้เวลาทั้งวันเลย กลับมาอาจจะ 6 โมงเย็นหน่อยๆ กลัวปิดซะก่อน แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาว่า วันธรรมดาจะปิด 19.30 น. โอเค...ตามโปรแกรมที่จะนั่งรถไฟกลับมาที่นี่จากโอตารุยังคงทัน
เสร็จสิ้นภาระกิจแลก JR Pass แล้ว(เก็บพาสตัวจริงเท่าชีวิตเลยนะครับ เพราะถ้าหายแล้วหายเลยขอใหม่ไม่ได้นะครับ) ก็เริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวอันแรกของวันนี้กัน คือ ไปพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร ซึ่งอยู่ไปทางทิศตะวันออกของสถานี นั่นคือเดินเลยโรงแรม Toyoko-Inn ที่พักในวันนี้ไปอีกครับ
ผ่านมารอสัญญาณไฟแดงที่สี่แยกนี้อีกเช่นเคย ได้เห็นหอนาฬิกาอันเดิมและยังเป็นทางเดินลงไปที่สถานีซัปโปโรอีกด้วยนะครับ
เลยโรงแรม Toyoko-Inn มาแล้ว ก็จะเจอกับสี่แยกอีกแยกหนึ่ง ซึ่งถ้ามองไปทางทิศตะวันออกก็จะเห็นปล่อง stack สีขาวแดงอันมหึมาเลยทีเดียวครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันคือปล่องอะไร
ค่อยๆเดินมาเจออีกหนึ่งแยก คราวนี้ต้องรอาัญญาณไฟเพื่อข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน ซึ่งผมก็ยังงงๆอยู่ว่า จะใช่ทางนี้มั้ยน้อ?
ข้ามถนนมาแล้วก็เดินตาม Google Map มาเรื่อยๆครับ เดินมาทางที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งไม่ได้มีรถแล่นไปมาแต่อย่างใด ณ ตอนนี้ผมยังไม่ได้ใส่แผ่นรองรองเท้ากันหิมะลื่นนะครับ
เดินมาเรื่อยๆก็จะมาทะลุกับอีกถนนเส้นหนึ่งแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปตามทางนี้ครับ เดาว่าน่าจะซ้าย เพราะขวามันดูไกลๆยังไงไม่รู้ แล้วเดินไปตามทางเรื่อยๆจนกว่าจะถึงสี่แยกที่เห็นไกลๆข้างหน้าโน้นครับ
พอมาถึงสี่แยกนี้ก็เลี้ยวขวายืนรอข้ามทางม้าลายที่จุดนี้ น่าจะไปทางนี่ตาม Google Map
ข้ามมาแล้วครับ ตรงหน้าเป็นร้าน Docomo ร้าน Operator สัญญาณมือถือที่โด่งดังเจ้าหนึ่งของญี่ปุ่นเขาเลย แล้วก็เดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ
แหงนมองทางด้านขวามือ อ่า...เห็นปล่อยที่มีดาวสีแดงแล้ว คงมาไม่ผิดแน่ๆ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
แล้วก็มาเจอกับป้ายรถเมลครับ ที่ถ่ายมาให้ดูเพราะอยากให้เห็นว่า มีกองหิมะด้านฟุตปาทกองสูงมากๆ ฝั่งตรงกันข้ามของถนนก็ด้วย คงจะมีเจ้าหน้าที่ใช้รถตักล้อยางตักหิมะที่สุมๆกันที่ถนนแล้วกวาดมากองไว้ที่ 2 กองนี้นะครับ เยอะจริงๆ
ผ่านป้ายรถเมลมาทางเข้าพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรก็จะอยู่ทางขวามือครับ เดินเข้าไปเลย
เดินไปเก็บภาพใกล้ๆครับ เป็นอาคารอิฐสีแดงสวยเชียว
และนี่ก็คือถังหมักเบียร์ที่วางซ้อนกัน 3 ชั้น 3 แถวด้วยกัน เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบได้นะครับ
ส่วนอันนี้ตั้งอยู่อีกฝั่งของถนน ตรงข้ามทางเข้าพิพิธภัณฑ์เบียร์ มันคืออะไรผมยังไม่รู้เลยแฮะ 555
จากทางเข้าเมื่อสักครู่ผ่านประตูกระจกอัตโนมัติเสร็จก็เลี้ยวซ้ายขึ้นลิฟท์มาชั้น 3 หรือไม่ก็เดินขึ้นบันไดวนที่อยู่ทางซ้ายมาเริ่มที่ชั้น 3 ชั้นบนสุด แล้วเดินเข้าไปภายในก็จะเจอหอกลั่นเบียร์/หม้อต้มเบียร์ทางซ้ายมือนี้พร้อมกับเดินไปตามทางที่เขาจัดไว้วนลงไปชั้นล่างเรื่อยๆครับ
เดินตามทางลงมาชั้น 2 1/2 ก็ย้อนไปถ่ายทางที่เดินมา มันจะเป็นทางเดินโค้งรอบหม้อต้มเบียร์สีทองแดงใบใหญ่นี้ครับ
แล้วก็ลงมาถึงชั้น 2 ถ่ายให้เห็นทางเดินที่วนรอบหม้อต้มเบียร์
ก็จะมีรูปภาพและคำอธิบายขบวนการต่างๆ
เริ่มต้นสเต็ปแรก ปี 1869 ก่อตั้งโรงเบียร์
อันนี้เป็นโมเดลจำลองโรงเบียร์ ณ ขณะนั้น ใหญ่โตทีเดียวนะครับ
ตรงนี้จะเป็นบอร์ดให้เห็น Timeline ของโลโก้โรงเบียร์ซัปโปโรครับว่าแต่ละปีนั้นเปลี่ยนโลโก้เป็นลักษณะไหนไปบ้าง กว่าจะมาถึงปัจจุบัน
เดินเก็บภาพมาเรื่อยๆครับ ไม่ได้เก็บมาทุกสเต็ป ในปี 1877 ก็เริ่มส่งมอบเบียร์ซัปโปโรไปให้ลูกค้าเป็นครั้งแรก
ตรงนี้เดาว่าน่าจะเป็นรูปโฆษณาเบียร์ในปีต่างๆที่ผ่านมานะครับ มีทั้งสาวในชุดกิโมโน และชุดสมัยใหม่วาบหวิวนะครับ
ปี 1903 เบียร์ซัปโปโรก็กลายเป็นธุรกิจการกลั่นเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยได้เปิดสาขาโรงกลั่นเบียร์ที่โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น
ปี 1977 เป็นปีที่เริ่มยุคของดราฟท์เบียร์ หรือเบียร์สดนั่นเอง ขวดที่ใช้บรรจุเบียร์สดซัปโปโร เรียกว่า "Sapporo Bin-Nama"
บอร์ดนี้ก็น่าจะเป็นโปสเตอร์โฆษณาเบียร์ในสมัยต่างๆในอดีตที่ผ่านมาเช่นกันครับ
เดินดูจนหมดชั้น 2 ก็ได้เวลาลงมาชั้น 1 เพื่อมาต่อแถวจิบเบียร์อันโด่งดังของซัปโปโรกันครับ โดยแถวแรกที่ต่อนี้คือแถวกดเลือกซื้อเบียร์ 3 ชนิดด้วยกัน จากเครื่องอัตโนมัติ พอได้ตั๋วจากเครื่องถึงจะไปให้พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เบียร์อีกทีเขาก็จะกดเบียร์ตามที่ตั๋วบอกว่าชนิดอะไรบ้าง
ที่ตู้กดมีให้เลือกกดชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือ 2 ชนิด หรือแบบแพ็คเกจ 3 ชนิดด้วยกันก็ได้ตามสะดวกครับ แต่แบบแพ็ค 3 ชนิดเลยนั้นราคาจะถูกกว่ากดทีละชนิดรวมกัน คือ 600 เยน คนที่ยืนข้างหน้าผมเป็นคนจีน(เดา) เนื่องจากพอถึงคิวเค้างงๆว่ากดยังไง ผมเห็นว่างงก็แสดงว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นแน่ๆ ก็เลยช่วยบอกไปว่า Insert the money first เขาก็หันมา Thank you ก็ว่ากันไป อิอิ
ผมเลือกแบบแพ็ค 3 ชนิดเลย ราคา 600 เยนอย่างที่บอกไว้ ถ้ากดแยกจะต้องจ่าย 200+200+300 = 700 เยน พอได้ตั๋วมาก็มาต่ออีกแถวหนึ่ง เป็นแถวรอรับเบียร์จากสาวๆเชียร์เบียร์นะครับ
เบียร์ 3 ชนิดนั้นมีอะไรบ้าง ก็นี่เลย เรียงจากใกล้ตัวไปไกลตัว หรือจากขวาไปซ้ายนะครับ 1.Black Label --> 2.Classic --> 3.kaitakushi
นี่หน้าตรง น้องสองคนน่ารักมั้ยครับ อิอิ ภาพเบลอไปนิด เบลอว่ารักแถบ...แบบว่ารักเธอ...555 จะอ๊วก
ได้มาครอบครองแล้วครับ เบียร์ 3 ชนิดในที่ถือแบบกันหกแถมพร้อมของขบเคี้ยว 1 ถึงฟรีครับถ้าสั่งแบบ 3 ชนิด เดินหาที่นั่ง ไม่มีเก้าอีั้ว่างแฮะ คนจองกันหมด งั้นเลือกเอาแบบยืนดื่มก็ได้ครับยังพอมีที่ว่างให้เข้าไปวางถาดเบียร์แล้วยืนดื่มกัน ถามว่าแต่ละชนิดรสชาติยังไงนะเหรอ บอกเลยตอบไม่ได้ครับ ลิ้นแยกแยะไม่ค่อยออก แต่ดื่มไปสักพักจะรู้สึกเมาๆครับ พอเดินได้ แต่ยังไงซะก็ไม่ได้ขับรถอยู่แล้ว เมาไม่ขับนะครับ!
ด้านนี้คือนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะดื่มเบียร์ด้วยกันครั้งนี้ละกันครับ แต่ละคนก็แค่คนละแก้ว ส่วนผมเหมาคนเดียว 3 ชนิด 3 แก้วเลย เอ้า....เชียร์ เอ๊ะ..หรือคัมปายยย กันนะ
อีกมุมทางด้านซ้ายของโต๊ะครับ แหม...มีโคมไฟที่ทำจากขวดเบียร์ด้วยแฮะ
ก็พอหมดไป 3 แก้ว รู้สึกกรึ่มๆ ก็เดินออกจากพิพิธภัณฑ์มาด้านนอก เตรียมจะเดินไปรอรถเมลที่ป้ายรถเมลด้านทางเข้าที่อยู่ตรงโน้นอ่ะครับ จุดหมายต่อไปคือ หอทีวีซัปโปโร(Sapporo TV Tower) แล้วมาติดตามชมในตอนต่อไปนะครับ
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น