วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 1 เหินฟ้าสู่ดินแดนภารตะ มุ่งสู่อินเดียเหนือ เลห์เมืองหลวงแห่งลาดักห์


ทริปนี้เกิดขึ้นจากช่วงกลางปี 2011 มีโปรแอร์เอเชียราคาไม่แพง เลยเล็งๆไว้ว่าจะไปไหนดี ปรากฎไปได้เส้นทางไปกลับกทม.-เดลี เพราะเห็นรูปจากเพื่อนๆที่เลห์ ลาดักห์สวยมากๆ ภูมิประเทศก็แปลกตาออกไป อยากไปเยือนสักครั้ง ประกอบกับตัวเองเพิ่งกลับจากอินเดียเมืองดิว แคว้นกุจราทจากการอบรมพอดี เลยคุ้นกับอินเดียพอสมควร

หาข้อมูลกับเลห์เล็กน้อยจากอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะ TKT พอได้ฤกษ์ก็จองตั๋วทันที วันเดินทางแพลนไว้คร่าวๆคือเดือนเมษายน 2012 เพราะต้องการใช้วันหยุดยาวของช่วงสงกรานต์นั่นเอง แต่สุดท้ายพอจองเสร็จ กลับมาดูข้อมูลอีกครั้ง พบว่า ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นอากาศที่เลห์หนาวมาก ไม่เห็นอะไรเลย ร้านอาหารก็ปิด ไปทะเลสาบแปงกองก็อาจไม่ได้ไป ถึงจะไปก็คงเห็นแค่ทะเลสาบน้ำแข็ง ไม่สวย ซึ่งทำให้การไปเที่ยวเลห์ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่คุ้มทันที เราเลยเสียเงินเปลี่ยนวันเดินทางเป็นช่วงเดือนกรกฎาคม 2012 เพราะช่วงนี้น้ำแข็งจะละลายและเป็นช่วงท่องเที่ยวของที่นั่นพอดี เบ็ดเสร็จราคารวมเป็น 18,000 บาท/2 คน เพิ่มมาจากราคาเดิม 4,400 บาท !

ระยะเวลาที่เหลือกว่า 1 ปี ก็หาข้อมูลกันไป คิดว่าคงไม่มีอะไรมาเซอร์ไพร์สก่อนไปเที่ยวทริปนี้ แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2012 แอร์เอเชียก็ทะยอยส่ง SMS มาให้ลูกค้า ว่ายกเลิกเที่ยวบินที่บินไปเดลีตั้งแต่เดือนมีนาคม 2012 ! เอาเข้าแล้ว โดนแอร์เอเชียอีกแล้ว สุดท้ายได้เงินคืนหมด ก็แน่หล่ะ เพราะสายการบินทำผิดเอง ยกเลิกเส้นทางบินซะงั้น เอาเงินไปลงทุนเกือบปี คืนแค่ต้นอย่างเดียวเอง ไม่รับผิดชอบเรื่องไฟล์ทที่จะจองต่อกันไปหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เป็นไร เพราะเรายังไม่ได้จองเครื่องบินภายในประเทศ

จากการที่แอร์เอเชียยกเลิกเที่ยวบินดังกล่าว เราจึงรีบหาสายการบินใหม่เพื่อบรรลุการเดินทางครั้งนี้ให้ได้ ไปได้สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ไปกลับกทม.-เดลี คนละ 12,000 บาท ราคาเพิ่มขึ้นมาคนละ 3 พันบาท แต่ก็ต้องเอาเพราะสายการบินอื่นเวลาไม่ดี ต้องเสียเวลาเป็นวันกว่าจะต่อเที่ยวบินภายในประเทศไปเลห์ต่อ

จบเรื่องเครื่องบินไปเดลี ก็ต้องมาปวดหัวกับเครื่องบินภายในประเทศอินเดียจากเดลีไปเลห์กันอีก หาหลายสายการบิน ที่เล็งๆไว้คือ Kingfisher ก็มาโดนเรื่องล้มละลายอีก ดีที่ยังไม่ได้จองไป หาเที่ยวบินก็ไม่มีแล้วด้วยสิ สุดท้ายไปได้สายการบิน JetAirways สายการบินดังของอินเดีย แต่ราคาไม่ได้ถูกเท่าไหร่ จองครั้งแรก เลือกไปกลับเดลี-เลห์ แต่ไปๆมาๆ อ่านบันทึกของเพื่อนๆ โดยเฉพาะคุณ Nat ที่ได้นั่งรถจากเลห์ไปศรีนาการ์ แล้วมีพระพุทธรูปอันใหญ่ๆระหว่างทาง เลยเปลี่ยนเที่ยวบินอีกครั้ง ทิ้งตั๋วจากเลห์กลับมาเดลี เป็นซื้อเพิ่มจากศรีนาการ์กลับมาเดลีแทน แต่ก็คุ้มครับ เพราะเปลี่ยนเที่ยวบินจากเลห์-เดลีเองจะเสียเงินมากกว่า ทั้งหมดก็จบด้วยดีกับการจองตั๋วเครื่องบินทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ

มากันที่การจองรถไฟในอินเดียครับ ทริปนี้มีขึ้นรถไฟด้วย เพราะอยากไปดูทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก แพลนเป็นช่วงสุดท้ายหลังกลับจากศรีนาการ์ โดยเมื่อกลับมาถึงเดลีก็ไปหาสถานีรถไฟเดลีแล้วไปขึ้นรถไฟกันเลยในวันนั้นเพื่อไปลงเมืองอักราตอนดึก แล้ววันรุ่งขึ้นเที่ยวทัชมาฮาลทั้งวันและอื่นๆ จรดเย็นกลับมาขึ้นรถไฟกลับไปเดลีเพื่อรอเครื่องบินกลับไทยกันในดึกของวันนั้น เกริ่นมานาน จองตั๋วรถไฟในอินเดียยากมาก แม้ว่าจะใช้ Cleartrip ก็แล้ว ตามที่ผมเคยโพสต์แจ้งไปเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนไป ทำอย่างไรก็ไม่สามารถตัดบัตรเครดิตจากเมืองไทยได้ซะที สุดท้ายเลยได้เพื่อนที่ทำงานของแฟนที่เป็นชาวอินเดียโดยตรงจองให้ครับ โล่งอกไปที !

มาที่การจองที่พักกันบ้าง ที่พักในเลห์ทั้งหมด เราจองกับซาลิม เจ้าของ Hotel Ree Yul อันโด่งดังใน TKT ส่วนที่ Nubra Valley ไม่ได้จอง เพราะไม่มี email ติดต่อ แต่กะไว้ว่าจะไปพักที่ Snow Leopard, ที่ลามายุรู กะจะไปพักที่ Niranjana แต่สุดท้ายไม่ได้พัก ไปพักที่เมือง Drass แทน ส่วนที่ศรีนาการ์พักที่ Shelter Houseboat และสุดท้ายที่เมืองอักรา จองที่พักที่ Hotel Kamal ได้อ่านรีวิวจากฝรั่งที่วิวด้านบนดาดฟ้าเห็นทัชมาลสวยงามชัดเจน

** เพิ่มเติมขั้นตอนการขอวีซ่าอินเดียแบบใหม่ eTV หรือ electronic Tourist Visa ** อัพเดทล่าสุด 18 ธันวาคม 2559 **

แผนการเดินทางของทริปนี้เป็นดังนี้ครับ
DAY1 : 5 กค. 55 : BKK - Delhi
DAY2 : 6 กค. 55 : Delhi - Leh (Namgyal Tsemo Gompa - Leh Palace - Shanti Stupa)
DAY3 : 7 กค. 55 : Sindhu Ghat - Shey Palace - Thiksey - Hemis - Stakna – Matho – Stock Palace
DAY4 : 8 กค. 55 : Leh - Chang La Pass - Pangong Lake - Leh
DAY5 : 9 กค. 55 : Leh - Khardung La Pass - Nubra Valley - Hundar
DAY6 : 10 กค. 55 : Hundar - Deskit - Camel Riding - Sumur - Leh
DAY7 : 11 กค. 55 : Leh - Confluence of Zanskar & Indus river - Basgo Palace - Likir - Alchi -Khalsi - Moon Land - Lamayuru
DAY8 : 12 กค. 55 : Lamayuru - Mulbekh Village (Maitreya Buddha) - Kargil
DAY9 : 13 กค. 55 : Kargil - Dras - Sonamarg - Srinagar (House Boat)
DAY10 : 14 กค. 55 : Srinagar - Delhi - Agra
DAY11 : 15 กค. 55 : Agra - Taj Mahal - Agra Fort - Delhi
DAY12 : 16 กค. 55 : Delhi - BKK

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแพลนและการเตรียมตัวคร่าวๆ ที่ได้ทำเอาไว้ ส่วนเมื่อถึงเวลาจริงจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามกันวันต่อวันกับเราได้เลย


เส้นทางบินช่วงต้นของเราจะเป็นดังนี้ครับ เราจะบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงสนามบินนานาชาติอินทิราคานธี เมืองนิวเดลี แล้วในวันรุ่งขึ้นจะบินต่อภายในประเทศไปลงสนามบินเลห์


วันนี้โดดงานครึ่งวันบ่าย เพราะต้องมาเช็คอินที่สุวรรณภูมิเวลา 17.25 น. อดีตเพื่อนร่วมงานมาส่งถึงที่ สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วเอาของฝากมาด้วย คือกระติกน้ำร้อนเพื่อมาใส่ชาร้อนขณะอยู่ในเลห์ครับ

มาสนามบินสุวรรณภูมิก็ต้องคุ้นเคยกับยักษ์ 2 ตนนี้ แต่ก่อนอยู่ข้างใน ปัจจุบันนำมาไว้ข้างนอกที่ผู้โดยสารและคนอื่นๆที่มาส่งสามารที่จะเห็นและชื่นชมได้


ดีใจด้วยกับสนามบินสุวรรณภูมิของเราที่ได้ยกย่องเป็นท่าอากาศยานดีเด่นอันดับ 1 ของโลก ปี 2555


เตร็ดเตร่อยู่นานจนได้เวลา boarding กันแล้ว เป็นไฟล์ท CX 751 เกต F5 ตามมากันเลย


นั่งหลับกันสักพักก็ถึงสนามบินนานาชาติอินทิราคานธี เมืองเดลี เวลาประมาณ 20.30 น. เวลาตามท้องถิ่นที่อินเดีย โดยช้ากว่าไทย 1.5 ชม.


ห้องน้ำที่สนามบินอินเดีย ใครเข้าผิดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว


ได้เวลาทดลองแบ็งค์รูปีที่แลกมาจาก Super Rich ว่าใช้งานได้เปล่า นั่นคือใส่เครื่องกดเครื่องดื่มอัตโนมัติ ได้น้ำอัดลมมา 1 กระป๋อง เสียไป 50 รูปี


สนามบินอินทิราคานธีแห่งนี้ดูสะอาดสะอ้าน ใหม่ทีเดียว ไม่บอกคงไม่คิดว่าเป็นสนามบินอินเดีย เดินไปขาเข้ากันครับ


ก่อนจะลงไปที่ตรวจคนเข้าเมือง ก็จะเห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับสู่ประเทศอินเดีย"


ก่อนลงบันไดเลื่อน ก็มาถึงสัญญลักษณ์ของสนามบินนี้ เห็นใครๆก็ถ่ายมา งั้นถ่ายด้วย เป็นรูปที่ทำสัญญลักษณ์มือในท่าต่างๆ ไม่ทราบความหมายเหมือนกัน


ออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้าซึ่งเป็นชั้น 1 ก็เลี้ยวขวาตามที่เพื่อนๆแนะนำเพื่อไปสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของภายในประเทศ ระหว่างนั้นก็เดินเล่นชั้น 1 แล้วก็เข้าไปด้านในซึ่งมีเจ้าหน้าที่คอยยืนตรวจอยู่ นั่นหมายความว่าต้องมีตั๋วถึงจะเข้าไปได้

ผ่านเจ้าหน้าที่ก็ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 2 เพื่อไปรอเครื่องบินที่จะออกตอนเวลา 5.40 น. ตอนนี้ก่อนเครื่องบินจะออกก็หาที่นั่งแล้วหลับเอาแรงกันก่อน แต่บ่องตง ไม่ได้หลับเลย เพราะนอนไม่สบาย เก้าอี้เอนๆแบบสบายๆก็เจอพี่แขกจองหมดแล้ว


เช้าวันใหม่
ประมาณเกือบตี 4 ก็ออกมาเดินแล้ว เพราะนั่งหลับไม่สบาย ชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารขาออกก็ดูโล่งทีเดียว ร้านอาหารก็มีให้ทานเหมือนกัน แต่เจอสิ่งนี้เลยถ่ายไว้ รูปปั้นช้างอินเดียครับ


ได้เวลาเช็คอินเพื่อเดินทางไปเลห์ ลาดักห์กันแล้วครับ สายการบิน Jetairways เช็คได้ทุกช่อง


เดินเข้ามาภายใน เจอปติมากรรมอะไรสักอย่าง เป็นรูปปั้นคนแสดงอิริยาบทต่างๆ เหมือนกับออกกำลังกายเลย ได้ทราบมาว่าเป็นท่าโยคะ


ลำนี้หรือเปล่าที่จะบินพาเราไปเมืองเลห์


ได้เวลาเหินฟ้าแล้วครับ ด้วยเที่ยวบิน 9W2245 ของ Jetairways


ระหว่างทางซึ่งคาดได้ว่าใกล้ถึงเลห์เข้ามาแล้ว เนื่องจากวิวที่มองลงไปเห็นทิวเขาสีน้ำตาลผุดออกมาจากหิมะที่ปกคลุมอยู่ ระดับเดียวกับเมฆก็ไม่ปาน


บ่องตงว่าไม่เคยเห็นวิวแบบนี้มาก่อนเลยครับ แปลกตามากๆ


ด้านล่างมีหนองน้ำหรือทะเลสาบก็ไม่ทราบได้


สักพักเมื่อมองออกไป เห็นเขายอดแหลมๆสีขาว แหลมอย่างกับปลายดินสอยังไงยังงั้นเลย ส่วนใกล้เข้ามาก็จะเป็นริ้วๆของเมฆอยู่เหนือเขาสีน้ำตาลทั้งหลาย


สัญญาณรัดเข็มขัดดังขึ้น เป็นการบอกว่าเครื่องบินกำลังลดระดับเพื่อเตรียมตัวร่อนลงที่สนามบินเลห์กันแล้ว ด้านล่างสามารถมองเห็นวิวสีเขียวของต้นไม้เป็นครั้งแรกหลังจากนั่งมาหนึ่งชั่วโมงเต็ม


เห็นรันเวย์ของสนามบินเลห์แล้ว เตรียมตัวร่อนลง


ลงจากเครื่องบินเสร็จก็มายืนรอรถบัสเพื่อไปส่งยังอาคารผู้โดยสาร


เข้ามายังอาคารผู้โดยสารขาเข้า เสียเวลารอสัมภาระพอสมควรเลย อีกทั้งต้องกรอกข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก

เสร็จสิ้นพิธีการก็ออกมารอด้านนอกอาคาร มองหาคนชูป้ายชื่อตัวเอง แต่เอ...มองหายังไงก็หาไม่เจอ นัดกันแล้วนี่ ทำไมไม่มา เราบอกให้ซาลิมเอารถมารับเราที่สนามบินด้วย ไฟล์ทและเวลาก็บอกไว้เรียบร้อยก่อนเดินทาง สุดท้ายเห็นว่าไม่มาจริงๆก็เลยติดต่อที่เคาน์เตอร์รถแท็กซี่ของสนามบิน ได้ราคาที่มาตรฐานคือ 200 รูปี ก็ไม่เลวนะ คันสีแดง


ป้ายทางหลวงแถบพรมแดนป้ายแรกที่ยินดีต้อนรับเรา


ไม่นานนัก 10-15 นาทีก็มาถึง Hotel Ree Yul  ทางเข้าเป็นซอกแคบๆ เดินเข้าไปนิดหน่อย ก็เจอป้ายเข้าไปเลยครับ

เจอซาลิม และแจ้งว่าทำไมไม่มารับที่สนามบิน ก็ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ว่าออกไปรับแล้วแต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ แต่ไม่เป็นไร ก็มาถึงแล้วนี่ งั้นพาเราไปยังห้องพักเลย เป็นห้องพักชั้น 3 เดินเหนื่อยเลย


นี่ไง ห้องพักเรา อยู่ด้านหลัง ทำให้ได้ยินเสียงน้ำจากรางระบายน้ำตลอดเวลา เสียงดังมากครับ ไม่ปิดประตูห้องน้ำนี่นอนไม่ได้เลยนะครับ แนะนำเพื่อนที่จะมาพักที่นี่ ให้รอห้องที่อยู่ด้่านหน้าดีกว่า วันที่กลับจาก Nubra Valley ผมได้ห้องใหม่เป็นห้องแรกของชั้น 2 ไม่ได้ยินเสียงน้ำแล้ว ดีมาก

ลืมบอกไป จากการหาข้อมูลล่าสุดของทั้งน้องบุ้งกี๋ และ Jaysjays ห้องพักราคาเพียง 350 รูปีเอง แต่ซาลิมเสนอมาที่ 700 รูปี ต่อทางเมล์กันไปมาจนได้ราคาที่ 500 รูปี ลดจากนี้ไม่ได้แล้ว บอกว่าเป็น High Season เอาก็เอา


ห้องน้ำ โชคไม่ดีไปได้ห้องน้ำที่น้ำร้อนไม่ทำงาน ต้องขอน้ำร้อนเป็นถังๆตลอด


เป็นธรรมเนียมที่มาถึงเลห์แล้ว อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในพื้นที่ที่อยู่ในระดับน้ำทะเลปกติธรรมดา แต่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 3,500 กว่าเมตร ร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัว เราเลยขอนอนก่อน อีกทั้งอดนอนจากเมื่อคืนที่สนามบินอินทิราด้วย

นอนไป 5 ชั่วโมง บ่ายโมงครึ่งก็ตื่นลงมา ขออาหารเบาๆจากซาลิมทาน ได้มาตามรูป


ทานอาหารเสร็จก็ตกลงโปรแกรมที่แพลนมาจากเมืองไทย ซาลิมงัดเอาสมุดราคามาตรฐานมาให้ดู ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าเป็นการทำขึ้นมาจากทางการให้ดูน่าเชื่อถือว่าราคาเป็นมาตรฐาน ไม่หมกเม็ดนะ แต่ราคานั้นสูงกว่าที่เป็นจริงครับ เพราะทั้งซาลิมเองและคนอื่นที่ไปเช่ารถก็จะแงะสมุดราคามาตลอดและให้ดูเรตจากสมุด แล้วลดราคาให้อีกที เปรียบเสมือนให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าได้ราคาที่ยิ่งถูกลงกว่าราคามาตรฐานอีก ซึ่งเขาต้องได้กำไรถึงจะลดให้เราได้อีก เราเลยไม่ค่อยเชื่อสมุดราคาเท่าไหร่

ราคาที่ได้แพงกว่าน้องบุ้งกี๋ ที่ไปมาเมื่อปี 53 เยอะเลยครับ แต่ไม่เป็นไร ก็ต้องเช่ารถตามแพลนที่วางไว้อยู่แล้ว ลุยๆ  แต่เดี๋ยวก่อน วันที่จะไป Pangong lake ต้องทำ permit เพราะเป็นเส้นทางที่เข้าใกล้พรมแดนต่างชาติ คือจีน เลยต้องให้พาสปอร์ตของเราทั้งสองให้ซาลิมนำไปของ permit ไว้ก่อน ราคาคนละ 500 รูปี แพงกว่าเดิมอีกแล้ว


ก่อนที่จะเดินทางท่องเที่ยวในลาดักห์ แคว้นแจมมู&แคชเมียร์ นั้น ขอนำแผนที่ที่เราต้องทำความเข้าใจในตำแหน่งและสถานที่ต่างๆกันก่อนครับ ไม่งั้นจะงงๆ นึกสถานที่เที่ยวต่างๆไม่ออกแน่ๆ แผนที่ต้นฉบับจากเว็บ www.mapsofindia.com ส่วนแผนที่ที่แสดงนั้น ผมนำมาใส่รูปสถานที่จริงเพื่อง่ายแก่การเข้าใจเพื่อนๆ จะได้นำไปใช้งานได้เลย 

สีที่ระบายบนเส้นทางที่ไม่เหมือนกันนั้น คือการแบ่งการเดินทางในแต่ละวันครับ เช่น สีม่วงคือเส้นทางในวันที่ 2, สีชมพูคือเส้นทางในวันที่ 3-4, สีน้ำตาลคือเส้นทางในวันที่ 5, สีน้ำตาลแดงคือเส้นทางในวันที่ 7 ออกจากเลห์ไปแดรสผ่านลามายุรู เป็นต้น


วันนี้เราจะยังไม่เช่ารถจากซาลิม เราจะเดินดูเมืองเลห์แห่งนี้ก่อน และถ้าได้เจอรถเช่าที่ราคาไม่แพงนักอาจใช้บริการไปสถานที่ใกล้ๆ

ออกมาจากที่พักก็เดินย้อนขึ้นไปถนนใหญ่ ณ จุดนี้จะสามารถมองเห็น Namgyal Tsemo Gompa ที่อยากจะไปกันวันนี้เลยอยู่ทางด้านซ้ายมือบน


ออกเดินไปตามถนนเมนบาซาร์เรื่อยๆ


ตรงหัวมุมก่อนจะเลี้ยวขวาไปตามถนนจะมีมัสยิดจามาตั้งอยู่


สองข้างทางมีทั้งร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกหลากหลายร้าน


เป็นธรรมดาที่จะเห็นวัวเดินไปกับคน หรือนั่งพักอยู่ข้างถนน


แดดร่มลมตก ผู้คนออกมาเดินกันมากขึ้น แม่ค้าชาวเลห์พื้นเมืองนำผักสดๆมาขายตามฟุตบาทข้างถนน


เดินมาจนจะสุดปลายถนน มองย้อนกลับไปตามทางที่เราได้เดินมา ฉากหลังเป็นภูเขาบนยอดมีหิมะปกคลุม


เอ๊ะ..ขายอะไรเนี่ย เนื้อแพะแน่เลย ฮัลโลๆ สั่งจากเมืองไทยเหรอครับ โอเคครับ เดี๋ยวจะจัดส่งไปให้


เดินมาจนถึงจุดตัดของถนน Khardung La เห็นชุมชนรถอยู่ทางด้านซ้าย(Omni Van Taxi Stand) เลยเดินเข้าไปหา สอบถามราคาเช่ารถเพื่อจะให้พาไปชม Namgyal Tsemo Gompa และ Shanti Stupa คนขับรถก็งัดสมุดราคาเช่้นเดิมมาดูเส้นทางพร้อมบอกราคากับเราและลดให้เหลือ 750 รูปี เราโอเคก็ตกลงให้พาไป


เส้นทางจากคิวแท็กซี่ (Omni Van Taxi Stand) จะเป็นดังที่เห็นในแผนที่ตามเส้นสีฟ้า คือไปชม Namgyal Tsemo Gompa ก่อนและหลังจากนั้นจึงวิ่งวนเป็นครึ่งวงกลมไปชม Shanti Stupa เป็นที่สุดท้าย


มาถึงแล้ว Namgyal Tsemo Gompa ธงมนต์จากฝั่งหนึ่งมาอีกฝั่งหนึ่งปลิวไสวต้องลมทีเดียว


รถค่อยๆไต่ขึ้นมาบนเขาเรื่อยๆ มาถึงแล้วก็มองเห็นเมืองเลห์ได้อย่างชัดเจนทีเดียว ตรงที่เห็นถนนโค้งๆด้านล่างมีรถจอดฝั่งขวามือจะเป็นพระราชวังเลห์ ไว้ไปในวันต่อๆไป


ด้านบนสูงพอควร


อีกมุมหนึ่ง


จะเห็นนักท่องเที่ยวเดินไปพักผ่อนเอกเขนกที่ยอดหินคู่ละยอด ชิวๆดี


เตรียมเดินขึ้นไปสำรวจด้านบนยอด


เมื่อสมควรแก่เวลา ก็ลาจากนัมเกียลเซโมกอมปาไปต่อที่สถูปสันติ หรือ Shanti Stupa  รถต้องวิ่งรอบเป็นวงกลมเนื่องจากทั้งสองที่อยู่ตรงกันข้ามกัน โดยมีเมืองเลห์ตั้งอยู่ตรงกลาง

รถจอดได้แค่ทางขึ้นก่อนถึงทางเข้า เนื่องจากวันนี้รถนักท่องเที่ยวเยอะมาก เลยต้องเดินกันนิดหน่อย ผมกลัวไม่ทันจะถ่ายแสงเกือบสุดท้ายของวันที่สาดส่องฉาบพื้นเขาเป็นเบื้องหลังของ Namgyal Tsemo Gompa ที่อยู่ตรงกันข้าม


ซูมเข้าไปใกล้ๆ Namgyal Tsemo Gompa ที่มีฉากหลังเป็นแสงสีทองที่เกือบจะลับสันเขาไปแล้ว


เดินขึ้นทางชันเล็กน้อยไปยังสันติสตูปา แสงใกล้หมดเต็มที ด้านขวาจะเห็นคล้ายๆห้องที่เพิ่งก่อสร้างด้วยไม้ ยังไม่เสร็จไม่ทราบว่าจะนำมาใช้อะไร ค่าเข้าคนละ 40 รูปี



เดินมายังด้านหลังของสันติสตูป้า ก่อนจะวนไปยังด้านหน้า


วิวขุนเขาด้านบนก่อนที่แสงจะหมดไป


ย้อนมาด้านหน้าทางขึ้น Shanti Stupa กันบ้าง เตรียมขึ้นไปด้านบน ขณะนี้อากาศเย็นลงไปอย่างมาก มือเย็นกันเลยทีเดียว


ด้านบนนี้ก็จะมีพระพุทธเจ้าแบบนูนต่ำ บรรยายเกี่ยวกับการประสูตร ตรัสรู้และปรินิพพาน อยู่รอบๆ


วิวอีกมุมหนึ่ง แสงพระอาทิตย์หมดลงไปแล้ว


ด้านบนยอดเขาคงหนาวน่าดู


ทุ่มครึ่งก็ได้เวลาอำลาสันติสตูป้ากันแล้ว หนาวอย่างนี้คงรอตอนเปิดไฟไม่ไหว สังเกตจะมืดอยู่แล้ว รถที่จอดยังเยอะอยู่เลย


กลับมาถึงตัวเมืองก็มืดเลย แต่ก่อนจะมาถึง เจ้าคนขับรถเป็นวัยรุ่นดันไม่รู้เส้นทาง ถามคนโน้นทีคนนี้ทีว่าทางลงไปทางไหน เสียเวลาพอควร เราก็เลยให้จอดส่งที่มัสยิดจามาละกัน แล้วเดินหาร้านอาหารกัน


เดินไปตามแผนที่ ร้านนี้มีคนแนะนำเยอะ ลองซะหน่อย ร้านดินแดนแห่งความฝัน หรือ Dreamland นั่นเอง (รูปอาจไม่ชัดเพราะลืมเปลี่ยน ISO)


ร้านอาหารอยู่ชั้น 2 ได้โต๊ะมุมนี้ มองเห็นวิวด้านนอกพอดี


สั่งโมโม่มาทานก่อนเลยครับ ทานครั้งแรกที่เนปาลยังจำรสชาติอร่อยๆได้ดี แต่เมนูสปาเก๊ตตี้คาโบนาร่าที่สั่งไปอีกจานไม่เวิร์คเอาอย่างแรง ทานไปได้คำเดียวเอง ค่าเสียหาย 590 รูปี

และก็ขอจบวันนี้วันแรกที่เลห์ไปเพียงเท่านี้ครับ แล้วมาติดตามต่อในวันรุ่งขึ้นเป็นการทัวร์วัดในเลห์และละแวกใกล้เคียงต่อไป  คลิกชม --》ตอน 2


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

1 ความคิดเห็น: