วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เวียดนาม(เหนือ)...ฮานอย-ซาปา-ฮาลองเบย์ ตอน 1 เที่ยวฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม


ทริปนี้เกิดขึ้นช่วงแอร์เอเชียออกโปรตอนเดือนมีนาคม 2556 จริงๆแล้วทริปเวียดนามเหนือผมจองกับแอร์เอเชีย 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน แต่หลายปีมาแล้ว สุดท้ายจนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปจนได้ ต้องทิ้งตั๋วไปอย่างน่าเสียดาย

มาครั้งนี้ เลยจองเดือนมีนาคมและวางแผนไปเดือนพฤษภาคมอีก 2 เดือนเลย ไม่จองนานเหมือนเก่าแล้ว กลัวมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วไปไม่ได้อีก

แพลนทริปคร่าวๆ จะมีไปเที่ยวฮานอย และไปซาปาด้วย และพ่วงก่อนวันกลับจะไปอ่าวฮาลอง มรดกโลกของเวียดนามเขา ดังนั้นเวลาที่ใช้ในการเที่ยวทริปนี้คงยาวหน่อย จัดไว้ 5 วัน 4 คืน แผนการเที่ยวคร่าวๆในแต่ละวันจะเป็นดังนี้
วันที่ 1 : กทม.-ฮานอย เที่ยวย่านทะเลสาบคืนดาบ วัดเนินหยก สุสานโฮจิมินห์ วัดเสาเดียว ทำเนียบประธานาธิบดี และอื่นๆ ตอนเย็นชมหุ่นกระบอกน้ำ ก่อนจะเดินทางไปซาปาโดยรถไฟ
วันที่ 2 : ถึงสถานีลาวไค-ซาปา-เที่ยวหมู่บ้านเลาชัย-หมู่บ้านตาวาน
วันที่ 3 : น้ำตกซิลเวอร์-Tam Tron Pass-จุดชมวิวเขาหามรอง-กลับสถานีลาวไค
วันที่ 4 : ถึงฮานอย-ล่องเรืออ่าวฮาลอง-กลับฮานอย
วันที่ 5 : สนามบินนอยไบ-กลับถึงกทม.


เอาหล่ะครับ วันเดินทางมาถึงแล้ว เช้าวันที่ 22 พฤษภาคม 2556 ต้องตาลีตาเหลือกตื่นแต่เช้ามืดนั่งแท็กซี่จากบางนามาที่สนามบินดอนเมืองอีกแล้ว (เบื่อจริงๆที่ย้ายมาที่สนามบินดอนเมืองเนี่ย บ้านผมใกล้สุวรรณภูมิมากกว่า) มาถึงก็ก่อนตี 5 เครื่องบิน 6.25 น. ไฟล์ท FD2782 เช็คอินเสร็จสรรพก็เข้ามารอที่เกทครับ ชอบแสงไฟในสนามบินช่วงเวลานี้เหมือนกัน มันให้โทนสีฟ้าสวยจริงๆ พอได้เวลาก็ boarding ขึ้นเครื่องบินเตรียมเหินฟ้ากันแล้ว


เครื่องบินใช้เวลาเกือบ 2 ชม.ก็ถึงสนามบินนอยไบ เมืองฮานอยประเทศเวียดนาม ที่เวียดนามเวลาจะไม่ต่างจากประเทศไทย สามารถใช้เวลาเดียวกับประเทศไทยได้เลยครับ
ตรงผู้โดยสารขาเข้าก็จะมีคนมาชูป้ายชื่อผม เรามองหาสักพักก็เจอ แล้วคนที่มารับก็พาเดินไปข้างนอกสนามบิน โดยให้เรารอเพื่อไปเอารถมารับเราครับ


รถที่มารับคล้ายๆรถตู้ ใหม่และโล่งดี ออกจากสนามบินก็ผ่านทุ่งข้าวสีเขียวเหลือง ดูสบายตาดีครับ จะเห็นทุ่งข้าวปลูกอยู่ตลอดริมถนนเลย แม้ว่าจะเป้นในตัวเมืองก็ตาม


รถพาขึ้นสะพานมองเห็นสภาพบ้านเมือง หลังคาสีแดงๆ ตึกสูง 3-4 ชั้นคล้ายๆตึกแถวบ้านเราแต่มีแค่ 1-2 คูหา เรียกได้ว่าสูงผอม ดูแปลกๆ รถพาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำแดงอันกว้างใหญ่ มองๆแล้วกว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเรา


พอข้ามสะพานมายังอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนี้แหล่ะครับ เป็นฝั่งเมืองหลวงของฮานอยแล้ว คล้ายๆในไทยที่มาจากตะวันตกฝั่งมีนบุรีแล้วข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาก็จะเป็นฝั่งรัตนโกสินทร์

ฮานอย ในภาษาเวียดนาม ฮา แปลว่า แม่น้ำ นอย แปลว่า ข้างใน ฮานอย จึงหมายถึงตอนต้นของ แม่น้ำ ตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดง
ฝั่งนี้จะเป็นย่านจอแจมาก คล้ายๆเยาวราชในกทม. พอรถจอดแล้วให้เดินไปที่ออฟฟิศของเอเย่นท์ทัวร์ ที่นี่จะน่ากลัวมาก สภาพตึกแถวของเอเย่นท์ทัวร์รายนี้ดูแย่มากๆ อย่างกับสลัมเลย เดินแบกกระเป๋าใหญ่ๆขึ้นไปชั้น 3 ทางก็แคบ ตึกก็เหมือนจะเอียงๆ ดูน่ากลัวจริงๆ ทำให้กลัวว่าเราโดนหลอกหรือเปล่าเนี่ย?!?!
แต่สุดท้ายก็เจอห้องเล็กๆทำเป็นออฟฟิศ มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงมารับเรื่อง ชื่อ Ms. Houng ก็คุยดีครับ ทวนการจองต่างๆที่เราเมล์ไป บอกโน่นบอกนี่ เราให้เขาจัดการเรื่องตั๋วรถไฟไปกลับฮานอย-ลาวไคให้ และ 1 day tour ที่ฮาลองเบย์ พอคุยเสร็จก็จ่ายเงินให้ไปทั้งหมด เราจะเดินเที่ยวในเมืองฮานอยกันก่อน ตอนเย็นๆถึงจะกลับมาที่ออฟฟิศนี้อีกครั้งประมาณ 1 ทุ่มเพื่อรอรถมารับไปสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟไปลาวไค ไปซาปากัน
ภาพที่เห็น สาวเวียดนามใส่หมวกแหลมกำลังขายผลไม้ให้อาซิ้มอยู่ ผลไม้ก็จะคล้ายๆในเมืองไทยครับ เพราะอยู่ย่านเดียวกัน


ตามท้องถนนถ้าเจอแมงกะไซด์จอดเยอะๆแบบนี้ การจราจรขวักไขว่ด้วยแมงกะไซด์ก็แน่นอนว่ามาถึงเวียดนามจริงๆแล้ว เราจะเดินต่อไปเพื่อหาร้านเฝอเนื้อที่เขาบอกว่าอร่อยกันครับ ตามเรามาเลย


เดินมาไม่กี่นาทีก็เจอแล้ว ได้ข้อมูลจาก Ms Houng เมื่อกี๊แหล่ะ มื้อนี้จะเป็นมื้อแรกที่เวียดนามครับ แต่พอมาเสริฟแล้ว สำหรับผมได้เห็นสภาพเนื้อที่ไม่สุก พร้อมกลิ่นคาว บอกได้เลยว่าทานได้แค่ 2-3 คำก็ไม่ไหวครับ จะอ๊วก เพราะกลิ่น เลยไม่ได้ทานต่อ ส่วนคนอื่นทานกันเกือบหมดเลย


เสร็จจากเฝอ ก็เดินต่อเพื่อหาร้านกาแฟดื่มกัน เดินมาเรื่อยตามถนน 36 สายของเมืองฮานอย แล้วก็เจอร้าน Highlands Coffee ร้านดังทีเดียวในย่านนี้ ขึ้นไปเลยครับ อยู่ชั้น 2 ของตึก สั่งกาแฟเย็นๆ ดับร้อน เพราะที่นี่ร้อนมากถึงมากที่สุด ราคากลางๆ ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไป


วิวที่มองจากระเบียงร้านครับ อยู่ตรงวงเวียน Đài phun nước  พอดี ฝั่งตรงข้ามมีร้าน KFC ด้วย


มองด้านทิศใต้จะเห็น ทะเลสาบคืนดาบ หรือฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem)


พอทานกาแฟกันเสร็จก็เริ่มเดินสำรวจฮานอยกัน เราเริ่มที่สะพานแสงอาทิตย์ หรือสะพานเทฮุก (The Huc) กันก่อน เป็นสะพานไม้สีแดงพาดจากฝั่งถนนไปยังเกาะที่อยู่กลางทะเลสาบคืนดาบ


เดินวนเพื่อหาทางเข้า ซึ่งฝั่งเกาะจะเป็นวัดหง็อกเซิน หรือวัดเนินหยก (Ngoc Son Temple)



เจอแล้วครับทางเข้า ค่าเข้าไปยังฝั่งวัดเนินหยก คนละ 20,000 ดอง ถ้าไม่ข้ามไปก็ไม่เสียเงิน แต่ไหนๆบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้ว ก็ต้องเข้าไปชมกันครับ


ข้ามฝั่งไปวัดเนินหยกกันครับ


อย่างที่บอกไว้ ทะเลสาบคืนดาบนี้มีประวัติศาสตร์เรื่องเล่ามานานนม และในวัดก็จะมีเต่าสต๊าฟไว้ด้วย อยู่ภายในตู้กระจกให้นักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายรูป

ตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ



ขอชักภาพกับรูปม้าที่ทำด้วยไม้สักหน่อย


เห็นนักท่องเที่ยวมุงดูอะไรกัน เลยเดินไปดูบ้างก็เจอเจ้าเหมียวมันนอนเหยียดขาและหลับตาพริ้ม ไม่ขยับเลย แปลกจริงๆ


เดินชมวัดเนินหยกเสร็จก็ออกมาด้านนอก รอบๆทะเลสาบคืนดาบจะเป็นสวนสาธารณะ มุมหนึ่งจะมีช่างมารับวาดรูปเหมือนของผู้คนที่เดินผ่านไปมา ดูซิวาดเหมือนมั้ย จะได้ใช้บริการมั่ง อิอิ


ใกล้ๆทางเข้าวัดเนินหยกแต่อยู่อีกฝั่งถนนจะมีอนุสาวรีย์วีรชนเวียดนาม รูปปั้นสีขาวเด่นมาแต่ไกล


เรามองหาโรงละครหุ่นกระบอก หรือ Water Puppet ที่ใครมาฮานอยแล้วต้องมาดูไม่งั้นเรียกได้ว่ามาไม่ถึงฮานอย เจอแล้วครับ อยู่ด้านขวามือนี่เอง


ข้ามถนนไปดูรอบการแสดงกันก่อนครับ เผื่อจะได้จองไว้ก่อน แต่คงยังไม่ดูตอนนี้ วันที่ไปคือวันพฤหัสบดีที่ 22 พค. มีรอบแรก 15.30 น. คงจะมาดูรอบนี้กัน แต่ก่อนจะมาดูเราจะโบกแท็กซีไปสุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) กันก่อนครับ โบกเอาแถวนี้หล่ะ ไกลมากเดินไปไม่ไหวแน่ๆ


แท็กซี่เรียกได้เป็นคันที่ 2 เพราะคันแรกราคาสูงไป คันนี้ต่อได้จนเหลือ 50,000 ดอง เราเอาแผนที่ให้ดู ไม่งั้นคุยกันไม่รู้เรื่องฟังภาษาอังกฤษจะไม่ได้เอา

แล้วก็พามาส่งตรงนี้แหล่ะครับ เดินลงมาก็งงๆ ว่าตึกสีเหลืองนี้คือตึกอะไร?


เพื่อนร่วมทริปร้องอยากให้แม่เปลี่ยนกางเกงแล้ว สงสัยจะร้อนเหงื่อเลยออกแล้วไม่สบายตัว เลยแม่ต้องถอดกกน.ออก ผมจับภาพนี้ได้ 555


เดินต่อมาแล้วเลี้ยวขวาก็จะเห็นสุสานของโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) 



อีกมุมหนึ่ง หน้าตรง ไม่สวมหมวก แต่แดดร้อนมากๆ


เราเดินคลำทางไปหาพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ร้อนก็ร้อน ป้ายบอกทางก็ไม่มี เฮ้อ เหงื่อเป็นน้ำเลย แต่พอเดินไปถึงก้บอกกันว่า ไม่เข้าไปดีกว่า ไม่น่าจะมีอะไร เลยเดินมาอีกทาง


ใลก้ๆกันจะเป็นวัดเสาต้นเดียว (One Pillar Pagoda) ณ จุดนี้ถือว่าอากาศร้อนสุดๆ ตอนแรกเห้นฮานอยอยู่เหนือว่าไทย คิดว่าจะอากาศเย็นซะอีก สุดท้ายจะละลายแล้ว เลยพักทานน้ำอยู่แถวๆนี้ก่อนสักพัก



สุดท้าย เห็นว่าไม่มีอะไร และแต่ละสถานที่อยู่ไกลกัน อากาศก็ร้อนสุดๆ เลยโบกแท็กซี่กลับย่านทะเลสาบคืนดาบ ต่อรองค่าแท็กซี่ขากลับได้ 30,000 ดอง 555 ราคาต้องลดลงสิเนอะ

ระหว่างทางเห็นอนุสาวรีย์แว้บๆ ถ่ายไว้ก่อน ไปเปิดข้อมูลปรากฎว่าคือ เป็นอนุสาวรีย์เลนิน ที่ Lenin Park ผู้นำแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์


กลับมาถึงทะเลสาบคืนดาบประมาณ 13.45 น. เรายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันกันเลย เลยเลือกทานอาหารญี่ปุ่นที่ตึกเดียวกับ Highlands Coffee แต่เป็นชั้น 3 วิวที่มองจากร้านอาหารมองเห็นทะเลสาบคืนดาบเหมือนกัน อาหารอร่อยดีครับ ไม่ได้ถ่ายรูปมา


ทานอาหารเสร็จก็เดินลงไปจองตั๋วดูหุ่นกระบอกน้ำซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน จองรอบ 15.30 น.จะได้มีเวลาพอที่จะไปที่สถานีรถไฟ

ค่าตั๋วเข้าชมคนละ 100,000 ดอง ได้นั่งหน้า พอเข้าไปจริงๆ ผมว่าราคาอื่นๆก็ได้นั่งหน้าเหมือนกัน ไม่เห้นแตกต่างเลย ภายในอากาศจากระบบปรับอากาศไม่ทันความร้อนจากภายนอก ทำให้อากาศไม่เย็นเอาซะเลย แต่ไม่เป็นไร ดูละครกันไปก่อน


โดยรวมก็โอเคครับ จะเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเวียดนามเขา มีภาษาเวียดนามและมีแปลภาษาอังกฤษให้ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี คนเล่าเรื่องเป็นผู้หญิงชุดขาวครับ

หุ่นกระบอกเล่นประมาณ 1 ชม.มั้งครับ


การแสดงเสร็จก็ออกมาข้างนอก เดินวนมาเจอกับตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวเล็ก น่าจะขายเป็นที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว


ออกมาก็เจอกับซิโคล่ หรือสามล้อถีบที่ต้องนั่งข้างหน้ากำลังพานักท่องเที่ยวหลายคันผ่านไป มาครั้งนี้เรายังไม่ได้ลองนั่งเลย กลัวมากกว่า


เราเดินเล่นรอบทะเลสาบคืนดาบกันครับ ในรูปเป็นลูกโลกอะไรก็ไม่ทราบครับ


วนมาจนเห็นมุมที่เจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำใกล้สุด เจดีย์นี้สร้างในสมัยศตวรรษที่ 18 เรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่า


Ly Thai To Statue ตั้งอยู่ที่สวนอินทิราคานธี ฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคืนดาบ


เดินวนมาจนบรรจบฝั่งตะวันตก จะเจอกับโบสถ์เซนโยเซฟ (St Joseph Cathedral) เป็นโบสถ์เก่าที่สุดในฮานอย เริ่มเปิดครั้งแรกในคืนคริสต์มาสปี พ.ศ. 2429


เราแยกย้ายกันหาอะไรทานมื้อเย็น ขนาดเย็นแล้วอากาศยังร้อนอยู่เลยครับ ต้องพักที่ร้านมี่มีแอร์อยู่ตลอดไม่งั้นละลายกันไปเลย

ตามเวลานัดเราก็ไปรอที่ออฟฟิศตอน 1 ทุ่มแต่รถมาช้ามากๆ 2 ทุ่มหน่อยๆถึงจะมารับ ให้ลุ่นแล้วลุ้นอีกว่าจะตกรถไฟหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็มีรถมารับ แต่คนเต็มกันเลยทีเดียว คงวนรับนักท่องเที่ยวกันจนหนำใจแล้วมารับพวกเราสุดท้ายก่อนจะไปสถานีรถไฟฮานอย

รถมาส่งพวกเราที่สถานีรถไฟฮานอย(GA HA NOI) เกือบๆ 2 ทุ่มครึ่ง มีคนนำตั๋วไปติดต่อกับเจ้ากหน้าที่ให้ แล้วก็ถึงเวลาประตูเปิด ให้ผู้โดยสารที่จะขึ้นรถไฟรอบ 3 ทุ่มครึ่งได้เดินเข้าไปที่ขบวนรถไฟ


รถไฟที่เราจะขึ้นนี้เป็นขบวน Green Train (จองแบบ SP3Wooden Deluxe Cabin, Soft Berth/Soft Sleeper,4-berth cabin ราคา 32.5 USD / คน / เที่ยว)

ลืมบอกไปว่า ใครจะมาขอยกกระเป๋าให้ ให้รีบปฏิเสธเลยนะครับ เพราะพวกนี้จะยกให้เราแล้วขอเงินเราครับ ไม่ให้เงินมันก็จะไม่ให้กระเป่าคืน ิันนี้ให้ระมัดระวังด้วย



สภาพรถไฟก็เป็นไปตามรูปครับ ถือว่าโอเคเลยทีเดียว แต่พอเดินไปรอที่โบกี้ตัวเองตามที่ตั๋วแจ้งเรายังไม่สามารถเปิดประตูขึ้นรถไฟได้นะครับ ต้องรอเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้มาเปิดให้ก่อน ยืนรอกันเง๊กเลยทีเดียว เมื่อยก็เมื่อย

ขึ้นไปแล้วหาห้องกัน เรามากัน 4 คนพอดีกับเตียงครับ เสียดายตรงที่ดันชารจไฟไม่เข้า มีปลั๊กไฟอยู่ แต่ไม่มีไฟครับ เลยไม่ได้ชาร์จมือถือกันเลย


สภาพ Cabin เป็นแบบนี้ครับ เลือกเตียงตามใจชอบเลย ไม่นานรถไฟก็เริ่มออกจากสถานี รู้สึกจะประมาณ 3 ทุ่ม 50 นาที ตรงเวลาเป๊ะเลย จากนี้ไปก็เริ่มนอนกันแล้วครับ สงสัยเพราะความร้อนและเหนื่อยมาทั้งวัน สักพักก็นอนหลับตามจังหวะการเคลื่อนที่ของรถไฟ แล้ววันรุ่งขึ้นมาติดตามกันต่อไปวันที่จะไปเที่ยวซาปากัน ราตรีสวัสดิ์ สวัสดีครับทุกท่าน


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น