วันนี้ก็มีหมอกเย็นๆ แต่ฝนยังไม่ตกปรอยๆ น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ได้โดยไม่เปียก แต่ไม่รู้ว่าจะตกมาตอนไหนเหมือนกัน ถ้าตกมากลางทางคงแย่แน่ๆ ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์คันละ 6 USD/วัน ต่อลงไปอีกไม่ได้แล้ว สอบถามจากเคาน์เตอร์โรงแรมที่พักเลย มีบริการทุกที่ และเขาจะโทรติดต่อร้านเช่าเพื่อนำรถมาให้ถึงโรงแรมส่วนตอนคืนก็คืนที่โรงแรมสะดวกมาก ไม่ต้องเดินไปเดินกลับที่ร้านเอง รถมอเตอร์ไซค์ก็เป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ไม่มีคันเปลี่ยนเกียร์ สตาร์ทมือแล้วเร่งอย่างเดียวครับ สะดวกสบาย มีหมวกกันน๊อคครึ่งหัวให้ 2 ใบ สำหรับคนขี่และรถซ้อน
วันนี้จะต้องออกจากซาปาประมาณ 5 โมงเย็น เพราะต้องขึ้นรถไฟกลับที่สถานีเลาไคช่วง 1 ทุ่มครึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็น 1 วันเต็มๆเหมือนกันในวันที่ 2 ในซาปานี้
7 โมงครึ่งบรรยากาศที่มองออกจากห้องพักก็เป็นดังในรูป หมอกน้อยกำลังอ้อยอิ่งลอยต่ำเหนือขุนเขาแลดูสดชื่นดีจริงๆ
เช้านี้ฝากท้องไว้ที่ร้านอาหาร Nature View เหมือนกับเมื่อวานเช่นเดิม โต๊ะก็ยังเป็นตัวตัวเดิมเหมือนกัน(กว่าจะจอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าร้านก็ทุลักทุเลน่าดู)
เช้านี้ขอเปลี่ยนเมนูมาสั่งไข่คนกับขนมปังฝรั่งเศส แต่พอมาเสริฟแล้วชิมดุปรากฎว่า ผมกินไม่ได้ครับ มันไม่อร่อยเลย เฮ้อ...เสียดายของ ทานไปได้นิดเดียวเอง (มื้อนี้ 77,000 VND)
ทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปเติมพลังให้แมงกะไซด์ก่อน ปั๊มอยู่เลยออกไปต้องผ่านทะเลสาบของซาปา เติมน้ำมันมา 50,000 VND ก่อน จากประสบการณ์เช่ารถแล้วเคยเติมน้ำมันเกินใช้ไม่หมดเลยเติมน้อยๆก่อน ซึ่งกรณีนี้ผิดถนัด เพราะมันดันไปหมดช่วงเนินเขานะสิ เดี๋ยวดูกันต่อไปครับ
แวะถ่ายรูปสวนสาธารณะที่อยู่ริมทะเลสาบซาปาก่อน อากาศเย็นสบายคนไม่ค่อยมีนัก
น้ำในทะเลสาบซาปานิ่งสงบ วิวอาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมทะเลสาบเสมือนอยู่ในยุโรปยังไงยังงั้นทีเดียว
หลังจากนั้นก็ขี่มาทางเดิมที่ไปมาเมื่อวาน ผ่านวิวตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไปทุกที สังเกตมุมตรงกลางซ้ายมือสุดของรูปเป็นอาคารที่ถ่ายมารูปแรกตอนเช้าวันนี้
ขี่มาสักพักก็ถึงด่านเก็บเงินเข้าหมู่บ้านชาวเขาที่จะไปตาวานกับเลาชัย นักท่องเที่ยวที่จะผ่านไปต้องเสียเงินคนละ 40,000 VND มอเตอร์ไซค์ด้านหน้าคือคันที่เราเช่ามานั่นเอง
จุดแรกที่เห็นนาขั้นบันได ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มดำนา ฉะนั้น ส่วนใหญ่จึงยังไม่ค่อยเห็นสีเขียวขจีจากต้นข้าวเท่าใดนัก ทำให้ถ่ายรูปออกมาไม่สวยอย่างที่เคยเห้นในภาพต่างๆ อันนี้ก็ต้องทำใจ
มาจุดนี้ได้เห็นนาสีเขียวเยอะขึ้นแต่ยังไม่หมด พูดก็พูดครับ ผมว่านาขั้นบันไดที่แม่กลางหลวงก็สวยเหมือนกัน นึกตลกตรงที่ต้องเดินทางมาไกลแสนไกลเพื่อที่จะดูนาขั้นบันไดในต่างแดนทั้งที่ในไทยเราก็มีแต่อาจไม่เยอะเท่าแค่นั้นเอง
บ้านเด่น ไม่รู้ว่าอ่านถูกหรือเปล่า อีกตั้ง 12 กม.
ภูมิประเทศบริเวณนี้ถ้าให้เปรียบก็เหมือนตอนเหนือของไทยเราคล้ายๆกับเชียงราย หรือแม่ฮ่องสอนนะครับ ขี่รถไปเห็นเจ้าลูกหมูป่า 2 ตัวเดินหาอาหารกันเลยเก็บภาพซะหน่อย
ระหว่างทางเห็นเด็กชาวเขาพี่น้องกัน น้องสาวแบกน้องคนเล็กไว้ด้านหลัง
มาถึงอีกจุดที่นาขั้นบันไดสวยๆ เรียงตัวคล้ายๆดังอัฒจันทร์
ตรงจุดนี้กำลังดำนากันเลย
อากาศเย็นสบายดีจริงๆ
ตรงจุดนี้ซูมเข้าไปจะเจอกับอาคารสีเหลืองหลังคาสีแดงมีธงชาติเวียดนามด้วย ถ้าให้เดาน่าจะเป็นโรงเรียนของชาวเขาที่อยู่ละแวกนี้นะครับ ดูเอาแค่จุดนี้ คงไปเดินลงไปถึงจริงๆหรอกเพราะไกลทีเดียว
สะพานแขวนเล็กที่อยู่ใกล้ๆ ข้ามลำน้ำไม่กว้างนัก เป็นทางเข้าสู่หมู่บ้าน
ชาวนาซาปากำลังใช้ควายเผือกไถนาอยู่ มีถึง 2 ตัวทีเดียว สงสัยแถวนี้ควายเผือกจะหาดูไม่ยากเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนในไทยเรา
มาถึงจุดนี้ ป้ายบอกไปทางซ้ายของถนนจะเป็นหมู่บ้านโฮ(DI BAN HO) ส่วนทางเข้าด้านหลังจะเป็นทางเข้าไปหมู่บ้านตาวาน(DI BAN VAN) แต่เราคงไม่เดินลงไปมากกว่านี้แล้ว ซึ่งจุดนี้เกจน้ำมันบอกเหลือน้อยกว่าครึ่งนึงที่เราเติมมา ฉะนั้นจะไปต่อไม่ได้แล้ว คงต้องกลับเส้นทางเดิมอย่างเดียว ชักเสียวๆซะแล้ว เพราะขากลับมันขึ้นเขาซะด้วยสิ เปลืองน้ำมันมากกว่าขามาอีก จะขับไปรอดมั้ยเนี่ย!
ขากลับจะเห็นน้ำตกจากเขาและน้ำจากท่อน้ำอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด จริงๆก็ดูไม่สวยงามเอาซะเลย
หลังจากที่ต้องลุ้นจนตัวโก่งเรื่องน้ำมันว่าจะหมดหรือไม่ ก็มาถึงทางเกือบจะเข้าใกล้ตัวเมืองกันแล้ว ตรงนี้เป็นคล้ายๆอุโมงค์ต้นไผ่ที่สวยทีเดียว
และก็มาถึงตัวเมืองซาปา แวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารของโรงแรม H'Mong Sapa ใกล้ๆกับโรงแรมซาปาซัมมิต เสียค่าอาหารไป 209,000 VND
วิวระเบียงด้านนอกของร้านอาหาร แดดร้อนทีเดียวแม้ว่าจะมีหมอกก็ตาม
ทานอาหารเสร็จก็บึ่งไปหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต ไปทางโรงแรมที่เราพักเลยออกไป ระหว่างทางก็จะเจอกับทางเข้าอาคารที่เราเห็นเมื่อมองมาจากห้องพักเรานั่นเอง แต่มันดูร้างๆยังไงไม่รู้ น่าจะเป็นสำนักงานของราชการหรือเปล่าไม่แน่ใจ มีคนทำงานด้วย ต่อจากนั้นก็เสียค่าเข้าหมู่บ้านแบบบ้านตาวานและเลาชัย เสียค่าเข้าเท่ากันคือคนละ 40,000 VND แต่พอขับผ่านไปอีกโดนให้ต้องจอดรถแล้วเดินเท้าต่อ พร้อมกับเก็บเงินเราอีก เราเลยโมโหว่าเก็บทำไมซ้ำซ้อน เลยไม่ไปต่อแล้ว ขี่กลับมาทางเดิมแล้วไปที่อื่นต่อ
ก่อนจะไปต่อที่น้ำตกซิลเวอร์ เพื่อให้มีน้ำมันพอดีระหว่างทาง จึงเติมเพิ่มอีก 20,000 VND ทางไปน้ำตกซิลเวอร์ไกลมากๆ 10 กว่ากิโลเมตรได้ ระหว่างทางก็เลยเจอแจ๊คพ็อต ฝนตกลงมาครับ คราวนี้ไม่ได้ตกปรอยๆ แต่ตกเอาเรื่องทีเดียว ไม่รู้จะหลบที่ไหน เลยตัวเปียกไปตามๆกัน สุดท้ายไปหลบที่เพิงขายน้ำและผลไม้ ขอไปหลบฝนและซื้อน้ำไปด้วย สักพักฝนซาและหยุดก็เลยขี่ไปต่อ จนใกล้จะถึงน้ำตกซิลเวอร์อย่างที่เห็น
ใกล้ๆกันจะมีฟาร์มเลี้ยงปลาแซลม่อนครับ ใหญ่ทีเดียว
แวะจุดนี้ก่อนจะถึงตัวน้ำตกซิลเวอร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปแล้ว
ถึงซะทีน้ำตกซิลเวอร์ ถ้าจะเข้าไปข้างในก็จะต้องเสียเงินค่าเข้าด้วยครับ แต่เราไม่เข้าไปเพราะไม่มีอะไร เก็บภาพบริเวณนี้แล้วบึ่งรถกลับซาปา เพราะมันบ่าย 2 โมง 50 นาทีแล้ว
ขากลับขี่มอเตอร์ไซค์มาระหว่างทางเจอพี่อ้อกับลูกกำลังแวะพักระหว่างทางด้วย แต่ไม่ได้ทักกัน
กลับมาถึงตัวเมืองซาปาก็หาอะไรทานก่อน หลังจากนั้นก็กลับโรงแรมพร้อมคืนรถมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำโรงแรมแล้วนั่งรอที่ล๊อบบี้โรงแรมเพื่อรอรถที่จะมารับพวกเราที่โรงแรมกลับไปสถานีเลาไคเหมือนตอนขามา
รถตู้มารับถึงโรงแรม ได้เวลาบอกลาซาปาเมืองในหมอกกันแล้ว รถใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็มาส่งเราที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆกับสถานีรถไฟเลาไคประมาณ 6 โมงเย็น คนที่ร้านอาหารบอกให้นั่งรอหรือสั่งเครื่องดื่มที่นี่ได้ เพราะเวลาขึ้นรถไฟก็อีกหลายชั่วโมง เจ้าหน้าที่ร้านที่เป็นผู้หญิงขอ voucher ตั๋วรถไฟขากลับจากเรา โดยเวลารถไปออกที่แสดงตอนแรกนั้นประมาณ 2 ทุ่มกว่า เขาเอาไปแล้วกลับมาอีกทีเป็นเปลี่ยนขบวนรถไฟให้เร็วกว่าเดิม เปลี่ยนเป็นทุ่มครึ่งเห็นจะได้ครับ ซึ่งก็ดีมากๆ อันนี้ต้องขอขอบคุณเลย เพราะจะได้ไม่เสียเวลารอที่นี่นาน จะได้ขึ้นไปอยู่บนรถไฟเร็วๆ
พอใกล้เวลาที่รถจะออกจริง ประมาณสัก 1 ทุ่มน้องผู้หญิงก็มาบอกให้เราเริ่มเดินไปที่สถานีรถไฟได้ ด้านหน้าทางเข้าไปชานชาลาก็จะเป็นดังที่เห็น ผู้โดยสารมาออกันเยอะมากๆ รอก่อนที่ประตูเข้าชานชาลาจะเปิด
สุดท้ายแล้วจริงๆ ก่อนที่ประตูจะเปิดเลยรีบออกมาด้านนอกเก็บภาพยามค่ำคืนของสภาพรอบๆสถานีเลาไคไว้ ที่นี่ยามค่ำคืนก็มีสีสันเหมือนกัน คิดว่าจะเงียบๆเหงาๆซะอีก
เป็นอันว่าจบทริปในวันนี้ที่สถานีรถไฟเลาไค พร้อมเดินทางกลับมุ่งสู่เมืองหลวงฮานอยในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยพรุ่งนี้เราจะมีโปรแกรมไปอ่าวฮาลอง หรือฮาลองเบย์ในตอนประมาณ 8 โมงเช้าเลย แล้วมาติดตามต่อในวันรุ่งขึ้นครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น