เมื่อคืนพอรถไฟเริ่มแล่นไป พวกเรา 4 คนก็เริ่มจะลดเสียงคุยลง ไม่นานนักก็เริ่มหลับกัน ผมว่ารถไฟเวียดนามเวลาแล่นไม่โยนมากเท่าไหร่นะครับ ทำให้หลับได้โดยไม่ยากเย็นนัก แต่รู้สึกช่วงกลางดึกจะจอดรออะไรสักพัก แต่ไม่นานก็แล่นต่อไป ลืมบอกไปว่า ขาไปนี้เราได้ห้องที่ไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ ซึ่งมีปลั๊กพร้อมแต่เสียบไฟแล้วไม่ติด ทำให้ชาร์จแบตมือถือไม่ได้ เลยทำได้เพียงปิดเครื่องเพื่อเซฟแบตไว้ใช้ต่อไป
สักตี 5 เห็นจะได้นายตรวจรถไฟก็จะเริ่มเดินมาบอกเคาะประตูแต่ละห้องแล้วพูดอะไรบางอย่างฟังไม่ค่อยชัด น่าจะบอกว่า "สถานีต่อไปคือสถานีเลาไกสุดสายที่นี่แล้ว" พร้อมกับที่หน้าต่างรถไฟเริ่มมีเสียงรำไรลอดช่องออกมา ผมเลยดึงมือไปเปิดม่านของหน้าต่างออก ภาพที่เห็นคือ มีเม็ดฝนมาเกาะที่หน้าต่าง บรรยากาศภายนอกดูจะครึ้มฟ้าครึ้มฝน ขมุกขมัวต้อนรับเช้าวันใหม่วันที่ 2 ของเราที่เลาไก
ภาพนอกหน้าต่างที่เป็นทุ่งหญ้าสลับกับแม่น้ำขนานกันไปกับเส้นทางรถไฟก็ให้อารมณ์ชนบทแบบเหงาๆจริงๆครับ สงสัยถ้ามาเที่ยวคนเดียวคงเหงาตายแน่ๆ ยิ่งเจอสภาพอากาศไม่เป็นใจไปด้วยยิ่งแล้วใหญ่
พวกเราค่อยๆตื่นกันและบางคนก็ออกไปห้องน้ำตามสะดวก คงไม่ได้อาบน้ำอะไรหรอกทำได้เพียงล้างหน้าล้างตากับทำธุระเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ต่อจากนั้นก็เตรียมตัวเก็บของเพื่อรอถึงสถานีเลาไกกันต่อไป
6:45 น.รถไฟก็จอดสนิท เป้นสัญญาณว่าถึงสถานีปลายทางของขบวนนี้นั่นคือสถานีเลาไก(GA LAO CAI) ทุกคนต่างเดินมาออที่หน้าบันไดทางลงของแต่ละโบกี้ ช่วงนี้ต้องทำใจนิดนึงครับ เร็วกว่าสัมภาระน้อยชิ้นกว่าได้เปรียบ เพราะต้องแย่งกันลงบันไดรถไฟซึ่งบันไดรถไฟที่ไหนๆใครที่เคยขึ้นรถไฟก็ทราบดีว่าแคบและชันมาก ต้องค่อยๆลงและลงได้ทีละคน หลักหนาสาหัสสำหรับการที่ต้องลงรถไฟในเวลาที่คนทั้งขบวนลงพร้อมกัน เบียดกันอุตลุด แต่สุดท้ายก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย...เฮ้อ
มาถึงสถานีเสร็จก็งงๆกันอยู่เล็กน้อยว่าจะเดินไปตรงไหนดี แต่ก็เดินตามๆคนอื่นเขาไป เดินผ่านสถานีต้องเอาตั๋วยื่นให้พนักงานต่ออีก(ใครทิ้งไปแล้วทำยังไงเนี่ย) ถึงจะออกไปข้างนอกได้ พอออกมาก็จะมีคนชูป้ายเยอะแยะเชียว เยอะจนอ่านไม่เจอชื่อเรา ซึ่งต้องมีชื่อตัวผมเองเป็นภาษาอังกฤษเป็นหัวหน้าทีม สุดท้ายก็เจอและเขาให้เดินไปรอที่รถตรงที่จอดรถด้านนอก
ตอนแรกคิดไว้ว่าเป็นรถตู้หรือรถอะไรสักอย่างที่ทัวร์ส่งมารับเราเพียง 4 คนในกลุ่มเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่า เป็นรถรับนักท่องเที่ยวรวมกันหลายๆคนจนเต็ม ซึ่งแออัดมากกกก เนื้อที่ให้ใส่สัมภาระต่างหากก็มีไม่มากต้องเอามาวางตรงพื้นด้านหน้าเบาะนั่งกัน โดยเฉพาะของฝรั่งเป้มันใหญ่มาก ก็คงต้องทนๆกันไปจนกว่าจะถึงซาปา
รถตู้ออกจากที่จอดรถสถานีเลาไกประมาณ 7 โมงเช้า และยังมีรับคนที่เดินผ่านอีก 1 คนด้วยนะ เรางงกันว่ารับไปได้ยังไงที่นั่งก็จะไม่มีแล้ว คงเหมือนรถป.2 ในบ้านเราที่รับคนรายทางอีกเป็นรายได้พิเศษของเขา เข้ากระเป๋าตัวเองหรือเปล่า?
รถแล่นเลาะไปตามเขา ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะแออัดมากไม่อยากควักกล้องมาอีก แต่อารมณ์ประมาณจากอาเขตเชียงใหม่ไปปายประมาณนั้น แต่ใช้เวลาน้อยกว่าคือ 50 นาที - 1 ชม. ก็ถึงซาปาแล้ว
รถจอดที่แรกคือหน้าโบสถ์คริสต์อันเป็นสัญลักษณ์ของซาปา และไล่จอดส่งนักท่องเที่ยวทุกคนตามโรงแรมที่พัก ส่งเกือบหมดรถจนมาส่งพวกเรา 4 คนเป็นที่เกือบสุดท้าย เราลงพร้อมสัมภาระแล้วเดินไปเช็คอินที่โรงแรมซาปาอีเดน (Sapa Eden Hotel) ซึ่งจองมาล่วงหน้าทาง email: sapaedenhotel@gmail.com ของโรงแรมโดยตรง (เปลี่ยนใจจากเคยจองผ่าน Agoda.com โดยได้ราคา 30 USD / ห้อง / คืน) แต่ทางโรงแรมก็แจ้งเราว่ายังไม่สามารถเข้าห้องได้ ต้องรอลูกค้าเช็คเอาท์ก่อน ซึ่งคงเข้าได้ประมาณ 10 โมงเช้า แต่สามารถเข้าห้องน้ำอาบน้ำได้ ผมกับแฟนเลยนั่งๆนอนๆที่โซฟาบริเวณรีเซฟชั่นไปก่อนเพราะง่วงด้วย ยังไม่ได้ทำอะไร แต่พอสักพักก็ย้ายขึ้นไปหาอะไรกินที่ชั้น 4 ชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นชั้นห้องอาหารของโรงแรม วิวสวยได้บรรยากาศดีทีเดียว
วิวที่มองเห็นเป็นวิวนาขั้นบันไดกับอาคารแนวตะวันตก แต่ยังไม่ทราบว่าคืออาคารอะไร คงต้องรอเราไปสำรวจซะก่อน บนนี้ลมเย็นทีเดียว อากาศที่ซาปาเขาบอกว่าเย็นตลอดปี ในแต่ละวันสลับกันมีหมอกและแดดอ่อนๆ บางปีถึงกับมีหิมะตกทีเดียว ก็คงจะมีที่นี่ที่เดียวหรือเปล่าใน South East Asia ที่มีหิมะตกได้
ณ บนชั้นร้านอาหารนี้ เพื่อเป็นการคลายความง่วงเหงาหาวนอน เลยสั่งกาแฟเวียดนามมาดื่ม รสชาติก็เข้มดีพอหายง่วงไปได้บ้าง ส่วนอาหารที่สั่งเป็นขนมปังฝรั่งเศสซึ่งไม่ค่อยอร่อยเท่าใดนัก เลยไม่ได้ถ่ายมาด้วย
พอถึง 10 โมงก็ได้เวลาเข้าห้องพักกันแล้ว ห้องเราอยู่ชั้น 3 ห้องใหญ่ ใหม่สะอาด และตกแต่งสวยงามงามดีตามที่เคยอ่านรีวิวของคนที่เข้าพักมาแล้ว ห้องพักในโรงแรมในซาปาจะไม่มีแอร์เพราะอากาศเย็นอยู่แล้วตลอดทั้งปี ซึ่งก็จริงๆ อากาศแบบนี้ชอบมากๆ
อีกมุมหนึ่งของห้องพักเราซึ่งจะเห็นการตกแต่งภาพที่หน้าต่างเป็นแนวชาวเขา และมีประตูเปิดออกไปยังชานด้านนอกตรงกับวิวท้องนาขั้นบันไดพอดี
ห้องน้ำใหม่ สะอาดดีมากเลยครับ
เรางีบหลักที่เตียงสักพัก(ใหญ่ๆ) เพราะนอนในรถไฟยังไงก็หลับไม่สนิทหรอก เลยมานอนเอาแรงต่อที่ห้องพักละกัน อากาศที่เย็นแม้ไม่มีแอร์ก็รู้สึกถึงความหนาวได้เลย ต้องห่มผ้าห่มหนาๆกันเลยทีเดียว
เข้าไปเลือกโต๊ะที่ติดกับวิวด้านนอก ไม่ผิดหวังกับวิวหมอกที่เห็น ไม่น่าเชื่อว่า ณ ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว แต่ยังมีหมอกให้เห็นตลอด อากาศไม่ต้องพูดถึง เย็นสบายดีจัง
ดูกันใกล้ๆว่าหมอกขนาดไหน สีขาวฟุ้งไปหมดจะบดบังเขาที่อยู่ไกลออกไปทีเดียว ซึ่งเขาที่เห็นน่าจะเป็นเขาฟานซีปันที่มียอดเขาสูงสุดในอินโดจีน (ไม่ใช่สูงสุดใน South Eeast Asia นะครับ อันนั้นยอดเขาคินาบาลูที่ไปพิชิตมาแล้ว)
มาเวียดนามต้องลองเบียร์ท้องถิ่นหน่อยครับ Hanoi Beer รสชาติก็นุ่มดีครับไม่ขม(จริงๆไปมาหลายประเทศลองเบียร์ท้องถิ่นในแต่ละประเทศก้รสชาตินุ่มลิ้นทั้งนั้นเลย)
สั่งพิซซ่าแบบเหมือนว่าอยู่ในยุโรปกันเลย ปรากฎว่าพิซซ่าอร่อยมาก ได้รางวัลที่ 1 ไปเลย ขอบอกว่ามาร้านนี้ต้องลองพิซซ่าครับ ที่สั่งมาเป็นหน้าฮาวายเอี่ยน รสชาติสมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว เบ็ดเสร็จหมดไป 165,000 VND
ทานอาหารเสร็จก็เดินขึ้นเนินต่อไป มองย้อนมาที่ร้านอาหาร Nature View(อยู่ทางซ้ายมือ ส่วนโรงแรมที่พักจะอยู่ไกลออกไปทางขวามือซึ่งมองไม่เห็น)
เดินมาถึงตรงแยกมีร้านกาแฟและเบเกอรี่ตกแต่งน่ารักๆตรงหัวมุมชื่อว่า Sapa Rooms ว่าจะแวะมาทานซะหน่อย
เดินมาเที่ยวตลาดสดของซาปากันหน่อยครับว่ามีขายอะไรบ้าง ก็จะมีผลไม้คล้ายๆกับบ้านเราเหมือนกัน แต่ไม่ได้ซื้อมา
เราเดินต่อไปโดยขึ้นบันได้มาจนมาโผล่ที่วงเวียนซึ่งอยู่ใกล้กับโบสถ์คริสต์สัญลักษณ์ของที่นี่
แล้วก็เดินต่อไปโบสถ์คริสต์กัน ไม่มาที่นี่เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงซาปา ทำนองนั้น
เดินดูกระจกสีด้านข้างโบสถ์ ไม่ได้เข้าไปข้างในครับ
แล้วก็เดินต่อไปตามทางที่เหมือนจะออกไปที่หมู่บ้านชาวเขาที่ตาวานและเล่าชัย มุมนี้มองเห็นอาคารตึกมากมายลดหลั่นกันตามพื้นที่บนเขาซึ่งส่วนใหญ่ที่เห็นก็คือโรงแรมต่างๆนั่นเอง ซาปาเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้มีตึกมากมายตั้งเบียดเสียดท่ามกลางขุนเขาและทะเลหมอกอย่างที่เห็น
ไม่ได้การแล้ว เดินไปเดินมาเห็นว่าจะออกนอกเมืองไปแล้วก็เดินกลับมาตามทางอย่างเก่า แวะพักที่ร้านนี้ก่อนดีกว่าครับ ร้านนี้มีชื่อว่า Buffalo Bell เป็นร้านอาหารแนวตะวันตก
ทานพิซซ่ามาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงยังไม่ทันไรเลย ก็ต้องมาสั่งพิซซ่ากันอีกแล้ว จริงๆก็อยากลองดูว่าพิซซ่าแต่ละร้านรสชาติอร่อยมากน้อยแตกต่างกันมากหรือเปล่า ได้คำตอบว่าร้านนี้ไม่ค่อยอร่อย หรือเป็นเพราะว่าเราอิ่มมาก็ไม่รู้ ครั้งนี้เลยทานจะไม่หมดเอา มื้อนี้หมดไป 178,000 VND
อากาศเย็นๆแบบนี้ไม่อยากทำอะไรเลยขี้เกียจไปหมด ค่อยๆเดินชมวิวไปเรื่อย อิ่มท้องก็เดินขึ้นเนินต่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง
และก็เดินมาถึงจุดวงเวียนจุดเดิมที่เคยเดินมา แต่ครั้งนี้สภาพอากาศเปลี่ยนไป หมอดมาอย่างหนามาก จำวิวที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนไม่ได้เลย ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงแท้ๆ สถานที่เดิมๆ หมอกจะไปจะมานี่รับไม่ทันกันเลยทีเดียว
ในที่สุดก็มาถึงร้านเบเกอรี่ที่ใครๆ(คนไทย)บอกว่าอร่อยกันและต้องแวะทานเมื่อมาที่ซาปาแห่งนี้ ร้านมีชื่อว่า Baguette and Chocolate ก็ตกแต่งสวยดีครับ
เราสั่งเค้กกับช็อคโกแลตมาดื่ม หมดไป 149,000 VND ทานเสร็จก็เดินกลับที่พักโดยตอนเดินกลับเห็นพี่อ้อกับลูกกำลังทานหม้อไฟอยู่ในร้านแห่งหนึ่ง เข้าไปทักทายแล้วเดินต่อไปยังที่พักครับ
เป็นอันว่าจบวันที่ 2 ของทริปนี้ที่ซาปา โดยเราจะเหลืออีก 1 วันจนถึงประมาณ 5 โมงเย็นถึงจะออกจากซาปา พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามตอนต่อไปในวันรุ่งขึ้นครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น