วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 2.2 ฮายาโซเฟีย(Hagia Sophia) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง สถานที่ที่คุณต้องไปให้ได้ในช่วงชีวิตนี้!


ตอนนี้จะเป็นตอนที่อุทิศให้กับฮายาโซเฟีย, อายาโซเฟีย, อายาโซฟิอา(ผมว่ามันไม่ได้อ่านว่า โซฟิอา(Sofya) หรอก อ่านว่า โซเฟียแบบเดิม) โบสถ์เซนต์โซเฟีย, สุเหร่าเซนต์โซเฟีย, Hagia Sophia, ฮาเยียโซเฟีย, ซังต้าโซเฟีย, พิพิธภัณฑ์ฮายาโซเฟีย ฯลฯ เยอะแยะไปไหน?? ไม่เคยเจอสถานที่ที่มีชื่อเรียกเยอะขนาดนี้มาก่อน ส่วนใหญ่ก็จะมีภาษาท้องถิ่น ภาษาอังกฤษ และภาษาไทย นี่เยอะมาก มีกรีกมีโน่นนี่มาแจม แต่สถานะปัจจุปันคือเป็นพิพิธภัณฑ์นะครับ เปิดให้ชมทุกวันในหน้าร้อน หน้าหนาวก็หยุดวันจันทร์ครับ ไม่พูดมาก เจ็บคอ....มาชมความงามกันเลยดีกว่าครับ


พอผมกลับจากท่ารถบัสที่ Essenlor Otogari ก็กลับมาที่จัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด หยุดยืนที่นี่ครับ German Fountain หรือภาษาตุรกี Alman Çeşmesi ส่งมาจากเยอรมันแล้วมาประกอบที่นี่ในปี 1900 สร้างขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบปีที่ 2 ของจักรพรรดิเยอรมัน


ด้วยควาที่บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว ลองเดินไปดูแถวที่ต่อเข้าฮายาโซเฟียหน่อยซิ จะสั้นลงมั้ย ในใจก็อยากเข้าอีก 1 สถานที่ในวันนี้เลย โชคดีครับ หรือพอเวลานี้ทัวร์คงหมดไปแล้ว แถวก็เลยสั้นก็ยืนต่อแป้บเดียวก็ได้เข้าไปข้างในแล้ว ค่าเข้า 60 TL แล้วก็มายืนจดๆจ้องทางเข้าอาคารตรงนี้


ประตูแรกที่เข้าไปก็จะเจอประวัติแบบนี้ มีทางเข้าอีกชั้นนึง


พอเดินเข้าไปก็จะเจอประตูทางเข้าจริงๆด้านในอีก 1 ชั้น แต่เดี๋ยวก่อน จะยังไม่เข้าไปครับ เพราะโถงตรงนี้มีภาพวาดบนเพดานสวยงามมากๆ จนใครหลายๆคนรวมถึงผมต้องหยุดยืนแหงนมองจนคอตั้งบ่ากันไปตามๆกัน เรามาสำรวจกันช้าๆครับ


มองไปทางซ้ายมือครับ ขนาดเลนส์ไวด์ที่ระยะ 10 mm. ระยะที่ไวด์สุดยังเก็บภาพมาได้แค่นี้

ฮายาโซเฟีย เดิมเคยเป็นโบสถ์ของคริสตศาสนา นิกายออร์โธดอกซ์ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นสุเหร่าของศาสนาอิสลาม ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแหงหนึ่ง และ ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง จุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร และนับเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมไบเซนไทน์ เครดิต : www.thoongtongtour.com


งั้นเปลี่ยนมาชมในแนวตั้งบ้าง จะได้เก็บภาพวาดบนเพดานด้านบนให้ได้มากที่สุด


คราวนี้หันมองไปทางขวาบ้างครับ จะเห็นว่าโล่งกว่าทางซ้ายมือมาก และอยู่ใกล้กับโคมไฟสวยงามอันนี้มากๆ


เปลี่ยนเป็นแนวตั้ง เก็บภาพวาดวิจิตรตระการตาให้ได้มากที่สุดบนเพดานด้านบน


ผมเองยืนหามุมต่างๆยังไม่เดินเข้าไปข้างใน แล้วก็มาได้มุมมนี้ เอากล้องวางกับพื้น ให้มันเก็บภาพที่องศาขนานกับพื้นยันไปให้ถึงเพดานที่มีภาพวาดวิจิตรงดงามตระการตาให้ได้มากที่สุดเท่าตัวเลนส์ Canon EFS ระยะ 10 mm.จะเก็บมาให้ได้มากได้เลย


เอาหล่ะ....ได้เวลาเดินเข้าไปด้านในแล้ว อยากเรียกว่า โบสถ์คริสต์อายาโซเฟีย เพราะมันคือโบสถ์ในศาสนาคริสต์มาก่อนจริงๆ ข้ามประตูมาแล้วเหมือนกับเป็นโลกอีกโลกนึง ยิ่งใหญ่จริงๆครับ 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ใช้คนกี่คนก่อสร้าง ใช้ช่างฝีมือกี่คนวาดภาพเหล่านี้ ใช้อะไรต่อขึ้นไปเพื่อวาดภาพบนโดมด้านบน?? สุดๆแล้ว ฝีมือมนุษย์ ดูภาพนี้แล้ว ยังไงก็ยังไม่เท่ากับมายืนในสถานที่จริง อารมณ์ในตอนนั้นมันบรรยายไม่ถูกจริงๆ


แล้วก็ขอนำคลิปเมื่อก้าวเท้าเข้าประตูอิมพีเรียล(Imperial gate) ประตูหน้าฮายาโซเฟีย เพื่อเข้าสู่ภายในโบสถ์ (กดติดตามช่องใน youtube ด้วยก็จะเป็นการดีนะครับบบ :)


แม้ว่าจะมีนั่งร้านสูงตระการอยู่ภายในก็ไม่อาจบดบังหรือทำให้อายาโซเฟียเสียบรรยากาศไปแต่อย่างใด


ผมได้แต่เก็บภาพและเปลี่ยนมุมมองไปเรื่อยๆครับ หน้ากล้องจะมีแต่มุมเงยซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะความงามของภาพวาดอยู่ด้านบนนั่นเอง


โคมไฟที่ห้อยลงมาก็ประดับไฟอย่างสวยงาม เข้ากันได้ดี ทำให้ภายในโบสถ์ไม่มืดเลย


ดูกันดีๆ บางส่วนของโดมก็จะมีส่วนที่สีของภาพวาดนั้นกระเทาะและหลุดร่วงไป จึงต้องบูรณะกันตลอดครับ ภาพนี้น่าจะแหงนคอเกือบ 90 องศาครับ อิอิ


หันกลับไปยังทางเข้าโบสถ์มาครับ ป้ายกลมที่เขียนเป็นภาษาอิสลามไม่รู้แปลว่าอะไร


ในมุมที่โคมไฟต่างๆสวยงามมากๆ ปล.ภาพไม่คมนะครับ เนื่องจาก ISO เยอะ และเป็นเลนส์ไวด์ด้วย


มุมนี้คือทางขวามือของทางเข้าครับ ความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมยุคไบเซนไทน์ยังคงหลงเหลือให้เรายุค 4G ได้ชมกันแบบจุใจ ณ ที่แห่งนี้นะครับ


ในมุมประมาณ 10 องศากวาดไปถึง 90 องศายันเพดานด้านบนโดม


เดินเข้ามาสำรวจภายในตรงนี้ครับ เป็นห้องสมุดของสุลต่านมาห์มุดที่ 1 (Sultan Mahmud I's Library) มีห้องอ่านหนังสือ และห้องสมุด


ได้มุมนี้ที่แปลกๆดีครับ เหมือนเสา 2 ต้นมันค้ำอาคารอย่างแข็งขันและยิ่งใหญ่


ยังอยู่ที่ตำแหน่งเดิม แต่เปลี่ยนมุมมอง โคมไฟสวยงามอีกแล้ว


โอ้ว...มุมนี้ก็สวยยยยย


อีกภาพหนึ่งที่วางกล้องกับพื้น และให้เลนส์ไวด์มันเก็บภาพจากพื้นยันเพดานด้านบน


ตรงนี้เป็นส่วนหลังหรือท้ายสุดของภายในโบสถ์ชั้นล่างแล้วหล่ะครับ ด้านขวาจะเป็นทางเดินบันไดขึ้นไป แต่เขาไม่ได้ให้ขึ้นไปจริงๆนะครับ


 นักท่องเที่ยวมาหยุดยืนที่จุดนี้กันเยอะ ก็ยืนมองภาพเขียนบนโดมภาพนี้ไงครับ


เป็นภาพ Apse mosaic of the Virgin and Child หรือพระแม่มารีอุ้มลูกชายซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ไงครับ
(เลนส์ที่ทำหน้าที่ให้ภาพนี้มาคือเลนส์เทเล 55-250 mm. ทีระยะ 89 mm.)


แล้วก็แหงนคอ 90 องศาเก็บภาพกันอีกครั้ง


เดินวนกลับมาด้านหน้าตรงนี้ ที่เห็นคือ Mable Jar หรือเหยือกหินอ่อน ใช้ในวันพิเศษ เพื่อกระจายน้ำ


เดินมาเจอเขาทำอะไรกัน เสานี้มีชื่อเรียกว่า  The wishing column หรือเสาขออะไรก็ได้ 555 ผมตั้งเอง เอามือไปสัมผัสแล้วจะมีพลังงานบางอย่างออกมา


แล้วก็เดินตามทางนี้ขึ้นไปชั้นลอยของโบสถ์


แสงสลัวๆ น่ากลัวดี


นี่ครับ ทางที่เดินขึ้นมาด้านซ้าย ทางจะเดินขึ้นต่อด้านขวา


ก็จะเป็นชั้น 2 ของโบสถ์เซนต์โซเฟีย


รูปวาดนี้คือ  The Deësis mosaic ไม่รีบบูรณะ สีก็จะกระเทาะหลุดออกเรื่อยๆครับ ต้องใช้ช่างมีฝีมือด้วย เห็นแล้วก็ให้นึกถึงภาพเขียนสีในวัดพรหมมินทร์และวัดหนองบัวในจังหวัดน่านนะครับ


เดินมาอีกนิดจะเจอนี่ครับ ถ้าไม่เห็นนักท่องเที่ยวครอบครัวนึงหยุดยืนมอง ผมก็คงเดินผ่านไปแล้ว แล้วมันคืออะไรหล่ะ นี่เลย 9th-century marker of the tomb of Enrico Dandolo, the Doge of Venice who commanded the Sack of Constantinople in 1204, inside the Hagia Sophia คือชื่อหน้าหลุมศพของ Enrico Dandolo


บริเวณนี้มีช่องลมให้เขย่งถ่ายภาพออกไปข้างนอกได้ด้วยครับ ลืมปรับ ISO แสงจะเว่อร์หน่อย
ปล.ช่วงนี้ แบ็ต LP-E12 3 ก้อนที่เอามาจะหมดแล้วครับ ต้องลุ้นปิดและเปิดใหม่ เพื่อให้ถ่ายได้บ้าง


แล้วก็เดินลงมาชั้นล่าง ชามน้ำพุใบใหญ่ๆ ใบนี้เขาเขียนว่า Snake Patterned Pool ก็คือทำลายเป็นรูปงูนั่นเอง


ข้างผนังเป็นรูปวาดสมัยนั้นภายในสุเหร่าอายาโซเฟีย โดยช่วงเวลานั้นผู้ครองบัลลังก์คือฟาติห์สุลต่านเมห์เหม็ด

แล้วก็ได้เวลาเดินออกจากฮายาโซเฟีย แต่ทันใดนั้น คนข้างหน้าที่เดินออกพร้อมกับผม รวมทั้งผม เห็นภาพตรงด้านหน้า ซึ่งมันคือกระจกสะท้อนภาพด้านหลัง ทุกคนใจตรงกัน รีบกลับหลังหันพร้อมๆกัน เพื่อมองดูภาพดั้งเดิม


นี่ไงครับ ภาพดั้งเดิมอยู่ด้านบน(Southwestern entrance mosaic) คือภาพพระแม่มารีนั่งบนบัลลังก์กำลังอุ้มเด็กชาวคริสต์ ด้านซ็ายมือของพระแม่คือกษัตริย์คอนสแตนตินยื่นโมเดลของเมือง ส่วนด้านขวาของพระแม่คือกษํตริย์จัสติเนี่ยนที่ 1 กำลังเสนอโมเดลของอายาโซเฟียให้พระแม่

สรุป ผมใช้เวลาในฮายาโซเฟีย ประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งผ่านไปเร็วมากๆครับ แค่ได้มาชมนี้ก็ถือว่าคุ้มกับทริปตรุกีนี้หมดแล้ว แม้จะไม่ได้ไปไหนอีกก็ตาม!


ออกจากฮายาโซเฟียเกือบๆ 6 โมงเย็นแต่ที่นี่ยังสว่างอยู่ เข้าไปในห้องพักโรงแรมก่อน ชาร์จแบ็ต เงียบหลับอีกครั้ง แล้วค่อยออกมาหาอะไรทาน เดินหาไปหามา สุดท้ายเลือกร้านนี้  CAN RESTAURANT ร้านที่ติดกับโรงแรมนั่นเอง ขี้เดียจเดินหาแล้ว อากาศก็เริ่มหนาว


อาหารง่ายๆ คล้ายๆไก่เปรี้ยวหวาน แต่ชื่อไก่สตูว์ และข้าวเปล่า 1 จาน น้ำเปล่า 1 ขวด สนมราคารวม 31.5 TL พอประทังชีวิตไปได้บ้าง


เดินย่อยอาหารตามถนนหน้าโรงแรมนี้ไปเรื่อยๆ เปิดไฟกันสวยงามดี แต่ไม่ไหวครับ วันนี้โดนฝนด้วย ชักจะไม่สบาย แถมปวดไหล่ขวามากๆ จริงๆปวดตั้งแต่ 2-3 วันก่อนบินมาแล้วครับ คิดว่าจะหาย ดันมาปวดอีก เลยเดินกลับโรงแรมรีบทานยาแก้ปวด Acroxia แล้วนอนดีกว่า


ฝากท้ายตอนนี้ด้วยภาพรถราง 2 ขบวนเทียบชานชาลาที่สถานีสุลต่านอาห์เหม็ดพร้อมๆกัน แล้วมาติดตามกันต่อ พรุ่งนี้จะไปชานักกาเล่ ไปดูม้าไม้เมืองทรอยครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น