[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 6.4] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 8] [ตอน 9] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 12.3] [ตอน 12.4] [ตอน 13]
วันนี้จะชิลล์ๆหน่อย คือไม่มีภาระกิจอะไรที่เร่งด่วนแล้ว เพราะทางเดินหินปูนบนปามุกกาเล่(Travertines of Pamukkale) และเมืองโบราณเฮียราโปลิสก็ไปมาเมื่อวานนี้แล้ว ถือได้ว่าเก็บหมดตามแพลนที่วางไว้ แต่เหลืออีกอย่างที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวแต่มันคือการไปซื้อตั๋วรถ Overnight Bus ไปโกเรเม่นั่นเอง คือมีรอบเดียวของแต่ละวัน ฉะนั้นจะพลาดไม่ได้ โดยเช้านี้หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็จะลงไปหาเจ้าของโรงแรมที่นัดไว้เมื่อวานตอนค่ำ ว่าจะพาไปที่ร้านจองตั๋ว ถ้าได้ตั๋วแล้วคงหายใจทั่วท้องและเตร็ดเตร่รอบๆสระน้ำด้านหน้าปามุกกาเล่นี่หล่ะครับ คงไม่ได้ไปไหนแล้ว และใกล้ๆ 4-5 โมงเย็นก็คงเดินทางกลับไปที่ท่ารถเดนิซลี่ต่อไป เพื่อไปรอรถ Overnight Bus รอบเวลา 4 ทุ่มนี่หล่ะครับ แพลนคร่าวๆคงตามนี้
ไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นบอลลูนที่นี่ ที่ปามุกกาเล่ แหงนมองท้องฟ้า เต็มพรึบไม่ใช่เล่นเลย ในภาพนี้นับบอลลูนได้ 5 ลูกด้วยกัน
หลังจากนั้น บอลลูนบางลูกก็ลอยอยู่กลางวงล้อมปามุกกาเล่แบบนี้
หรือจะยังลอยใกล้ๆกันแบบกลุ่มนี้
ในมุมนี้สามารถเก็บภาพบอลลูนมาได้ด้วยกัน 7 ลูกภายในภาพเดียว เยอะจริงๆ
ลูกนี้ใหญ่มากๆ ลอยห่างจากทางเดินหินปูนไม่ไกลเลย ผมว่าคนบังคับเขาเก่งนะครับ สามารถบังคับให้นิ่งๆได้ ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะได้ยินเสียเวลาเขาเพิ่มแก๊สเข้าไป มันจะเป็นเสียงฟู่ๆของแรงดันลม
มีบอลลูนมาอีกลูกใกล้ๆกัน จะชนกันมั้ยน้าาาา หวาดเสียวน่าดูเลย คนที่ยืนอยู่คงเสียวกว่าเราเยอะ 555
รูปสุดท้ายก่อนจะค่อยๆทะยอยกันลอยไปจุดอื่นเพื่อแลนดิ้ง
อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ได้เวลาเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อทานอาหารเช้าของโรงแรม ก็ง่ายๆแบบนี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือไข่ต้ม
ทานเสร็จไม่ลืมที่จะเดินลงไปหาเจ้าของโรงแรมที่สัญญาจะพาไปชี้ร้านจองตั๋วรถบัส ซึ่งแกก็เดินพาไปจริงๆ พอเดินไปแล้วเลี้ยวซ้ายจนเห็นร้านดังภาพนี้แกก็ชี้ให้ผมดู ว่าเดินตรงไปก็จะเจอกับร้านเอเย่นท์ที่ขายตั๋ว ก็ขอบคุณแกมาก บริการดีจริงๆ ผมก็เดินต่อแล้วเข้าไปข้างใน
พร้อมกับได้ตั๋วรถบัสรอบ 22.00 น.ของวันนี้มา เป็นเจ้าใหม่ RHTurism ซึ่งคุยกับเจ้าหน้าที่(ให้รายละเอียดดีมากๆ) แกบอกว่า เส้นทางนี้ไม่มี Pamukkale มีแต่เจ้านี้ คล้ายๆเขาหลีกทางกันทำมาหากิน แต่เจ้านี้ไว้ใจได้ ซึ่งผมก็ดูออนไลน์มาก่อนหล่ะครับว่าเจ้านี้โอเคกว่าอีกเจ้า เวลาออกไม่เร็วไม่ดึกเกินไปนัก ค่าตั๋ว 95 TL ดูในออนไลน์ 100 TL ทำไมถูกหล่ะคราวนี้ 555
แล้วผมก็ลองกดเช็คตั๋วออนไลน์อีกครั้งสำหรับสายนี้ เฮ้ย....ปรากฎว่าตั๋วเต็มหมดครับ สงสัยตั๋วผมนี่ท่าจะเป็นใบสุดท้ายเลยมั้ง โชคดีมากๆ ไม่งั้นไม่รู้จะทำไงดี มีรอบเดียวซะด้วยเพราะระยะทางมันไกล เลยต้องใช้เวลานาน เลยมาลงที่รอบดึกเพื่อไปถึงเช้านั่นเอง แล้วก็เดินกลับไปเก็บเสื้อผ้าแพ็คใส่กระเป๋า
มาชมคลิปวิดีโอส่องผู้คนบนทางเดินหินปูนแห่งปามุกกาเล่กันครับ จากระเบียงห้องพักแบบแจ่มๆ ก่อนจะเก็บกระเป๋าลงไปเช็คเอาท์
ได้เวลาลงไปเช็คเอาท์กันแล้ว ให้ดูทางลงบันไดแบบวน คนเมาหรือสติไม่ดีหมดสิทธินะครับ ต้องเดินดีๆระวัง ทางยิ่งแคบๆอยู่ กระเป๋าใหญ่ เดินไม่ดีตกบันได้ได้เลยนะ
ฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ก็ออกมาเดินเล่นที่สระน้ำหน้าทางเข้าปามุกกาเล่ ดูแม่ห่านกับลูกห่านไปพลางๆ
เกือบๆ 11 โมงเห็นจะได้ อย่างที่บอกว่าโปรแกรมหมดแล้ว เพราะได้ขึ้นไปด้านบนปามุกกาเล่และเฮียราโปลิสเมื่อวานนี้แล้ว คงเหลือเพียงชิลล์ๆบริเวณนี้ไปก่อน ก่อนจะเดินทางกลับท่ารถเดนิซลี่ ครั้นจะเข้าไปปามุกกาเล่อีกครั้งก็กระไรอยู่นะ เพราะต้องจ่ายเงินอีก 50 TL ไม่ไหว ถ้าเป็นตั๋ว 2 วันก็ดีนะครับ แบบมาเก็บอีกวันได้
พาราไกดดิ้งก็มีให้เห็นอีกครั้ง
บริเวณสระน้ำนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะขึ้นไปด้านบน ผมมานั่งที่ม้านั่งบริเวณนี้ ได้ยินเสียงชายคนนึงขานเป็นจังหวะ เขาพูดเป็นภาษาตุรกี และตามด้วยภาษาอังกฤษว่า xxxxx (ภาษาตุรกี) photo express. คือประมาณว่า รับถ่ายรูปให้ แล้ว print รูปออกมาเดี๋ยวนั้นเลยให้กับลูกค้า คือผมชอบลุงแกที่ขยันทำมาหากินนะครับ ชื่นชมเลย เอาถาดที่มีอุปกรณ์กล้อง + printer คล้องคอแล้วเดินพูดไป ถ้าผมแก่ขนาดนี้ก็คงต้องออกมาทำอะไรเหมือนกัน แต่อดคิดไม่ได้ว่า ยุคนี้มันไม่ได้แล้วสิครับ เกือบทุกคนมีกล้องดิจิตอลกันหมดแล้ว ไม่เหมือน 10-20 ปีที่แล้ว ทำให้ไม่มีลูกค้าเลยครับ สงสารลุงแกครับ
ลูกห่าน 4 ตัวว่ายน้ำน่ารักดี ขนาดอากาศยังเย็น แล้วน้ำจะไม่เย็นได้ไง
บางคนก็เช่าเรือถีบ ตัวนี้น่าจะเป็นห่านใช่มั้ยครับเนี่ย
แล้วก็เจอป้าๆ 4 นาง ติดที่คาดผมแปลกๆ ไม่กล้าถ่ายตอนหันหน้ามา เลยถ่ายได้เพียงตอนหันหลัง เป็นคนเกาหลีนะครับ ไม่ใช่จีน
มีอีกคนให้อาหาร คราวนี้ส่ายมารอกันเพียบเลย
ผมห่านกำลังเดินสวนสนามคร้าบบบบ
ประมาณเที่ยงครึ่ง นักท่องเที่ยวด้านบนสุดของทางเดินหินปูนออกันเยอะแล้วครับ
บางส่วนก็กำลังเดินลงมาด้านล่าง
เรือถีบ 2 ลำดูเหมือนจะชนกัน แต่ไม่ชน
จริงๆพอเห็นเรือถีบ ก็ทำให้หวนนึกถึงตอนเด็กๆ ตอนไปเล่นเรือถีบที่สวนลุมพินี ไปกับพี่และแม่ เอาอาหารไปปิคนิกกันด้วย
ผมเริ่มเดินรอบสระแล้ว วนตามเข็มนาฬิกา เก็บภาพไปเรื่อย
หันกลับมาเจอวิวนี้ ผมว่ามันสวยนะครับ เห็นวิวสระน้ำเบื้องหน้า แบ็คกราวนด์เป็นโรงแรม Sahin แถมด้านหลังคือภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะด้านบน ทำให้นึกถึงตอนไปเทร็กกิ้งที่เนปาล ไม่มากก็น้อย
ได้กลิ่นหิมะมาแต่ไกลเลย
ทำทางเดินรอบสระน้ำไว้เป็นอย่างดี เดินเหนื่อยก็มีม้านั่งแวะให้นั่งพัก บ้านเมืองสะอาดเพราะรักษาความสะอาดกัน ไม่ทิ้งขยะไม่เป็นที่
เดินวนสระน้ำมาเกือบจะครบแล้ว ขอภาพมุมนี้ก่อนจะเดินไปจุดอื่น เริ่มหิวข้าวขึ้นมาเลย
เดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง ฝั่งเดียวกับโรงแรม ตรงนี้เป็นสวนน้ำเก่า สงสัยคนเข้าน้อย เลยปล่อยร้างซะ น่าเสียดายจัง ยังใหม่อยู่เลยผมว่า
เดินหาร้านอาหารที่ออกแนวเอเชียดีกว่า มีอยู่ร้านนึง ร้านที่หัวมุมซอยของโรงแรม ที่ชั้นล่างขายน้ำและไอศครีม ชั้นบนร้านอาหาร เดินเข้าไปเลยครับ เลือกที่นั่งติดหน้าต่างจะได้ทานไปด้วยชมวิวไปด้วย พอเมนูมา โอ้โห...อาหารเอเชียราคาสู้ไม่ไหวครับ ก็เข้าใจนะทั้งเครื่องปรุง วัตถุดิบ แถมจะค่าแรงทำอีก เลยไปสั่งอาหารธรรมดาทั่วๆไปราคาไม่แรง นั่นคือชุดแฮมเกอร์ไก่+เฟรนซ์ฟรายด์ และน้ำผลไม้ รอดไป 1 มื้อ
หลังจากทานอาหารเสร็จก็เดินกลับโรงแรม เข้าไปนั่งในล็อบบี้ ขนาดในห้องยังหนาวเลย สุดยอดนั่งไปนั่งมา สัก 20-30 นาที ทนหนาวไม่ไหว เปิดกระเป๋าใหญ่ เอากางเกง Heattech Ultra Warm ออกมา โดยเข้าไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำชั้นล่าง ค่อยอุ่นขึ้นมาเลย แล้วก็เดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงที่ห้องอาหารชั้นบนอีกครั้ง แล้วก็ลงมาอีก เหมือนจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำ รอเวลาอย่างเดียว
ดูเวลาก็บ่าย 4 โมงแล้ว งั้นลากกระเป๋าไปรอรถที่ป้ายดีกว่า ไปดูลาดเลามาแล้ว ขณะกำลังจะเดินออกจากโรงแรม เจ้าของโรงแรมถามผมว่าจะไปแล้วใช่มั้ย ผมบอกว่าใช่ แกให้รอสักครู่ แกไปหยิบ magnet ที่เป็นรูปวิวปามุกกาเล่สวยๆให้ 2 อัน ก็เลยขอบคุณแกไปแล้วบอกว่า ถ้าใครจะมาพักที่ปามุกกาเล่จะแนะนำโรงแรมนี้ แกก็ยิ้ม ถือว่าเจ้าของอัธยาสัยดีมากๆครับ ชื่อโรงแรม Sahin ก็ชื่อพ่อหรือชื่อแกเองหล่ะครับ แล้วก็ไปรอตรงนี้เลย ที่มีคน 2 คนกำลังยืนอยู่ รถขากลับเดนิซลี่จะมาจากด้านขวามือที่หลบเข้าไปหลังอาคาร
ไม่นานรถตู้ก็มาถึง ก็จัดแจงเอากระเป๋าใส่ด้านหลังรถก่อน แล้วก็ไปนั่ง ตอนแรกผมขึ้นไปนั่งที่นั่งด้านใน แต่สักพักสงสัยมีผู้หญิงขึ้นมาเยอะ และที่นั่งไม่พอ คนขับเลยบอกผมว่าให้มานั่งที่นั่งด้านหน้าติดคนขับ ก็โอเค ได้ชมวิวด้านหน้าไม่มีอะไรมาบังด้วย
นี่ไงครับ วิวถนนสวยด้วย ทั้งเสาไฟเกาะกลางถนนและเบื้องหน้าคือภูเขาที่มีหิมะปกคลุมด้านบน แสงแดดใกล้ลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ
แล้วก็มาถึงท่ารถเดนิซลี่ ด้วยความที่มาถึงประมาณ 5 โมงเย็น เหลือเวลาตั้ง 5 ชั่วโมง! รถถึงจะออก แต่ทำไงได้ ก็เลยหาที่นั่งไปด้วยทานอะไรไปด้วย ก็มาร้านนี้ที่ขายกาแฟและขนมปัง ขอนั่งยาวนะครับ สั่งกาแฟดำไป 4 TL อ้อ...กาแฟที่นี่ไม่ค่อยจะมีกาแฟสด เขาเน้นไปที่ชา ก็เลยได้เนสกาแฟชงมา ก็โอเคครับ นั่งยาวๆไป ยังรู้สึกถึงความหนาวอยู่เลย ทั้งๆที่เข้ามาอยู่ในอาคารแล้วนะ หรือจะเป็นไข้? นี่ดีนะที่ใส่ Heattech ที่เป็นลองจอนมาจากโรงแรม ช่วยได้เยอะมาก
ผ่านไป 3 ชั่วโมง ไวเหมือนโกหก หลายคนที่มานั่งก็ไปขึ้นรถกันหลายโต๊ะแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังนั่งที่เดิม เริ่มปวดฉี่ เดินไปเข้าห้องน้ำก่อน ทิ้งกระเป๋าใหญ่ไว้ เอาเป้กล้องไปด้วย เสียค่าเข้า 1 TL ออกมากระเป๋ายังอยู่ 555 งั้นไปสั่งอะไรเพิ่มอีกดีกว่า หิวแล้ว เลยได้นี่มา โดนัทข้างในเป็นครีมอะไรสักอย่าง ราคา 4 TL ที่นี่ขายไม่แพง ถ้าเป็นไทยคงไม่ได้ราคานี้ นั่งไปๆมาๆ เข้าห้องน้ำปวดฉี่อีกครั้ง เพราะมันอากาศเย็นจริงๆ ให้ตายเถอะ
เวลาแห่งการรอคอยก็ได้สิ้นสุดลง เดินไปรอที่รถบัสจะมาจอดก่อน 10 นาที แล้วในที่สุดรถที่จะไปก็มาถึง เย้.....เฮ้อ เวลาแห่งการรอคอยได้สิ้นสุดลง
ฝากกระเป๋าข้างรถแล้วเดินมาที่นั่ง ครั้งนี้ได้ที่นั่งคู่ติดทางเดินครับ ก็โอเคแล้วไม่นานรถก็แล่นออกจากสถานีเดนิซลี่มุ่งหน้าโกเรเม่ ตามกำหนดการจะถึงที่โกเรเม่ประมาณ 6 โมงเช้า เสมือนใช้เวลาเดินทางถึง 8 ชั่วโมงด้วยกัน ด้วยระยะทาง 608 กม. เหมือนกรุงเทพ-ลำปาง ยังไงยังงั้นเลยนะครับในระยะทางเท่านี้
แผนที่เส้นทางรถบัสจากท่ารถเดนิซลี่ไปท่ารถโกเรเม่(คัปปาโดเกีย)
ขณะที่นั่งในรถบัสข้ามคืน เบาะเอนได้มากก็จริง แต่เสียงเด็กร้อง, เสียงคุยกัน, แถมเขาไม่ปิดไฟในรถด้วยนะ ทำให้นอนไม่หลับเลยครับ นั่งรถบัสครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่ประทับใจเลย ทรมานด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเวลานอนควรได้นอน แต่นอนไม่หลับนี่สิ!
สรุป วันนี้ทั้งวันเหมือนกับว่าใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ ทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปนั่งหน้าสระน้ำ เพราะไม่มีอะไรทำ ฆ่าเวลาไปเรื่อย แถมพอมาถึงท่ารถเดนิซลี่ก็ต้องนั่งรอรอบรถอีก 5 ชั่วโมง วันนี้จึงเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดของทริปรองจากวันแรกที่นั่งเครื่องบินมา ซึ่งเวลาเดินรถจากเดนิซลี่ไปโกเรเม่ก็มีวันละรอบด้วยสิ คือยังไงๆก็ต้องมาเวลานี้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย :(
ขณะที่นั่งในรถบัสข้ามคืน เบาะเอนได้มากก็จริง แต่เสียงเด็กร้อง, เสียงคุยกัน, แถมเขาไม่ปิดไฟในรถด้วยนะ ทำให้นอนไม่หลับเลยครับ นั่งรถบัสครั้งนี้ต้องบอกว่าไม่ประทับใจเลย ทรมานด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเวลานอนควรได้นอน แต่นอนไม่หลับนี่สิ!
สรุป วันนี้ทั้งวันเหมือนกับว่าใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ ทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปนั่งหน้าสระน้ำ เพราะไม่มีอะไรทำ ฆ่าเวลาไปเรื่อย แถมพอมาถึงท่ารถเดนิซลี่ก็ต้องนั่งรอรอบรถอีก 5 ชั่วโมง วันนี้จึงเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดของทริปรองจากวันแรกที่นั่งเครื่องบินมา ซึ่งเวลาเดินรถจากเดนิซลี่ไปโกเรเม่ก็มีวันละรอบด้วยสิ คือยังไงๆก็ต้องมาเวลานี้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย :(
โอเค....แล้วติดตามในตอนต่อไปนะครับ วันรุ่งขึ้นจะมีเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ก่อนจะถึงโกเรเม่เลย เป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่อยากได้เลย
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 6.4] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 8] [ตอน 9] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 12.3] [ตอน 12.4] [ตอน 13]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น