วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 11.2 ลากกระเป๋าฝ่าฝูงชนไปเช็คอินที่โรงแรม กลับมาเก็บตกฮิปโปโดรม(Hippodrome) สำรวจเสาโอเบลิสค์ 3 ต้น ก่อนจะหมดแรงกลับที่พัก


ทานแซนวิชปลาเสร็จพร้อมกับรับมือถือที่ทำลืมไว้ก็เดินย้อนกลับมาท่ารถเมลบริเวณด้านหน้าท่าเรือ ซึ่งคนจะเยอะไปไหนนะ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ใช่ แต่เดี๋ยวจะมีเฉลยว่าทำไมคนถึงเยอะ ผมดูๆแล้ว รถเมลไม่ขึ้นแน่นอน คนเยอะมีกระเป๋าใหญ่แถมไม่รู้จะขึ้นสายไหนด้วยเลยตัดไป ส่วนแท็กซี่ก็ไม่ไหว เพราะจอดนิ่งเหมือนกัน ครั้นจะเป็นรถรางซึ่งน่าจะโอเคที่สุด แต่พระเจ้า...คนเยอะต่อแถวกันรอขึ้นรถ โอววว ไปอย่างไรดี ดูแผนที่มันก็ไม่ได้ไกลอะไรหรอก งั้นเดินไปละกัน 555 สรุปคือเดินลากกระเป๋าเหงื่อแตกจากหน้าท่าเรือ Eminönü ไปโรงแรม! พอเช็คอินเสร็จก็เดินออกมาที่ฮิปโปโดรม(Hippodome) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด(Sultanahmet Square) ชื่อในสมัยนี้ ทั้งที่ผมมาย่านสุลต่านอาห์เหม็ดในวันแรกที่มาถึงตุรกี แต่ไม่ได้มาเดินบริเวณนี้เลย เลยจะมาเก็บเสา 3 เสาตามประวัติศาสตร์ แล้วเดินเรื่อยๆชิลล์ๆบริเวณนี้ แล้วกลับโรงแรมว่าจะออกมาอีกครั้งตอนกลางคืน สุดท้ายก็เพลียไม่ได้ออกมาอีกตามเคย


เดินย้อนมาที่ท่ารถเมล Eminönü (ชื่อเดียวกับท่าเรือ) อยู่หน้าท่าเรือ Eminönü(Turyol) มีหลายสายทีเดียว คนรออย่างเยอะ เดินผ่านไปครับ


หยุดยืนงงๆว่าจะใช้บริการขนส่งสาธารณะแบบไหนดี สรุป เดินฝ่าฝูงชนไปดีกว่า เร็วกว่าแน่นอน ดูสิครับ คนจะเยอะไปไหน
อ้อ..เรื่องการข้ามถนน คนตุรกียังไม่มีวินัยนะครับ คือ จะวิ่งข้ามเวลาจังหวะรถว่าง แม้ไฟจะห้ามข้ามคือไฟแดงก็ตาม อันนี้ถือว่าแย่แบบไทยครับ


เส้นทางที่ผมใช้เดินจะคร่าวๆดังนี้ครับ


ดู Google Map ก็เดินลากกระเป๋ามาตามถนนเส้นนี้ครับ สังเกตง่ายๆมันก็จะเป็นถนนเมนหลักที่รถรางแล่นตรงเกาะกลางไปด้วย แม้คนจะเยอะตามทางเดินแต่ก็พอเดินไปได้นะครับ เดินไปดูโน่นนี่ตามร้านก็โอเคเหมือนกัน เหนื่อยก็หยุดพัก


มาเจอกับร้านนี้ คนเข้าคิวสั่งอาหารกันเยอะเลย พอดูก็จะพบ่วาทำไม เพราะราคาไม่แพง มีอาหารหลากหลายให้เลือก และที่สำคัญสะอาดครับ ถ้าผมไม่มีกระเป๋าใหญ่คงได้แวะทานเป็นแน่ๆครับ เดินไปเรื่อยๆจะขึ้นเนินครับ นรกเลยหล่ะ 555 ลำพังตัวเองอย่างเดียวก็จะไม่ไหวแล้ว ทางเดินก็ขึ้นตลอด ดันมีกระเป๋าใบใหญ่ด้วยสิ เฮ้อ...ก็ลากไปพักไป แถมตอนนี้อิสตันบูลอากาศร้อนขึ้นเยอะเลย แดดอย่างแรง เดินไปเหงื่อไหลไป แต่ในร่มยังโอเคอยู่


ไม่ได้จับเวลา แต่โดยประมาณใช้เวลามาถึงหน้าโรงแรม 1 ชั่วโมงได้ คือเดินลากกระเป๋าแถมเดินขึ้นเนิน ก็จะประมาณนี้ โรงแรมที่จองมาชื่อว่า Basileus Hotel เปิดประตูเข้าไปเลย


เข้ามาในล็อบบี้ คือสวยมากกกก เป็นการตกแต่งสไตล์อ็อตโตมัน หรูหราจริงๆ เนื่องด้วยโรงแรม Star Holiday Hotel ที่เคยพักใน 2 วันแรกนั้นเต็ม จึงเปลี่ยนมาพักที่นี่ แล้วก็ราคาถูกกว่าคือ คืนละ 39.6 ยูโร หรือ 1463.43 บาท แต่ก็แลกมาด้วยทำเลที่ไม่ดีเหมือน Star Holiday Hotel นัก แต่ไม่เป็นไร พนักงานต้อนรับคุยสนุกเป็นกันเองครับ และขอเฉลยกับคำถามว่า ทำไมวันนี้คนเยอะจัง ผมถามกับพนักงานคนนี้ แกตอบว่า วันนี้คือวันชาติตุรกี(National Sovereignty and Children's Day) ได้ฟังคำตอบแล้วก็เข้าใจโดยพลัน 555 ชอบที่นี่ก็ส่วนนี้ด้วย พนักงานบริการดี มีกาแฟขนมให้ทานได้ฟรีที่ล็อบบี้ แปลกที่ตุรกีไม่บังคับให้จ่ายเงินในตอนเช็คอินเลย ทั้งๆที่อื่นส่วนใหญ่จะให้จ่ายก่อนตลอด แต่เอาเข้าจริง ผมอยากจ่ายก่อนนะครับ มันจะได้จบๆไปเลย ชำระแบบบัตรเครดิตได้ครับ


พนักงานเดินมาส่งถึงห้องเลย ชั้น 2 ครับ ห้อง 207 มาเจอโรงแรมที่ไม่มีลิฟท์จนได้ อิอิ แกบอกวิธีใช้แอร์ คือใช้ได้ทั้งทำความเย็นเวลาเราร้อน และเป็นฮีตเตอร์เวลาเราหนาว มีน้ำฟรี 2 ขวดซึ่งที่อื่นที่พักมาไม่มีนะครับบอกเลย และแกก็บอกอีกว่า น้ำก็อกในตุรกีห้ามดื่ม ให้ดื่มน้ำขวดแทน ก็โอเค


เดินเข้ามากันเลย จะถ่ายอย่างละเอียด เข้ามาก็จะเจอกับห้องน้ำตรงหน้า


เลี้ยวขวาก็จะเป็นห้องพักแล้ว


เตียงใหญ่ ห้องใหญ่ จัดไฟได้สวยงาม โดยรวมชอบมาก


อีกมุมจากหัวเตียงไปตู้เสื้อผ้า


มุมจากหน้าต่างหันไปทางเข้า


หัวเตียงไปตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง จะเห็นว่าถอดแจ็คเก็ตฟลีชสีน้ำเงินออกแล้ว ร้อนจริงๆ


มาดูห้องน้ำกันบ้าง


สะอาด


หลังจากนั้นก็เดินออกมาข้างนอกอีกครั้ง ทางเดินที่มีหมุดเห็ดแบบนี้น่ารักดี คือจะทำหมุดไม่ให้คนขับรถมาจอดแบบธรรมดาก็กระไรอยู่ เลยทำเป็นเห็ดซะเลย


พอดีโรงแรมนี้อยู่ด้านหลังจุตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด เลยทะลุมาแบบไม่ไกลนัก คันนี้คือรถบัสนำเที่ยวรอบๆย่านนี้ครับ จะไปวนตามสถานที่สำคัญๆ สำหรับคนไม่ชอบเดิน


แล้วก็เจอกับเสาโอเบลิสค์ต้นแรก มีชื่อว่า Walled Obelisk หรือ Constantine Obelisk หรือ Masonry Obelisk ณ สนามแข่งม้าสมัยโบราณ สูง 32 เมตร เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง แล้วค่อยเรียวยาวขึ้นไปเป็นยอดแหลมเหมือนปิรามิด สร้างขึ้นตอนไหนไม่ทราบได้ แต่ได้ชื่อจากกษัตริย์คอนสแตนตินที่ 7 ได้ทำการบูรณะในช่วงศตวรรษที่ 10 ซึ่งจริงๆแล้ว แต่เดิมเสาจะมีคล้ายๆการตกแต่งด้านหน้าด้วยแผ่นสำริด แต่เมื่อช่วงปี 1204 ได้ถูกขโมยและหลอมหายไปโดยครูเสดที่ 4(Fourth Crusaders)
ปล. จากรูปเหมือนๆจะมีการบูรณะใหม่ด้วย เพราะดูจาก wiki เสาปรักหักพังมากกว่านี้


อาคารด้านนี้คือ Marmara University Cumhuriyet Museum and Art Gallery


มองย้อนกลับไปที่เสาโอเบลิสค์ต้นแรก


แล้วก็มาดูเสาสั้นๆ เตี้ยๆ นี้กัน เป็นเสาที่สองในสนามแข่งม้า มีชื่อว่า Yılanlı Sütun ในภาษาตุรกี หรือ Serpent Column / Plataean Tripod / Delphi Tripod ในภาษาอังกฤษ ภาษาไทยคือ เสางู นั่นเอง ดั้งเดินอยู่ที่เดลไฟ ประเทศกรีซปัจจุบัน แต่ได้นำมาที่คอนสแตนติโนเบิ้ล โดยกษัตริย์คอนสแตนติน เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ชาวกรีกในการที่ต่อสู้และชนะอาณาจักรเปอร์เซียในสงคราม Plataea (Battle of Plataea) ในปี 479 ก่อนคริสตกาล


มาดูกันใกล้ๆดีกว่าครับ เสานี้เป็นงู 3 ตัวพันกัน โดยด้านบนจะเป็นหัวงูทั้ง 3 แยกออกจากกันซึ่ง ณ ปัจจุบันหัวงูหายไป ถามว่า แล้วหัวงูมันหายไปไหน? อะแฮ่ม มีคำตอบครับ หัวงูเหลือเพียง 1 หัว และถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์โบราณคดีอิสตันบูล(Istanbul Archaeology Museum) และเราก็จะไปตามล่ากัน ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้


ต่อไปเป็นเสาโอเบลิสค์ที่สาม มีชื่อว่า เสาโอเบลิสค์แห่งกษัตริย์ธีโอโดเชียส(Theodosius Obelisk) เป็นเสาที่สร้างในอียิปต์เพื่อถวายแก่ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 3


มุมด้านข้าง


ไปดูฐานเสาใกล้ๆจะเห็นงานแกะสลักสวยงามจริงๆ ส่วนี้เป็นหินอ่อนนะครับ


รูปนี้เป็นด้านหนึ่งของเสาที่ 3 จริงๆถ่ายมาทุกด้านแต่ลงแค่ด้านเดียวดีกว่า


เอ๊ะ....ทำไมเสาเอียงๆ 555


อีกมุมนึงครับ เก็บเสาของมัสยิดสีฟ้ามาด้วย 1 เสาด้านซ้ายมือ


ตรงนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์อีกเช่นกัน แต่ไม่ได้เข้าไปดู


ฝั่งตรงข้ามกันก็คือมัสยิดสีฟ้า หรือมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ดนั่นเอง กำลังบูรณะอยู่


German Fountain เรามาดูแล้วในวันที่ 2 ที่มาถึงนี่


เดินมาตรงนี้ จะลองเกาลัดซะหน่อย


นี่เลยเกาลัดคั่ว 1 ขีดมั้งครับ 10 TL แล้วก็เดินไปหาที่นั่งทานซะหน่อย


ไปนั่งทานตรงโน้นครับ จะมีม้านั่งให้ สักพักมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นผู้ชาย 3 คนมาทักทายและขอสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คือถามคำถาม 10 ข้อเป็นภาษาอังกฤษนั่นเอง 555 คงเป็นวิชาภาษาอังกฤษของเด็กๆ ในชั้นเรียน แต่สมัยนี้คือเอามือถือมาอัดคลิแตอนสัมภาษณ์ผมด้วยนะ สุดยอดเลย ก็ตอบกันไปครับ สนุกดี บางข้อก็แก้ในน้องว่า ใช้คำว่า world นะ ไม่ใช่ earth ประมาณถามผมว่า What is .... in the earth? ผมก็บอกไปว่า ต้องใช้ world ไม่ใช่ earth สรุปก็จบด้วยตี บ้ายบายกันไปครับ


รูปสุดท้ายของวันนี้ น้ำพุหน้าฮายาโซเฟีย จริงๆกะจะกลับไปที่โรงแรมก่อน สักพักก็จะออกมาใหม่ตามที่เคยแจ้งไว้ แต่สุดท้ายกลับไปโรงแรม พอได้นอนเตียงนุ่มๆแล้วสลบเลย ตื่นเมาๆขี้ตาตอน 3-4 ทุ่มมั้ง ก็ไม่ไหวครับ ขอนอนต่อดีกว่า ผัดวันว่าพรุ่งนี้ก็ได้ ยังเหลืออีกวัน 

ก็เป็นอันว่า หมดแรงจากการเดินทางมาทั้งวัน ตั้งแต่นั่งรถตู้ไปสนามบิน นั่งเครื่องบินลงอิสตันบูล นั่งรถเมลลงกลางทาง ต่อด้วยนั่งรถไฟใต้ดิน แล้วมาลงเรือข้ามฟากกลับอิสตันบูลฝั่งยุโรป แทนที่จะได้สบายขึ้นรถรางมาที่โรงแรมก็กลายเป็นวันคนแน่นจากวันชาติ เลยเดินลากกระเป๋ามาโรงแรม แล้วจะไม่ให้มันสลบหมดแรงไปได้ยังไง ก็ขอจบวันอันแสนทรหดเพียงเท่านี้ พรุ่งนี้เหลืออีกเพียง 1 วันเท่านั้นที่จะได้เที่ยวในตุรกี เพราะวันมะรืนก็จะต้องบินกลับไทยแล้ว เดี๋ยวมาดูกันว่าจะไปไหนบ้าง มาติดตามกันต่อไปครับ คาดว่าพรุ่งนี้จะมีหลายตอนย่อย!


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น