วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 2.1 เริ่มสำรวจสถานที่สำคัญๆในย่านสุลต่านอาห์เหม็ด ไม่ว่าจะเป็น อายาโซเฟีย, มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด, พระราชวังทปคึปึ,อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน


วันนี้เป็นวันที่สองของทริปนี้ เมื่อวานใช้เวลาเกินครึ่งวันในการเดินทางมาถึงดินแดน 2 ทวีปแห่งนี้ วันนี้ตามแพลนถ้ายังจำกันได้(แพลนเที่ยวอยู่ตอน 0) จะตื่นสายๆ แล้วออกมาสำรวจอิสตันบูลในย่านสุลต่านอาห์เหม็ดที่พักอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็น ฮิปโปโดม(สนามแข่งม้าสมัยก่อน) หรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด ณ ปัจจุบันนั่นเอง สุเหร่าสีฟ้า หรือมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด, พิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย(Aya Sofya/Hagia Sophia) ซึ่งเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ก่อนจะโดนเปลี่ยนมาเป็นสุเหร่า, พระราชวังทปคึปึ, อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน ฯลฯ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้นก่อน และไม่ลืมที่จะไปสำรวจและไปซื้อตั๋วรถเลยที่ท่ารถบัสระหว่างเมืองที่จะต้องเดินทางไปชานักกาเล่ในวันพรุ่งนี้ตอนตี 5 ไม่ไปมีหวังฉุกละหุกแน่ๆ แล้วมาดูกันครับว่าจะสำเร็จอะไรบ้าง


ทริปนี้ทุกโรงแรมจะมีอาหารเช้ารวมอยู่ด้วย ทริปอื่นๆไม่ซะส่วนใหญ่ 8 โมงเช้ากว่าๆ ก็ขึ้นไปชั้นดาดฟ้าของโรงแรมเพื่อไปทานอาหารเช้าตามที่เขาจัดไว้ อาหารก็เป็นในแนวยุโรปครับ ขนมปัง แยมรสต่างๆ ไข่ต้ม จะบอกว่าไข่ต้มนี่มีทุกที่เลย แต่ไม่ยักจะมีไข่ดาวแฮะ สงสัยคงทำลำบาก แล้วก็ไส้กรอกแผ่น เนื้อสัตว์มีแค่นี้มั้งครับ มะเขือเทศก็เสริฟกันทุกโรงแรมเช่นกัน ผมไม่ได้ถ่ายอาหารมาครับ เพราะเกรงใจคนที่นั่งข้างๆเขา เดี๋ยวจะหาว่าเราบ้า 555 เลยได้มาแค่นี้กาแฟสด และน้ำเปล่าก่อนที่จะไปตักอาหารมาวาง สังเกตว่ามีขาตั้งกล้องเล็กและหมวก Nepal พร้อมสำหรับวันฟ้าหม่นๆวันนี้ครับ


ออกมาจากโรงแรมก็มาเจอกับรถราง(Tram) ตรงหน้าเลย เรียกได้ว่าทำเลโรงแรมนนี้ดีมากๆครับ เรื่องทำเลให้ 5 ดาว รถรางสายนี้ไปสิ้นสุดที่สถานี Bağcılar ซึ่งเป็นเส้นทางไปท่ารถบัส Esenler Otogarı ที่จะไปขึ้นในวันพรุ่งนี้นั่นเอง หรือจะไปสำรวจในวันนี้หล่ะครับ


จากหน้าโรงแรมหันไปทางขวามือจะเห็น สุเหร่า Firuz Aga และคนที่ยืนออกันเยอะๆก็คือสถานีรถรางสุลต่านอาห์เหม็ดนั่นเองครับ ใครจะมาพักแถวนี้ก็จำโลเคชั่นไว้


คราวนี้ข้ามอีกฝั่งนึงมาอยู่ตรงข้ามโรงแรม Star Holiday Hotel แล้ว จะเห็นว่าประตูทางเข้าโรงแรมเล็กมากๆที่เป็นกระจกและมีเหล็กดัดกลมๆอยู่ข้างใน อยู่ทางด้านซ้ายมือของ CAN RESTAURANT แต่ชั้น 2 เป็นต้นไปของ 2 คูหานี้ก็จะเป็นห้องพักของโรงแรมทั้งหมดเลยครับ


เดินมาตรงสวนสาธารณะที่อยู่ระหว่างโบสถ์เซนต์โซเฟีย และมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ด โดยมีน้ำพุใหญ่อยู่ตรงกลางสวน หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็จะเห็นมัสยิดสีฟ้า(Blue Mosque) หรือมัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ดนั่นเอง ณ ตอนที่ไปมีการบำรุงรักษาอยู่โดยจะเป็นนั่งร้านอยู่ขนาบข้างด้านซ้ายของมัสยิดเช่นกัน


หันมาในฝั่งตรงกันข้ามกัน หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย แข่งกันประชันความงามและความยิ่งใหญ่ของ 2 อาณาจักรสมัยโบราณ
สังเกตว่าท้องฟ้าจะหม่นๆ เป็นสัญญาณว่า วันนี้ฝนจะตกอีกหรือไม่?


ฝั่งกึ่งกลางนี้คืออะไร ที่ป้ายไกลๆโน่นเขียนว่า Ayasofya Hurrem Sultan Hamam1 หาทางเข้าไม่เจอแฮะ
อ้อ...ช่วงเมษายนทิวลิปกำลังบานนะครับ สวยมากๆเลย เขาปลูกไว้ตามสวนครับ


นี่ไง เดินทางตรงนี้จะเห็นป้ายชัดเจน


เดินมาที่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย ขนาด 9 โมงหน่อยๆ คนยังต่อคิวยาวขนาดนี้ งั้นเดินสำรวจต่อดีกว่า
หมายเหตุ : เนื่องจากมีชื่อเยอะมาก ทั้งโบสถ์เซนต์โซเฟีย สุเหร่าฮายาฟิอา หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมขอเรียกชื่อ ณ ปัจจุบันละกันคือ พิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย นะครับ


เดินวนมาตรงถนนนี้อีกแล้ว ถนนหน้าโรงแรมที่พัก มีชื่อว่า Divan Yolu Cd. สังเกตร้านที่อยู่หัวมุมทางด้านซ้ายมั้ยครับ ผมจะเดินไปหาอะไรกินอีก เพราะอาหารที่ที่โรงแรมมันไม่อยู่ท้องเอาซะเล้ยยย


ไปได้ฮ็อตด็อกชิ้นนี้มากับน้ำเปล่า 500 ml. รวม 6.5 TLR


แมวที่ตุรกีมีเยอะมากๆ เยอะจริงๆ อย่างตัวดำนี้ มันคอยจะมาเคลียคลอขออาหารผม จนนักท่องเที่ยวท่านอื่นก็ขำๆกันมองมาที่นี่ 555 น่าเสียดายโฟกัสไม่ชัด


เอาหล่ะ...หลังจากได้ฮ็อตด็อกมาทำให้อิ่มท้องไปบ้าง ก็เริ่มเดินทางต่อ โดยมาเริ่มที่มัสยิดสุลต่านอาห์เหม็ดก่อนดีกว่า


เข้าไปในส่วนภายใน หาทำเลถ่ายรูปเก็บมาให้หมดก่อนดีกว่า สังเกต ฟ้าหม่นๆ ฝนใกล้จะตกแว้วววว


ทางเข้า เข้าไปเล้ย ไม่เสียเงินค่าเข้าครับ


ตรงนี้เหมือนจะมีป้ายบอร์ดข้อมูลให้ได้อ่านศึกษากัน


ลานกว้างภายในสุเหร่า เห็นด้านขวามือที่คนเดินต่อแถวกันมั้ยครับ นั่นแหล่ะ แถวที่ต้องเดินเข้าไปภายในสุเหร่านั่นเอง ต่อแถวกันไป ฝนเจ้ากรรมก็ค่อยหยดแหม่ะลงมา ดีนะได้เข้าชายคาพอดี ไม่งั้นเปียกฝนแน่ๆ
รองเท้าต้องถอดออกเหลือเฉพาะถุงเท้าเดินต่อไป โดยเขาจะมีถุงพลาสติกให้ดึงมาใส่รองเท้าเรานะครับแล้วเดินถือไป


เข้ามาภายในจะสังเกตเห็นว่ากำลังปรับปรุงใหญ่เลย เหลือที่ให้เดินนิดเดียวเองครับ ภายในด้านบนสุเหร่าจะเห็นภาพวาดในโดมทรงกลมส่วนด้านขวามือจะเป็นผ้าวาดเป็นรูปโดมอีกที คลุมลงมาถึงชั้นลอยที่กำลังก่อสร้างอะไรบางอย่างคล้ายนั่งร้านไม้ ปิดภายในไว้ เลยไม่ได้ดูอะไรเลย

สุเหร่านี้สร้างในปี 2152 เสร็จปี 2159 (1 ปีก่อนสุลต่านอาห์เหม็ดสิ้นพระชนม์ด้วยอายุเพียง 27 พรรษา) มีหอเรียกสวด อยู่ 6 หอ เป็นหอคอยสูงให้ผู้นําศาสนาขึ้นไปตะโกนร้องเรียกจากยอด เพื่อให้ผู้คนเข้ามาสวดมนต์ตามเวลาในสุเหร่า ชื่อสุเหร่าสีนํ้าเงินภายในประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าจากอิซนิค ลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น เป็นต้น ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ภายในมีที่ให้สุลต่านและนางในฮาเร็มทําละหมาดและสวดมนต์โดยเฉพาะ มีหน้าต่าง 260 บาน สนามด้านหน้าและด้านนอกจะเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์และจะมีสิ่งก่อสร้างที่อํานวยความสะดวกให้กับประชาชนทั่วไป เช่น ห้องสมุด โรงพยาบาล โรงอาบนํ้า ที่พักกองคาราวาน โรงครัวสาธารณะคุลีเรีย (Kulliye)
เครดิต https://www.thoongtongtour.com



ตรงนี้เป็นเสาชั่วคราวที่ทำไว้รองรับพื้นด้านบนที่กำลังปรับปรุงเพดานอยู่ มาช่วงนี้ก็จะได้แค่นี้นะครับ ไม่ได้เห็นวิวกภายในกว้างๆแบบที่เห็นกัน


ดูกันอีกมุมนึง


ด้านหน้าตรงไปก็จะต้องออกแล้ว สั้นนิดเดียวเอง  แล้วขอโทษ ออกไปข้างนอกตอนนี้ไม่ได้ด้วยนะครับ เพราะฝนตกหนักเลย ก็เลยต้องรอแกว่วในนี้ไปก่อน


อีกรูปแบบไวด์ๆ ของเพดานสุเหร่า ที่คาดว่าดูดีสุดแล้ว เพราะมุมอื่นมันไม่มีให้ถ่ายภาพแล้วครับ ปรับปรุงหมด :(


รอฝนหยุดภายในสุเหร่าอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง และแล้วก็หยุดจริงๆ ตกแบบประปราย พอเดินออกมาได้ครับ ฟ้าหลังฝนก็จะสดใสประมาณนี้เลยครับ ออกมาก็เห็นวิวสวยๆของฮายาโซเฟีย


เดินผ่านรถเข็นขายข้าวโพดต้มและปิ้ง และเกาลัดด้วย เห็นรถเข็นแบบนี้อยู่ทั่วไปหมดนะครับ จากป้ายราคาเดาว่า 4 TL น่าจะเป็นข้าวโพดต้ม ส่วน 5 TL น่าจะเป็นข้าวโพดปิ้ง 555 ควันฉุยเลย เพราะอากาศภายนอกเย็น


อีกมุมหนึ่งที่ใกล้เข้ามา ของอายาโซเฟีย 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ท้องฟ้าเริ่มกลับมาแจ่มใสเหมือนจะปกติอีกครั้งแล้วครับ


เดินมาดูด้านหน้าทางเข้าอีกครั้ง มีรถทหารเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดหลังที่มีเหตุบอมบ์เมื่อหลายปีก่อนที่จัตุรัสแห่งนี้


เสานี้เขาเรียกว่า The Milion Stone ในยุคโรมมันใช้เป็นจุดเริ่มต้นของถนนทุกเส้นที่มุ่งไปยังคอนสแตนติโนเบิ้ล และจุดเริ่มต้นจะใช้เป็นการคำนวณระยะทางจากเมืองอื่นๆมายังเมืองนี้ ฟังก์ชั่นการใช้งานเหมือนกันกับอนุสาวรีย์ Milliarium Aureum ที่อยู่ในกรุงโรม อิตาลี่ ยังไงยังงั้น คาดว่าสร้างโดยจักรพรรดิ์คอนสแตนตินที่ 1 ระหว่างศตวรรษที่ 4


แล้วก็ไปต่อแถวเข้าอุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน Yerebatan Sarnici ค่าเข้า 60 TL หรือ 120 บาท แถวยังไม่ยาว รีบๆเข้าก่อน


จะเป็นทางเดินลงไปอุโมงค์ด้านล่าง โดยขอมาหยุดส่องที่จุดนี้ก่อนครับ


มีชุดให้ถ่ายเป็นสุลต่านซะด้วย ไม่กี่นาทีท่านก็ได้เป็นสุลต่านพร้อมฮาเร็มสมใจแล้ว อิอิ


ภายในอุโมงค์ที่เก็บกักน้ำ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นระบบประปาครั้งแรกของโลกเปล่านะครับ สุดยอดจริงๆ

สร้างในปี 532 รัชสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน สร้างขึ้นมาเพื่อทําการเก็บนํ้าที่ไหลมาจากป่าเบลเกรด โดยมีท่อนํ้าลําเลียงซึ่งเรียกว่า “Aqueduct” เพื่อกักเก็บนํ้าเอาไว้ใช้ในพระราชวัง อุโมงค์มีความจุนํ้าได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ขนาดของอุโมงค์ มีความยาว 141 เมตร กว้าง 73 เมตร มีเสาคํ้ายัน 336 ต้น แต่ละต้นสูง 9 เมตร มีด้วยกัน 12 แถว (แถวละ 28 ต้น) ความห่างของแต่ละต้น คือ 4.9 เมตร เครดิต https://www.thoongtongtour.com


เดินวน 90 องศามาทางนี้ก็จะเป็นอีกด้านหนึ่ง


เดินมาเจอกับเสาหยดนํ้าตา(The Column of Tears) ซึ่งเป็นเสาที่มีลายแกะสลักเป็นรูปหยดนํ้าตา


และเสาที่มีนักท่องเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย นั่นคือ เสาศีรษะเมดูซ่า(Medusa)

ตามความเชื่อกรีกโบราณ เมดูซ่าเป็นนางปิศาจที่อาศัยอยู่ใต้ดิน เส้นผมของเมดูซ่าเป็น “งู” ตามตํานานหากใครมองเห็นใบหน้าเธอก็จะกลายเป็นหินในทันที แม้แต่ตัวเธอเอง หากมองเห็นตัวเองก็จะกลายร่างเป็นหินเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการแก้เคล็ดจึงมักเห็นศีรษะของเมดูซ่า ตั้งกลับหัวหรือตะแคง ดังนั้นการตั้งรูปแกะสลักดังกล่าวเป็นการตั้งไว้ เพื่อให้เมดูซ่าปกป้องอุโมงค์เก็บนํ้าดังกล่าวนั้นเอง 
เครดิต https://www.thoongtongtour.com


และเสานี้อีกเสาหนึ่ง อยู่ใกล้ๆกันครับ จบจากตรงนี้ก็เดินกลับขึ้นไปหาทางออก
ปล.สังเกตว่ารูปที่ได้ 2 รูปของเสาเมดูซ่า จะสว่างมากกว่ารูปอื่นๆ ทั้งที่อยู่ในอุโมงค์ที่มีแสงน้อย มันคือปรากฎการณ์พิเศษที่เกิดขึ้น! หาเหตุผลไม่ได้จริงๆ ......... อ่า....ไม่ใช่หรอกครับ ตอนเปลี่ยนเลนส์ผมเผลอไปโดนปุ่มปรับ EV เลยมันไปปรับให้ + ตั้ง 3 หรือ 4 stop นี่แหล่ะ แสงเลยเว่อร์มากๆ  ไม่ใช่อะไรหรอก 555


แล้วก็เดินมาที่พระราชวังทปคึปึ อยากที่จะเข้าไปอีกสถานที่นึง เจอหมานอนหลับสบายๆ อากาศเย็นๆ


จากที่ต่อแถวยาวด้านหน้าทางเข้า เสร็จก็ผ่านจุดเอกซเรย์กระเป๋า แล้วเดินเข้าไปอีก เจออีกประตูทางเข้า นี่คือประตูที่ตรวจตั๋วจริงๆแล้ว ซึ่งผมเห็นแถวต่อซื้อตั๋วกันอย่างยาววววมากๆ เลยไม่ได้ต่อ กลายเป็นว่าที่นี่ก็เลยยังไม่ได้เข้าไปดู ไม่เป็นไร ไว้เข้าวันหลังก็ได้ เพราะมีอลายวันในอิสตันบูล จะขากลับจากคัปปาโดเกียก็ได้


ผมเดินออกมามาอีกทางนึง ไปบรรจบถนน Divan Yolu Cd. อีกครั้ง ผ่านร้านขนมหวานสีสรรสวยๆเยอะแยะเลย นี่เป็นต้น สงสัยกินแล้วเบาหวานถามหาเลย อิอิ แต่น่ากินจริงๆครับ


ถัดมาก็จะเจอกับร้านไอศครีมตุรกีที่เราเคยเห็นกันบ่อยๆที่คนขายชอบแกล้งเด็กที่มาซื้อไม่ให้ซะที อันนี้ก็ใช่ แต่พอดีไม่ได้ถ่ายวิดีโอมา เรียกได้ว่ามาถึงแล้วนะ ตุรกี 555


แถวเข้าอายาโซเฟียก็ยาว พระราชวังทปคึปึก็ยาว พักนั่งดื่มกาแฟดีกว่า เอสเปรสโซ่ร้อน 1 ช็อต 9 TL พอได้สติมาได้หน่อย แล้วค่อยเดินต่อ


แล้วก็เดินผ่านด้านหน้าทางเข้าอายาโซเฟีย แถวยาวก็ยังไม่เข้าแต่ซื้อขนมปังนี่ราดนูเทล่าก่อน สนนราคา 5 TL ก็พออิ่มท้องไปครับ เจอคนตุรกีถามว่าซื้อแบบไหนมา with or without chocolate สงสัยอยากลองภาษาอังกฤษ ก็บอกไปว่า with chocolate วัยรุ่นก็ตอบกลับมาว่า enjoy your meal 555


กลับมาที่สวนสาธารณะอีกครั้ง คราวนี้มีนกมาเล่นน้ำด้วยแฮะ ก็ถ่ายรูปฆ่าเวลากันไป แล้วผมเห็นว่าฝนมันจะกลับมาตกอีก ก็เลยกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนละกัน ห้องพักอยู่ตรงนี้คอสุดยอดมากๆครับ บอกเลย ดีที่สุดแล้วนะครับ ถ้าเรื่องทำเล

ผมกลับไปนอนพักและชาร์จแบ็ตกล้องอีก(แบ็ตกล้อง M50 มันหมดเร็วมากๆอย่างที่ใครๆบอกไว้จริงๆ ขนาดเอามา 3 ก้อนยังไม่พออ่ะ) น่าจะ 1 ชั่วโมงได้นะครับ


พอพักผ่อนได้เล็กน้อย ก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย....พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้านี่หว่า ตี 5 ครึ่งจะต้องขึ้ยรถไปชานักกาเล่ แต่ตอนนี้ยังไม่มีตั๋วเลย แถมท่ารถ Esenler Otogarı ยังไม่เคยไปอีก เลยรีลงมาเพื่อจะเดินทางไปดูและซ์้อตั๋วรถซะเลย เริ่มด้วยขึ้นรถรางที่สถานีสุลต่านอาห์เหม็ดกันก่อน แต่อีกแล้ว ขึ้นผิดฝั่ง แต่รู้ตัวเร็ว เลยลงสถานีต่อไปแล้วข้ามไปอีกฝั่ง รอรถอีกครั้ง โดยต้องนั่งไปลงสถานี Yusufpaşa ของสาย T1 แล้วเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน(เมโทร) สาย M1A or M1B ได้หมด ที่สถานี Aksaray เพื่อไปลงที่สถานี Otogar ซึ่งโผล่ขึ้นมาจะเป็นท่ารถบัส Esenler Otogarı เลยครับ


มาชมวิวระหว่างทางกันดีกว่าครับ จากสถานี Gülhane ไปสถานี Sultanahmet


ภายในรถราง ก็จะคล้ายๆรถรางในประเทศอื่นๆ (ที่อิสตันบูล ถ้าในช่วงเวลาทำงาน/เลิกงาน นี่คนแน่นมากนะครับ บอกไว้ก่อน จากหนาวๆจะร้อนเอา) ช่วงเวลาที่นั่งไปก็สบายๆ คนไม่แน่นมากนัก


ลงรถรางที่สถานี Yusufpaşa แล้วเดินต่อครับ เห็นป้าย Metro เขียนอยู่ตรงเสามั้ยครับ นั่นแหล่ะเดินไปตามนั้นเลย พอถึงแยกซอยเล็กๆก็เลี้ยวซ้ายนะครับ


ลงอุโมงค์ลอดถนน แล้วมาโผล่ที่นี่ครับ ด้านหน้าทางเข้าสถานี Aksaray สถานีรถไฟใต้ดินเลย


ผ่านเกตทางเข้ามาแล้วก็ลงบันไดเลื่อนครับ ที่ว่ามาคือใช้บัตร IstanbulKart ทั้งสิ้นเลย สะดวกมากๆ


อ่า เจอแล้ว คราวนี้นั่งไปแพลทฟอร์มไหนก็ดูป้ายหน่อยละกันครับ ให้ดูป้ายที่บอกว่า ไป Atatürk Havalimanı หรือสนามบินอาตาร์เติร์ก สนามบินที่เก่าไปแล้วสำหรับอิสตันบูลครับ(ถ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงสนามบินในวันที่ 6 เมย.ผมคงได้ลงสนามบินนี้ครับ)


ประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานี Otogar ออกจากสถานีแล้วขึ้นมาโผล่ เจอวิววนี้เลยครับ ท่ารถบัสระหว่างเมือง Esenler Otogarı ขอบอกว่า มันกว้างใหญ่จริงๆ ใหญ่มากๆ เดินหาท่ารถ Truva จนเมื่อยขาเลย


นี่ครับ มาแอบอยู่อีกฝั่งนึง TRUVA แล้วเข้าไปจองกับพนักงานเลย ได้ตั๋วไปชานักกาเล่มาในราคา 55 TL เท่ากับราคาในเว็บเลยครับ เลือกออก 5.30 น. เพราะอยากไปถึงเร็วๆ เนื่องจากต้องไปเมืองทรอยด้วย เลยต้องไปให้ถึงเร็วเข้าไว้ พอได้ตั๋วก็กลับเส้นทางเดิมครับ รถไฟใต้ดินแล้วต่อด้วยรถรางอีกครั้ง ก็ถึงย่ายสุลต่านอาห์เหม็ด แล้วมาชมในตอนต่อไปครับว่าจะได้เข้าไปชมที่ไหนอีกหรือไม่สำหรับวันนี้


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น