วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 6.3 ไปวิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ แล้วต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเอฟีซุส(Ephesus Archaeological Museum) เป็นที่สุดท้ายก่อนจะอำลาเซลฉุก


หลังจากเสร็จสิ้นจากเดินสำรวจ The Church of Mary ก็เดินออกทางประตูฝั่งเหนือ(ประตูเดิมขาเข้ามาเอฟีซุส) ไปรอรถมินิบัสหรือรถตู้ที่ป้ายเดิมตอนลงรถ แล้วนั่งกลับไปที่ท่ารถเซลฉุก แต่อย่างที่บอก ผมจะลงก่อนที่จะถึงท่ารถโดยลงรถที่วิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) ตามข้อมูลที่หามาว่าอยู่ไม่ไกลและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน แล้วมารู้ทีหลังว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ หลายทัวร์ไม่ได้พามาที่นี่ หลังจากนั้นก็เดินไปพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเอฟีซุส(Ephesus Archaeological Museum) หรือ Efes Arkeoloji Müzesi ในภาษาตุรกี สิ่งสำคัญหลายๆอย่างที่ขุดค้นพบจะนำมาเก็บไว้ที่นี่ เช่น ศีรษะของหุ่นแกะสลักจักรพรรดิต่างๆ จะนำมาวางไว้ที่นี่ จึงจะใช้เวลาที่นี่อย่างเต็มอิ่ม และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ลงภาพที่ถ่ายมาในพิพิธภัณฑ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะที่นี่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ ฉะนั้น ตอนนี้รูปจะเยอะอีกเช่นกัน


เดินออกจากประตูฝั่งเหนือก็มารอรถตู้ที่ป้ายนี้ครับ มีม้านั่งใต้ต้นไม้ให้หลบแดดด้วย มาทุก 20 นาที แล้วก็มีเจ้าหน้าที่คอยบอกด้วยครับ ดีจริงๆ



เส้นทางรถตู้จากหน้าเอฟีซุสไปฝั่งตรงข้ามทางเข้าวิหารอาร์ทีมิส


ตอนขึ้นรถผมบอกกับคนขับจะลงที่ Artemis แกก็รับปากนะ และดูเหมือนว่าคนที่นั่งมาด้วยที่เป็นคนตุรกีก็คงได้ยินมั้งครับ เพราะเมื่อใกล้จะถึงป้ายทางเข้า Temple of Artemis ก็มีคนตุรกีพูดว่า Artemis กลัวคนขับจะลืมจอด โอ้ว...ขอบคุณมาก คือพอได้ยินเสียงคนพูด ผมรีบยกมือเลยว่าผมนี่แหล่ะจะลง กลัวจะไม่จอด ปรากฎว่ามีคนลงคนเดียวนั่นคือ ผมนั่นเอง ฮ่าๆๆ บอกแล้วคนไม่ค่อยมาที่นี่ อาจเพราะว่าไม่เคยได้ยินก็เป็นได้มั้ยครับ ลงจากรถแล้วก็ข้ามฝั่งมาฝั่งนี้ครับ คือคนเดิมที่พูด Artemis ก็เป็นคนที่บอกผมอีกแหล่ะว่าให้ข้ามฝั่งไปตอนที่ผมกำลังลงรถ เยี่ยมจริงๆ ขอบคุณอีกครั้ง


เดินเข้ามาไม่ไกล เจอคนเจ้าถิ่นเข้ามาคุย ผมเห็นว่าคุยดีเลยคุยด้วย แกบอกกับผมว่านี่คือ Tomb หรือหลุมศพนั่นเอง ผมก็งงๆมองหา และถามว่าอยู่ไหน แกก็ชี้มาที่นี่ ก็ยืนอยู่ข้างๆนั่นแหล่ะ ไอ้เราก็คิดว่าอาคารอะไรสักอย่างไม่สำคัญ มีความขนาด 6.5x6.5 เมตร^2 สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14-15 ก่อนคริสตกาล ผมแนบรูปภายในหลุมศพจากป้ายมาให้ดูด้วย เพราะเราไม่สามารถเข้าไปถ่ายได้อยู่แล้ว ข้อมูลบอกว่าไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นหลุมของใคร


พอหลังจากนั้น คุณลุงคนนี้ก็เริ่มงานขายครับ แต่เขาไม่ฮาร์ดเซลล์นะ เขาเอาหนังสือมาให้ผมดู เป็นหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สถานที่โบราณอย่างเอฟิซุส และวิหารอาร์ทีมิส ภาพสวยๆ มีหลายเลเยอร์แบบพลาสติดใส ให้เปรียบเทียบว่าในอดีตเป็นไง แล้วพอพลิกพลาสติกใสออกก็จะเป็นภาพตอนปัจจุบัน อะไรแบบนี้ครับ คือใครชอบประวัติศาสตร์คงต้องซื้อแต่ผมบอกกับลุงแกว่า ผมไปมาแล้ว ไปให้เห็นกับตามาแล้ว คงไม่ซื้อหล่ะครับ แกก็ไม่ว่าอะไรนะครับ เข้าใจ ไม่ได้หน้างออะไร ก็โอเคครับ แล้วก็ขอตัวมาถ่ายตรงนี้ จุดที่มีป้ายแสดงข้อมูลต่างๆของวิหารอาร์ทีมิส ไม่ค่อยมีคนนะครับ มีแต่คนขับแท็กซี่และคนขายของที่ระลึกอีก 2-3 คน และดูเหมือนมีนักท่องเที่ยว 2 คนแค่นั้น คือไม่มีใครมาจริงๆแฮะ


เดินลงมาเก็บภาพตรงมุมนี้ วิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ มันเหลือแค่นี้จริงๆครับ เสาสูงๆ ด้านหลังและเสาสั้นๆตรงหน้านี้ที่หลงเหลืออยู่ 


ในมุมนี้เราจะเห็นช่วงของประวัติศาสตร์สำคัญๆ 3 ช่วงด้วยกันคือ
1.ด้านหน้าสุด Temple of Artemis ที่เหลืออยู่ 2 เสา
2.ตรงกลาง Isa Bey Mosque สร้างโดยสุลต่านราชวงค์ Seljuq
3.ด้านหลังสุด The Byzantine Castle ปราสาทไบเซนไทน์


วิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิหารไดแอน่า วิหารยุคกรีกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าอาร์ทีมิสเทพเจ้าแห่งการล่าสัตว์ตามความเชื่อกรีก หรือเทพเจ้าไดแอน่าเทพเจ้าตามความเชื่อโรมัน


ด้านซ้ายจะมีบ่อน้ำอยู่ มีสัตว์หลายชนิดอาศัยบ่อแหล่งนี้ดำรงชีวิต


หามุมถ่ายรูปเพลินๆครับ ไปเจอเจ้ากิ้งก่าตัวนี้เข้าให้ ค่อยๆซูมเข้าไปครับ ได้มาแค่นี้ อิอิ


มีเป็ดคู่กันกำลังหาอะไรกินบนพื้นหญ้า และเต่ากำลังเดินไปหาบ่อน้ำดังกล่าว หลังจากนั้นก็ได้เวลากลับแล้วครับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณก็มีเท่านี้จริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ไกลยังไงมาเอฟีซุสแล้วก็ต้องมาที่นี่หล่ะครับ กลายเป็นว่า ทริปนี้ได้มาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ถึง 2 ที่ 2 ยุคด้วยกัน คือที่นี่ วิหารอาร์ทีมิส ในยุคโบราณ และ อายาโซเฟีย ในยุคกลาง ... สุดยอดดดด


ออกจากทางเข้าก็ข้ามฝั่งกลับมาฝั่งเดิม เพราะฝั่งนี้มีฟุตปาท เดินสบายๆกลับตัวเมืองเซลฉุก ไม่ไกลกันมากนัก


เดินมาเรื่อยๆแอบเห็นครอบครัวนึงกำลังหว่านพืชอะไรสักอย่าง หลังจากไถหน้าดินแล้ว ดูได้จากมีรถไถจอดอยู่ เด็ก 2 คนก็มาช่วย น่ารักดีครับ


แล้วก็เดินมาถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเอฟีซุส(Ephesus Museum)


มาเจอแท่นอนุสรณ์อันนี้แปลกดี เลยค้า Google พบว่าชายคนนี้คือ Uğur Mumcu เป็นนักหนังสือพิมพ์แนวสืบสวนชาวตุรกี โดยจบชีวิตลงด้วยการลอบสังหาร คงทำไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความอสระในการพูด การทำข่าวมั้งครับ


ก่อนจะเข้าข้างในพิพิธภัณฑ์ก็เจอโลงหินตั้งเป็นสัญลักษณ์แบบนี้ด้านข้างอาคาร


ทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ได้เวลาเข้าไปชมประวัติศาสตร์กันแล้วหล่ะครับ เสียค่าเข้า 15 TL ไม่แพงๆ ฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์ก่อนเข้านะครับ และที่สำคัญถ่ายรูปภายในพิพิธภัณฑ์ได้จร้าาาา
ปล.ขาออกมามีเรื่องเล่าขำๆเวลามารับกระเป๋าที่ฝากไว้


เดินเข้ามาภายในห้องแสดงประวัติศาสตร์แล้วครับ ต่อแต่นี้จะเจอกับรูปแบบเยอะๆเลยนะครับ อาจไม่มีคำบรรยายเพราะไม่รู้นั่นเอง แค่ได้ดูรูปก็น่าจะคุ้มแล้ว กลับมาที่หุ่นแกะสลักครับ ส่วนใหญ่จะไม่มีศีรษะนะครับ เพราะจะหายหรือชำรุดเวลาขุดสำรวจ ไม่ก็ขาดจากตัวออกไปเพราะมันเป็นข้อต่อที่เสียหายได้ง่ายสุดแล้ว


เมื่อกี๊ฝั่งซ้าย มาด้านนี้ฝั่งขวา เป็นศีรษะล้วนๆเลย ไม่ได้ไล่ดูรายละเอียดว่าเป็นใครบ้าง ไม่งั้นยาวววว


แต่มาเจอศีรษะคนนี้ครับ Zeus Basi หรือซีอุส เทพเจ้ากรีกด้านความยุติธรรม เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งเทพทั้งปวงบนเขาโอลิมปัส สมัยก่อนนี่ทรงผมหยักศกสวยงามนะครับ ทั้งผม หนวดและเคราเลย เท่จริงๆ


ตรงนี้ก็มีครับ แต่จะไม่สมบูรณ์แล้ว ขาดศีรษะบ้าง ขาดขาบ้าง หรือขาดทั้งศีรษะและขา


เฮ้ย....ขาใครเอ่ย...เหลืออยู่ข้างเดียว น่ากลัวมากกก


ตรงจุดนี้จะดูสมบูร์กว่ามาก


มาถึงอีกห้อง เป็นศีรษะและลำตัวซะเป็นส่วนใหญ่


ใครเอ่ย? Marcus Aurelius เป็นนักปราชญ์ จักรพรรดิแห่งโรมันช่วงปี 161-180


และนี่ อาร์ทีมิส นักล่า(Artemis the huntress) เทพแห่งการล่าสัตว์ ป่าไม้ ภูเขา ดวงจันทร์ และการยิงธนู อะไรจะเยอะปานนั้น!


เดินถัดมาจะเจอกับงาแกะสลักในช่วงศตวรรษที่ 2 สวยงามมาก บอกว่าเจอในเลเยอร์ที่โดนเผา ของ House 2 อันนี้ไม่ทราบว่าคืออะไร


เดินชมรอบๆ เป็นศีรษะรุ่นแกะสลักเช่นกัน


เครื่องมือเครื่องไม้ ตาช่งตาชั่งสมัยก่อน ส่วนใหญ่จะทำด้วยสำริดครับ รองลงมาก็เป็น เงิน แก้ว กระดูก


มาตรงนี้บ้าง เครื่องประดับของสาวๆ มีต่างหู กำไล กระจก ถาด ฯลฯ


ส่วนนี่เป็นงานแกะสลักที่ทำด้วยงาช้าง กระดูก ฯลฯ และมีชิ้นนึงทะลึ่งมากๆ มาดูภาพล่าง


ตัวนี้เจี๊ยวยาวเชียว ฮ่าๆๆ


เหรียญต่างๆ


ภาพนี้สำคัญ เป็น Time Line ของเอฟีซุสในยุคต่างๆ ไล่มาจนถึงยุคล่าสุด 1923


ภาชนะต่างๆในช่วงปี 6,000 -2,600 ก่อนคริสตกาล


ไม้กางเขน กำไล ต่างหู และอื่นๆ


ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา หรือคนโท ในรูปวาดด้านบน กำลังต่อแถวไปตักน้ำที่บ่อดินพอดีเลย


ภาชนะและสิ่งของอีกเช่นกัน


แถบนี้คือภาชนะที่เป็นแก้ว กรรมวิธีคือต้องเป่าลมเข้าไปแล้วหมุนวนๆ อย่างที่เราๆเคยเห็นในรายการโทรทัศน์ ซึ่งประวัติคือมีตั้งแต่ยุคกรีก ยุคโรมันกันแล้ว น่าทึ่งมากๆ!


แล้วก็เดินออกมาด้านนอกห้องแอร์ เป็นชาน ตรงนี้ไว้เรียงหลักศิลาต่างๆที่มีการจารึกเป็นภาษากรีดไว้


แท่นเสา


งานแกะสลักหินอ่อน ช่วงยุคโรมัน


โลงหินอ่อนหรือเปล่านะครับ อันใหญ่มาก ฝาโลงเหมือนจะสลักคล้ายๆผู้ชายมายืนอำลาหญิงสาวอันเป็นที่รัก


 งานแกะสลักหินอ่อนเป็นรูปตัวคน ทั้งหญิง ชาย และเด็ก


แล้วก็เดินเข้ามาข้างในตรงห้องนี้ นี่เลย น่าจะเป็นโมเดลจำลองของวิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ เปรียบเทียบกับของจริงที่เหลืออยู่ มันคนละเรื่องเลย
ปล. ช่วงนี้แบ็ตฯกล้อง(LP-E12) ก้อนที่ 3 ก็กำลังจะหมด เปิด/ปิด ๆ เพื่อให้กลับมาได้



 The Artemis of Ephesus อนุสาวรีย์อาร์ทีมิส เทพีแห่งการล่า บุตรของเซอุส


The Artemis of Ephesus อีกเช่นกัน ไม่แน่ใจว่าทำไมมี 2 อนุสาวรีย์ ทั้ง 2 ต่างกันตรงไหน? แต่จะสังเกตว่ามีนมเยอะมากๆ หมายถึงการเจริญพันธุ์


ช่วงนี้แบ็ตฯกล้องจวนเจียนเอามากๆ แต่ก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ใกล้ทางออกแล้วครับ


เดินไป เป็นห้องสุดท้ายแล้วครับ หลังจากนั้นก็จะเลี้ยวขวาออกแล้ว


ส่วนนี่เป็นศีรษะของจักรพรรดิ Trajan ช่วงปี ค.ศ. 98-117


จบด้วยหุ่นแกะสลัก 2 คนนี้ คือใครก็ไม่ทราบ เพราะชื่ออ่านไม่ออก 

แล้วก็เดินออกไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ ผมจำตู้ล็อกเกอร์ไม่ได้ครับ ไปกดรหัสตู้อื่นหลายครั้ง จนมันมีเสียงดังเหมือนตั้งสัญญาณว่าขโมยๆ 555 ตกใจเลย เสียงก็ไม่หยุดนะครับ ต้องรีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วให้ช่วยหน่อย แล้วก็มีเจ้าหน้าที่รปภ. เดินมาช่วย โดยเขามีลูกกุญแจที่สามารถไขได้ทุกตู้เลย ก็ยังหาล็อกเกอร์ที่ตัวเองฝากไม่เจออีก ไขถึง 3 ล็อกเกอร์ถึงจะเจอ 555 ตลกมากๆ ทีหลังจะต้องถ่ายรูปล็อกเกอร์เอาไว้ เพราะมันเป็นล็อกเกอร์ที่ไม่มีลูกุญแจไงครับ แค่ตั้งรหัสแล้วก็ล็อค คราวนี้กลับมาดันจำล็อกที่เราฝากไว้ไม่ได้ ไปกดรหัสล็อกเกอร์อื่นมันก็เลยดังเพราะคิดว่าคนจะมาขโมย รหัสผิดมากกว่า 2 ครั้ง

ก็เป็นอันจบตอนนี้ที่ได้ไปดู 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ นั่นคือ วิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) แม้จะไม่เหลืออะไรแล้วก็ยังดี ได้ระลึกช่วงเวลานั้นได้ พร้อมกับตามมาเก็บสิ่งของสำคัญๆต่างๆในพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดีเอฟิซุส(Ephesus Museum) ซึ่งสมบูรณ์แบบมากๆกับการมาเยือนดินแดนประวัติศาสตร์ของกรีก และโรมันในเมืองเซลฉุกแห่งนี้ได้ครบถ้วนเลยครับ หลังจากนี้ก็มีเพียงออกไปหาอะไรทานมื้อบ่าย กลับไปรับกระเป๋าใหญ่ที่โรงแรมแล้วนั่งรถตู้ไปคูซาดาซิ หาดเลื่องชื่อของตุรกี พักที่นั่นคืนนี้ต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น