วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 9 เซอร์ไพรส์หิมะตกต้อนรับที่โกเรเม่(คัปปาโดเกีย) ทำให้แผนเที่ยวพัง ไปได้เพียงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งโกเรเม่และจุดชมวิวเท่านั้น


เมื่อคืนทั้งคืนนอนไม่หลับ จะให้หลับได้อย่างไร นั่งบนเบาะรถบัส แม้จะเอนเบาะแล้วก็ไม่หลับหรอกครับ เสียงดังทั้งผู้ใหญ่และเด็ก อ้อ...ระหว่างทางมีด่านที่ตำรวจขึ้นมาตรวจในรถด้วยนะครับ ขอบัตรน่าจะเป็นบัตรประชาชนของคนตุรกีไป ส่วนคนต่างชาติเขาไม่ได้ขออะไรไป แปลกดี พอเอาไปเสร็จแล้วก็คืนกับพนักงานแล้วไล่แจกคืนกับคนอื่นๆงงน่าดู ของใครเป็นของใคร เอาหล่ะ ที่บอกว่าเซอร์ไพรส์ก็คือพอรถย่างเข้าเขตโกเรเม่ ก็เจอกับหิมะตกเฉยเลยครับ วันนี้ทั้งวันเลยทุลักทุเลน่าดู ตั้งแต่ลงรถกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่า แผนที่วางไว้เสียแผนเกือบหมดเลยครับ เพราะหิมะแท้ๆ แล้วจะเป็นยังไงก็ต้องอ่านรายละเอียดด้านล่างกันต่อครับ 


ผมหลับบ้างไม่หลับบ้างตามประสานอนบนรถบัสที่มันเคลื่อนที่ไปมา แต่พอแสงยามเช้าจากด้านนอกรถสาดส่องเข้ามา ตอนช่วงเวลา 5.54 น. ผู้โดยสารหลายคนก็ฮือฮากันใหญ่ ยกกล้องออกมาถ่ายรูป รวมทั้งผมด้วย เพราะอะไรหน่ะเหรอ ก็นั่นไง สีขาวๆบนถนนและที่กำลังโปรยปรายลงมา มันคือหิมะตกนั่นเอง! ความรู้สึกตอนนั้นคือ ไม่ได้ดีใจเล้ยยย เพราะไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอหิมะแบบนี้ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เตรียมกับสภาพอากาศแบบนี้เลย แล้วพอนึกว่าหิมะตกแบบนี้จะออกไปเดินเที่ยวตามสถานที่ต่างๆได้อย่างไร? นึกแล้วก็งง มันเกิดอะไรขึ้น ดูพยากรณ์มาก็ไม่ได้หนาวขนาดที่มีหิมะตกนี่หน่า เป็นเซอร์ไพรส์ที่ไม่ได้อยากเจอจริงๆพับผ่าสิ!


ในที่สุด เวลา 6.26 น. รถก็มาจอด ณ จุดจอดตรงหน้านี้  นั่นคือโกเรเม่ หรือรู้จักกันในชื่อว่า คัปปาโดเกีย(Cappadocia) ถึงเร็วมากๆ หลายคนลงจากรถซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศนั่นเอง ส่วนคนท้องถิ่นเองนั้นหลายคนก็นั่งต่อไป เพราะโกเรเม่ไม่ใช่ปลายทางของรถสายนี้ ยังมีต่อไปได้อีก


ลงมาจากรถ ภาพที่เห็นก็เป็นสภาพนี้เลย มีหิมะปกคลุมไปทั่วทั้งรถที่จอด ต้นไม้ และภูเขาที่อยู่ด้านบน หลายคนลงมาก็ต่างดูแผนที่บนมือถือว่าที่พักอยู่ตรงไหนกัน ผมเองก็ด้วย บอกไว้เลยครับว่า เน็ตในต่างประเทศและแบ็ตมือถือที่มีพร้อมเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ผมเองลากกระเป๋ามาตั้งหลักใต้ชายคาฝั่งตรงข้ามที่จอดรถก่อน เพื่อจะได้ดูแผนที่ตั้งโรงแรมที่จะเข้าไปเช็คอินได้อย่างสบายๆ และมีนักท่องเที่ยวหญิงอีกคนผิวดำมายืนรอใกล้ผมด้วย เลยทักทายไปว่ามาจากไหน และพักที่ไหน เพราะถ้าที่เดียวกันก็จะได้เดินไปคุยไป ปรากฎว่าเขาเป็นคนบราซิล มาเที่ยวช่วงพักร้อน 20 วันมั้ง มาแบบไม่ได้จองที่พักไว้ก่อนล่วงหน้า ก็บอกไปว่าผมพักที่นี่ สนใจก็ตามมาได้นะ บอกราคาไป แกก็ขอบคุณ และคงจะยืนรอตรงนี้ก่อน คุยได้สักพักผมก็เลยขอตัวเดินไปโรงแรมที่พักครับ ก็เดินไปตรงด้านหน้าตามรูปด้านบนนี่หล่ะครับ


จะมองไปตรงไหนก็ขาวโพลนไปหมด มาหยุดเก็บภาพ ณ จุดนี้ วิวธงชาติตุรกีสีแดงด้านบนมันเด่นมาก อดใจไม่ได้ที่จะต้องหยุดยืนเก็บภาพไว้


เดินไปดู Google Map ไป โชคดีมากๆที่โรงแรมตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้ายรถบัสที่มาจอด แค่ 750 เมตร 7 นาทีในการเดินเอง ก็เลี้ยวมั่วๆมา ขึ้นเนินนิดหน่อย ก็มาเจอจนได้ ด้านหน้านี่เองครับ Cave Seasons Deluxe Hotel


มาถึงประมาณ 6.42 น. ซึ่งมันเช้ามากๆ ก็เข้าใจอยู่ว่าอาจจะไม่มีคนสแตนบายเช็คอินหรือเปล่า พอเข้าไปเคาะประตูห้อง reception ก็มีคนงัวเงียออกมาเปิด และเข้าไปข้างในก็มีคนนอนอีก 2 คนคงเป็นพนักงานที่นี่ แต่น่าเสียดายที่ห้องไม่ว่าง ยังเข้าห้องไม่ได้ ก็เข้าใจนะครับ เฮ้อ....อากาศแบบนี้เซ็งเลย เขาก็พาไปนั่งรอที่ห้องอาหารของโรงแรม ไม่มีล็อบบี้ นั่งรอจากไม่มีคนนั่งจนมีคนนั่งเต็มอย่างที่เห็นในภาพนี้เลย พนักงานบอก ทานอาหารเช้าได้เลย ฮ่าๆ ตอนเวลา 8.47 น. นั่งแบบทำอะไรไม่ได้ 2 ชั่วโมงเต็มๆ แล้วก็ทานอาหารเช้าไปครับ คือ เซอร์ไพรส์หิมะตกมันกลายเป็นหายนะไปแล้ว และทัวร์ที่เรียกว่า Green Tour ที่ออกไปเมืองใต้ดินที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่อยากไปแล้ว ทัวร์ออกเวลา 9.00 น. ตอนนี้จะไปไหนก็ไม่ได้เลย เพราะหิมะยังตกอยู่ จะพักผ่อนนอนก็ไม่ได้เพราะห้องเข้าเข้าไม่ได้ คือซวยจริงๆ บอกเลยช่วงนี้


ก็นั่งรอต่อไปในห้องอาหาร สลดใจมากๆวันนี้ นี่แหล่ะผลของหิมะตกที่ไม่ได้คาดหวังไว้ สุดท้าย ผมลองตัดสินใจเดินไปข้างนอกดู เพราะเวลา 10 โมงเช้าแล้ว จะนั่งรอต่อไปก็ไม่ไหว เผื่ออะไรจะดีขึ้น ปรากฎว่า ออกไปตอนนี้หิมะกลายเป็นน้ำไปแล้ว ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอีก คงเพราะอุณหภูมิสูงขึ้น เลยไม่ไเป็นเกล็ดหิมะ ลงมาเป็นน้ำเลย คราวนี้ทำไงต่อ ก็ต้องถอยสิครับ กลับไปที่โรงแรมดังเดิม ไปนั่งรอที่ห้องอาหารอีกครั้ง 555 เซ็ง


จนอีก 2 ชั่วโมง คือ 12.55 น. ถึงจะได้กุญแจ เข้าไปในห้องพักได้ซะที นับจากเวลา 6.42 น.ที่มาถึงที่นี่ จนตอนนี้ 12.55 น. รวม 6 ชั่วโมงไม่ได้ทำอะไร รออย่างเดียว ถ้านับเมื่อวานที่รอที่สระน้ำ และมารอที่ท่ารถเดนิซลี่อีก ก็ถือว่ารอเกือบ 24 ชม. 1 วันโดยสูยเปล่าจริงๆ เฮ้อ....


เข้ามาในห้อง ห้องเก่าๆ เป็นห้องแบบครอบครัว ใหญ่มากๆ บอกเลยไม่ชอบครับ ย้อนคิดว่า ทำไมถึงได้ห้องครอบครัวแบบนี้นะ สงสัยตอนนั้นห้องแบบอื่นเต็มหมดมั้ง เลยเหลือห้องนี้ ราคาก็สวยมาก เลือกมาได้ไงวะเนี่ย เซ็งตัวเองอีก


อีกมุมของห้อง ใหญ่เกิน ในรูปอาจจะดูดี แต่จริงๆแล้วเก่าครับ บางจุดมีราขึ้นด้วยนะ ผมเองพักที่ไหนไม่ค่อยจะติห้องเท่าไหร่ ครั้งนี้ต้องติ


ในห้องน้ำ ในวันที่ 2 มีช่สงมาซ่อมห้องน้ำด้วย เพราะน้ำไหลตลอดในชักโครก ไม่หยุด


รอในห้องพักให้หิมะ หรือฝนมันหายตก พอเกือบๆบ่าย 2 ก็คล้ายๆจะหยุดตก ก็เลยเดินออกมาสำรวจข้างนอกซะที จำวิวตรงนี้ได้มั้ยครับ วิวที่มาถึงครั้งแรกขาวโพลนเต็มไปหมด เห็นแต่ธงแดงๆเท่านั้น ณ ตอนนี้หิมะละลายไปหมดแล้ว


ร้าน Galerie Ikman ร้านนี้พรมเยอะมาก ผืนใหญ่ๆทั้งนั้นเลย


แล้วก็เดินขึ้นไปตามทางเดินดู แล้ววกมาทางนี้ ที่เห็นเป็นโรงแรมโรงแรมนึง ใหญ่พอดูเลย ราคาน่าจะแพงเอาเรื่อง มาที่นี่ไม่พักแบบโรงแรมถ้ำเห็นจะไม่ได้นะครับ


แล้วก็เดินลงมาตรงซอยเล็กๆตรงนี้ เป็นซอยใกล้ๆโรงแรมที่ผมพักอยู่ กะว่าจะเดินเลี้ยวขวาไป Goreme Open Air Museum คงไม่ไกลไปนัก


พอออกถนนใหญ่ก็เดินเลียบฝั่งขวาไปตามทางเดินฟุตพาธเรื่อยๆ


วิวลงเนินนี้ดูสวยทีเดียว มองเห็นหิมะปกคลุมบนภูเขา


ข้ามถนนจะไปดูเครื่องปั้นดินเผา ครวนี้ทั้งหิมะและฝนตกลงมากราวววว (จะสังเกตว่ามีเกล็ดหิมะตกลงมา) ซวยแล้วสิ จะไปหลบที่ไหนดีนะ


เลยวิ่งกลับมาอีกฝั่งของถนน เห็นร้านนี้มีชายคา เลยขอเข้าไปหลบฝนก่อน แต่คนขายคิดว่าเรามาดูสินค้า เลยรินชาแอปเปิ้ลร้อนให้ด้วย


นี่ครับ ชาแอปเปิ้ลร้อน เดินไปด้วยจิบไปด้วย จนฝนซาก็ต้องลาไปก่อน บอกแค่ว่ามาหลบฝนไม่ได้กะมาซื้อ แกเล่นไปตามคนงานที่วาดรูปบนจานมาวาดให้ดูด้วย เกรงใจก็เกรงใจนะ


แล้วก็เดินต่อไปที่นี่ครับ ทางเข้าพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งโกเรเม่(Goreme Open Air Museum) ค่าเข้า 45 TL


ถ้าเข้าไปดูตามในถ้ำต่างๆที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะมีภาพเขียนสีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ตามในป้ายนี้เลย เอามาให้ดูเพราะว่าภายในถ้ำจริงๆเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปทุกถ้ำเลย ก็เลยต้องดูภาพจากป้ายนี้ ไม่น่าเชื่อว่าภายในถ้ำมีภาพวาดสีสวยงามสภาพสมบูรณ์หลายภาพเลยครับ


เจอหมาตัวนี้ สงสารมันคงหนาวน่าดู นอนขดเลย แล้วดูสิครับ ตุรกีเขาทำโค้ดที่หูไว้ทุกตัว ไม่มีหมาจรนะครับ ตรวจสอบได้หมด หมาและแมวที่นี่ก็เชื่องแสนเชื่อง


มาดูกันต่อครับ เอาถ้ำมาเป็นบ้าน ข้างในจะอุ่น สบายๆ


วิวนี้แปลกตาดี เป็นผนังถ้ำ เหมือนจะฉาบด้วยหินสี่เหลี่ยมด้านบน ไม่แน่ใจว่ามาทำทีหลังหรือทำในสมัยนั้นก็ไม่รู้


เตรียมตัวที่จะเดินขึ้นไปดูในถ้ำที่อยู่ตรงหน้านี้ครับ อย่างที่บอก ภายในไม่สามารถถ่ายมาได้ก็ดูแค่นี้


วิวเมื่อสักครู่ในระยะไกล จากด้านบนครับ นักท่องเที่ยวก็พี่จีนเป็นส่วนใหญ่ ณ แต่นี้ไป ไปเที่ยวที่ไหนก็คงจะเจอคนจีนเยอะขึ้นเรื่อยๆนะครับ


อันนี้แปลกตาดี


นี่ครับ ภาพเขียนสีบนผนังถ้ำที่สามารถถ่ายมาได้เพราะอยู่ด้านนอกนั่นเอง ด้านในห้ามถ่ายโดยเด็ดขาด แล้วที่เห็นคนกำลังไต่บันไดลงมาก็ด้านในมีภาพเขียนสีเช่นกัน


ขากลับเดินมาเข้าที่นี่อีกจุด ใช้บัตรเดียวกันกับที่เข้าพิพิธภัณฑ์ฯเมื่อกี้ พูดง่ายๆก็คือเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์นั่นเอง ข้างในก็จะมีภาพสีเกี่ยวกับศาสนาคริสต์เช่นเดิม


เดินผ่านร้านขายของ เปรี้ยวปากขอสั่งกาแฟตุรกีซะหน่อย เข้มๆสะใจดี 7 TL


มองผ่านรูถ้ำ อิอิ จะว่าไป ภูมิภาคนี้ก็คล้ายๆพวกเสาดินนาน้อย จ.น่าน หรือแพะเมืองผีที่แพร่นะครับ


ได้เวลาข้ามฝั่งไปดูร้านทำหม้อดินเผาซะที มีมนุษย์ต่างดาวต้อนรับเราด้วย


เข้าใจทำนะ เหมือนกับคนกำลังนั่งอยู่


นี่เลย มีนักท่องเที่ยว(ตุรกี)กำลังปั้นหม้ออยู่พอดี มีคนสอนด้วย ปั้นเสร็จแล้วระบายสี ไปอบอีกหน่อยก็เอากลับบ้านได้เลย


อีกมุมนึง เครื่องปั้นดินเผากับเกวียน


Devil Eyes เครื่องรางไว้กำจัดสิ่งชั่วร้ายให้ไม่มากล้ำกราย


ได้เวลาเดินกลับ ผ่านร้านที่ให้เช่า ATV มีเยอะเลยแถวบริเวณนี้


เดินผ่านโรงแรมมาตรงนี้ วงเวียน แล้วเลี้ยวขวาไปอีกที


มาหยุดจุดเดิมที่มีธงชาติอีกแล้ว คือผมต้องการขึ้นไปยังจุดชมวิวด้านบนพอดี ไม่รู้จะถามทางใครดี งั้นเดินมั่วๆมันละกัน


ก็เดินไปตามทางที่เป็นทางขึ้นเขาไปน่าจะถูกต้อง แล้วเดินไปแบบไม่เลี้ยวใดๆ ไม่นานก็มาถึงเส้นที่เกือบจะถึงด้านบนแล้ว เย่ๆๆ


ชมวิวภูมิทัศน์เบื้องหน้าซะหน่อย สงสัยว่าเขาที่อยู่ไกลๆ ที่มี 2 เนินมันคืออะไร แถมสังเกตดีๆเหมือนจะมีธงด้วยนะครับ


เดินมาชมวิวอีกฝั่งนึงบ้าง ทิศนี้จะไม่มีบ้านคนแล้ว จะมีเป็นถ้ำยอดแหลมๆ สูงๆ เท่านั้น


อ่า...ซูมไปใกล้ๆ ไปเจอแกะด้วยแฮะ หลายตัวทีเดียว


ภูเขาฝั่งนี้แปลกๆ เต็มไปด้วยหิมะ ด้านบนเป็นเสาไฟฟ้า


กลับมาซูมอีกฝั่งที่ขึ้นมาแล้วสงสัยว่าคืออะไร นั่นไง มีธงตุรกีจริงๆด้วย แถมเหมือนจะมีคนยืนอยู่ที่จุดบนสุดด้วยนะ (ใบ้ให้ พรุ่งนี้น่าจะมีคำตอบว่าที่ไหน)


เราขึ้นมาบนนี้ก็ต้องมาตรงนี้ ที่ที่สงสัยว่าขึ้นมาตรงไหนถึงจะเจอ จุดชมวิวครับ อากาศ ณ ตอนนี้หนาวมากๆๆๆๆ คือหนาวจนมือทั้งสองข้างชาอ่ะครับ คิดดู เพราะมีลมแรงด้วย ต้องเอามือซุกกระเป๋าตลอด


เมื่อเดินเข้าไป จะเจอกับแผ่นไม้ทำยื่นไป เขียนว่า Goreme คือจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินโกเรเม่นั่นเอง ผมเองยืนตรงนี้ไม่อยากเดินเข้าไปข้างในให้หนาแน่นหรอก เก็บภาพ ณ จุดนี้ก็พอ


มาดูวิวตรงนี้กันดีกว่า จะเห็นถนนสาย(น่าจะเป็นสายหลัก)ทอดยาวขึ้นไปด้านบน เดาว่าคงเป็นถนนที่มาจากเดนิซลี่แน่นอน เพราะมาจอดที่ลานจอดด้านล่างที่มีรถจอดเรียงกันเยอะๆ



เปลี่ยนบรรยากาศมาดูคลิปวิดีโอกันบ้างครับ (รบกวนกดติดตามช่องบน youtube ให้ด้วยครับ)


อีกวิวก่อนจะลงกลับด้านล่างแล้ว อย่างกับแกรนด์แคนย่อนเลย เหมือนมากๆ


ลงมาก็เจอท่ารถที่มาลงเมื่อตอนเช้า ตอนนี้เปิดไฟแล้ว ด้านหลังก็จุดชมวิวที่ไปชมมาเมื่อตะกี๊


ยังไม่กลับโรงแรม เดินหาร้านอาหารที่ดูแล้วราคาไม่แพง ไม่หรู ก็ไปได้ร้านนี้มา Cadde ชุดเคบับไก่ กับโค้กกระป๋อง 15 TL ก็คุ้มค่าและอร่อยครับ


ก่อนจะกลับ แวะร้านมินิมาร์ท ซื้อเบียร์ EFES ที่เคยกินตอนไปที่เซลฉุก ราคา 10 TL เองแฮะ พร้อมกับเลย์รสอะไรสักอย่าง กลับมาทานที่ห้อง แล้วก็สิ้นสุดของวัน วันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ แผนเที่ยวพังหมด เจอกันใหม่ในวันรุ่งขึ้นครับ ราตรีสวัสดิ์


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น