วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 7.1 จากคูซาดาซิ(Kuşadası) นั่งรถบัสไปเดนิซลี่(Denizli) แล้วต่อรถตู้ไปปามุกกาเล่(Pamukkale) เข้าชมปราสาทปุยฝ้าย มรดกโลก


วันนี้จะตื่นไม่เช้าเกินไปนัก แต่ก็ต้องไปให้ทันรถบัสเที่ยว 9.00 น.ที่จะออก ณ ท่ารถบัสคูซาดาซิ แต่มีเรื่องที่จะต้องให้ลุ้นอีกแล้วว่าจากโรงแรมจะไปถึงท่ารถทันหรือไม่? ต่อจากนั้นก็จะนั่งรถบัสไปลงเดนิซลี่(Denizli) เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างปามุกกาเล่(Pamukkale) เป็นสถานีปลายสุดท้าย รถบัสจะไม่เข้าไปที่ปามุกกาเล่ หลังจากนั้นก็ต้องต่อรถตู้อีก/มินิบัส อีกทีเพื่อเข้าไปยังปามุกกาเล่ เข้าที่พัก เช็คอินแล้วเดินเข้าไปด้านในปามุกกาเล่ที่แปลว่าปราสาทปุยฝ้าย และเฮียราโปลิส(Hierapolis) ตามลำดับ ตกเย็นก็ค่อยออกมาหาอะไรทาน วันนี้รูปเยอะอีกเช่นเคย จึงขอแบ่งเป็น 2 ตอนครับ


8.11 น.เดินขึ้นมาเช็คเอาท์ที่ล็อบบี้พร้อมกับมาทานอาหารเช้า อาหารเช้าที่นี่เน้นขนมปัง มันทอด และไส้กรอกไก่ ก็พอทานได้ให้หนักๆท้องก่อนเดินทางยาว


จะไม่มีเวลาอยู่แล้ว แต่ดันออกมาถ่ายรูปวิวทะเลที่ริมระเบียงอีกแหน่ะ 8.19 น.ดูแล้วก็น่าจะเหลือๆในการเดินทางไปท่ารถคูซาดาซิ ผมจำที่เมื่อวานเจ้าหน้าที่หญิงพามาระเบียงนี้และบอกกับผมว่า จะนั่งรถไปท่ารถโดยใช้รถตู้ที่แล่นผ่านถนนนี้ก็ได้ ราคาไม่ถึง 10 TL ถูกกว่าแท็กซี่ แค่ข้ามฝั่งไปรอรถแล้วใช้มือโบกให้รถจอด ก็แค่นั้น ผมก็จำที่แกชี้ไปตอนเมื่อวานที่มีรถตู้แล่นมาพอดี นั่นแหล่ะครับคือหายนะกำลังจะเกิด!

ผมหอบกระเป๋าใบใหญ่ลงไปชั้นล่างอีก 2 ชั้น เพื่อไปชั้นสระว่ายน้ำที่มีลิฟท์อยู่เหมือนเมื่อวาน แล้วก็ลงลิฟท์ไปชั้นพื้นดิน ลากกระเป๋าเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งของถนนตามที่จำมา ก็ยืนรอรถตู้ไปครับ รู้สึกจะมีผมอยู่คนเดียวก็กำลังยืนริมถนนรอรถตู้ ก็ไม่นานนะครับ สัก 5 นาทีได้รถตู้ก็แล่นมา ผมขึ้นไป รถโล่งดี มี 2-3 คนนั่งอยู่ แต่ด้วยความชะล่าใจว่ามันคือฝั่งที่จะไปท่ารถจริงๆ เลยไม่ได้ถามคนขับอะไร เงินก็ยังไม่ได้จ่ายเลย ก็นั่งไปครับ พร้อมกับดูแผนที่บนมือถือไปด้วย รถแล่นไปได้พักใหญ่ๆ มีคนลง ไม่มีคนขึ้น สุดท้ายเหลือผมผู้โดยสารคนเดียว แล้วแผนที่มันก็บอกว่ารถกำลังออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ คราวนี้เริ่มรู้สึกว่า ความซวยกำลังจะมาเยือน นั่นคือขึ้นรถผิดฝั่ง! เลยขยับไปถามคนขับรถ พร้อมกับบอกว่า Otogar ก็ถือภาษาตุรกีที่แปลว่า ท่ารถ หรือสถานีรถนั่นเอง คนขับขับต่อไปเล็กน้อยเพราะทางโค้งขึ้นเขาอยู่ สักพักก็จอด พร้อมกับบอกว่า ลงรถแล้วข้ามไปอีกฝั่ง แล้วขึ้นรถใหม่ สาย 5 หรืออะไรนี่แหล่ะ ก็เป็นอันว่าขึ้นรถผิดฝั่งจริงๆ คราวนี้ผมฟังผิดหรือเจ้าหน้าที่คนนั้นบอกผิดก็ไม่รู้แล้ว ดูนาฬิกาก็ลุ้นๆเพราะเหมือนจะเหลืออีก 20 นาทีหรือ 15 นาทีเองมั้งครับ

แต่นับว่าโชคดี(อีกแล้ว) มีรถตู้แล่นมาฝั่งที่รอ ก็ขึ้นไปคราวนี้บอกคนขับเลยว่า Otogar คนขับก็พยักหน้า นึกในใจคงจะไม่ผิดอีกแล้วนะ แต่ตอนนี้ปัญหาใหม่ที่ตามมาคือ จะไปทันเวลา 9 โมงหรือเปล่านี่สิ เพราะท่ารถไม่ใกล้แล้ว แถมพอรถเข้าไปคล้ายๆในเมืองยิ่งรถติดและมีคนทะยอยขึ้นรถมาเรื่อยๆ ผมมีกระเป๋าใบใหญ่ด้วยไง ก็เกรงใจ นั่งข้างที่นั่งที่ติดทางเดิน ไม่นั่งด้านใน ตอนนี้อารมณ์ปั่นป่วนไปหมด ลุ้นทั้ง 2 อย่างเลยคือ 1 ขอให้ไปทันท่ารถก่อน 9 โมงทีเถอะ 2 ขออย่าให้มีคนขึ้นมาอีกเลย มันจะไม่มีที่นั่งและที่วางกระเป๋าอยู่แล้ว...........สุดท้าย เหลืออีกไม่ถึง 10 นาที รถตู้ก็มาจอดที่ทางเข้าหน้าท่ารถบัสคูซาดาซิ(Kuşadası Otobüs Terminali) ไม่ได้เข้าไปด้านในนะครับ ก็ถือว่าโอเคแล้ว รีบลากกระเป๋าไปหารถคันที่ออกโดยพลัน



แผนที่เส้นทางเดินทางโดยรถตู้จากถนนหน้าโรงแรมไปท่ารถคูซาดาซิ


แล้วก็มาถึงหน้ารถบัสคันที่จะไปสถานีรถบัสเดนิซลี่(Denizli Otobüs Terminali)) จนได้ในเวลา 8.52 น. เฮ้อ...หัวใจจะวาย ฝากกระเป๋าด้านข้างรถแล้วก็ขึ้นไปหาที่นั่งเลยครับ



แผนที่เส้นทางเดินทางโดยรถบัสจากท่ารถคูซาดาซิไปท่ารถเดนิซลี่


ครั้งนี้ได้ที่นั่งแบบแถวคู่ ติดหน้าต่าง ก็โอเคได้ดูวิวกันไป ช่วงนี้ถนนขนานกับรางรถไฟด้วย ซึ่งสามารถนั่งรถไฟไปเดนิซลี่ได้เช่นกันครับ แต่เร่งๆเลยมานั่งรถบัสดีกว่า รถไฟได้นั่งมาแล้วไม่เป็นไร


ผ่านคล้ายๆโรงงานหรือคลังเก็บน้ำมันก็ไม่รู้แฮะ


เวลาผ่านไปเหมือนโกหก เวลา 12.48 น.รถบัสก็มาจอดสถานีปลายทางสถานีสุดท้ายที่ท่ารถบัสเดนิซลี่(Denizli Otobüs Terminali) 3 ชั่วโมง 48 นาที ก็ไม่ได้ไกลมากนะครับ ลงรถ(ไม่ลืม)รับกระเป๋า แล้วเดินเข้ามาด้านในเลย


นี่ครับ จากประตูทางเข้ามาก็จะเห็นป้ายทางลงบันไดเลื่อน ลงไปเลยครับ จะเป็นท่ารถของรถตู้ชั้นล่าง
---> ณ จุดนี้ ผมลืมไปเลยว่าต้องไปซื้อตั๋วรถบัสข้ามคืน(Overnight Bus) เพื่อจะเดินทางไปโกเรเม่(Göreme) ในเที่ยวพรุ่งนี้ เวลาออก 22.00 น. ลืมไปจริงๆ


ลงจากบันไดเลื่อนมาก็หันไปทางขวา จะเจอกับประตูทางออกชั้นล่าง ก็เดินออกไปเลยครับ จะเป็นลานที่มีรถตู้สายต่างๆจอดอยู่


ให้เดินหาที่ช่องจอด 76 ตามในรูปนี้ ไม่หลงแน่  ดูซะก่อน รถตู้เบนซ์นะจ๊ะ ค่ารถเพียง 4 TL หรือ 24 บาทเท่านั้น


ภายในรถตู้เบนซ์ อย่างหรู



แผนที่เส้นทางเดินทางโดยรถตู้จากท่ารถเดนิซลี่ไปลงปามุกกาเล่


พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้ รถใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเข้ามาคล้ายๆชนบท ที่เห็นบ้านเรือนอยู่นั่นน่าจะใช่จุดปลายของเราแล้วหล่ะ ปามุกกาเล่


มีเรื่องตลกอีกแล้ว รถตู้เข้ามาคล้ายๆในหมู่บ้านตามที่เห็นในรูปก่อน ลัดเลาะตามถนนไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้หรอกว่าจะต้องลงตรงไหน หลายคนลงในป้ายที่ไม่เหมือนกัน และมันก็ไม่มีท่ารถปามุกกาเล่ที่เป็นท่ารถปลายทางซะด้วยสิ หลงคิดว่าปามุกกาเล่จะเป็นปลายทางของรถคันนี้ เปล่าเลย ดูแผนที่ไปและพบว่ารถกำลังจะออกถนนใหญ่แล้วเตลิดไป เลยบอกคนขับขอลงตรงนี้แหล่ะ ลงจากรถตู้แบบงงๆ...เฮ้อ


แล้วก็เดินลากกระเป๋ามาตาม Google Map บนมือถือให้ปลายทางคือโรงแรมซาฮิน(Hotel Sahin) ดูจากรูปวิวสุดยอดมากๆ เจ้าของโรงแรมใจดีนะครับ คุยดี เขาบอกว่าผมจองห้องธรรมดามา แต่จะให้ห้องพิเศษสามารถมองเห็นวิวทางเข้าปามุกกาเล่ได้ อันนี้จริงหรือมุกก็ไม่รู้นะครับ แต่วิวดีจริงๆ เดินเข้ามาห้องสะอาดสวยครับ


มุมนี้มองไปจะเจอกับระเบียงห้อง เปิดไปคงเห็นวิวปามุกกาเล่แน่ๆ


มามุมนี้ก่อน จากด้านหลังห้องไปหาด้านหน้าห้อง ประตูทางเข้า


มาดูห้องน้ำ สะอาด กระทัดรัด


แล้วก็ได้เวลาออกไปที่ระเบียง มองไปก็จะเห็นวิวนี้ครับ มองเห็นปามุกกาเล่ หรือปราสาทปุยฝ้ายที่เป็นหินปูนสีขาวสวยงามเลย หน้าสระน้พพอดี แม้ไม่ติดริมถนนแจ่แถว 2 นี้ก็โอแล้ว เดาว่าถ้าติดริมถนนจะไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้ เพราะจะไปบดบังแถมอื่นเค้า


แล้วก็ขึ้นไปชั้น 3 เป็นชั้นร้านอาหาร แต่ ณ ตอนนี้โล่ง เพราะเลยเวลาอาหารเช้ามานานแล้ว มาเพื่อจะถ่ายวิวครับ


นี่เลย...วิวปราสาทปุยฝ้าย เห็นในมุมสูงสวยดี ช่วงนี้ฟ้าจะหม่นๆ หน่อยครับ กลัวฝนจะตกจัง


มองไปด้านซ้าย นี่แหล่ะ จุดที่ลูกศรชี้คือจุดที่ลงจากรถตู้เมื่อสักครู่ใหญ่ๆนั่นเอง คือเลยไปเฉยเลย ผมเดินมาไกลน่าดูชม ดีที่อากาศไม่ร้อน ไม่งั้นเหงื่อท่วมแน่ๆ


แล้วก็ได้เวลาลงมาสำรวจกันแล้วครับ ข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วมองกลับมา Hotel Sahin อยู่ทางขวามือนั่นเอง จะบอกว่า แถวนี้คนไม่จอแจเลย คนหายไปไหนหมดนะ 555


แล้วก็เดินมาชมห่านว่ายน้ำกันอย่างสบายใจในสระนี้


กลุ่มนี้ พ่อ แม่ ลูกอีก 5 น่ารักจริงๆ


ตรงสระน้ำนี้จะมีม้านั่งให้นั่งพักผ่อนอยู่รายลอบสระเลยครับ


แหงนไปมองดูด้านบน นี่ไง มีพาราไกล์ดิ้งบินอยู่ด้วย ส่วนที่เห็นตัวเล็กๆเหมือนมดก็นักท่องเที่ยวกำลังเดินบนทางเดินที่เป็นหินปูน(Calcium Cabonate (CaCo3)) หรือเรียกว่า Travertines of Pamukkale  อยู่นั่นเอง


มุมนี้สวยดี เห็นแร่ปูนย้อยลงมา คล้ายๆที่เราเห็นหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ


ได้เวลาเดินเข้าปามุกกาเล่ทางเข้าด้านใต้แล้ว สวนกับคนที่ลงมาเยอะทีเดียว ในใจก็คิดว่า หรือมันไม่ใช่ทางเข้านะ ให้ออกมาอย่างเดียว


มาหยุดต่อคิวที่จุดนี้ 50 TL ครับ จัดไป


นี่ครับ ตั๋วเข้าปามุกกาเล่ หรือ เฮียราโปลิส เมืองโบราณ ได้รับเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1988


มองลงไปด้านล่างซ้าย น่าเสียดายครับ เป็นสระน้ำให้นักท่องเที่ยวได้ลงเล่น แต่ทำไมปิดลงก็ไม่รู้ หรือปิดปรับปรุง


แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องถอดรองเท้ากันแล้ว คนที่สวนมาคือเสร็จสิ้น มาใส่รองเท้า ส่วนผมกำลังจะเข้าไปต้องถอดรองเท้าครับ


ไม่เป็นปัญหา ถอดก็ถอด ก็เอาถึงเท้าใส่ในรองเท้าชิดๆข้างใน แล้วก็ต้องเดินถือรองเท้าไปด้วย เสียไป 1 มือ ถ่ายรูปลำบากเลยทีนี่


นี่ครับ หลังจากถอดรองเท้าและเดินเข้ามาในพื้นที่หินปูนแล้ว น้ำไม่เย็นมากนัก แต่จะเดินลำบากนิดนึง เพราะมันไม่ได้เรียบ!


มองกลับไปยังทางที่เข้ามา หลายกลุ่มเลยที่มากันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก


ก้มลงไปถ่ายแบบใกล้ๆที่พื้นทางเดินนี้ ก็เป็นแบบที่เห็นนี่เลย เป็นขอบๆ มีสันหินปูนล้อมรอบ เดินไปก็ลงเท้าค่อยๆละกันครับ แต่มันไม่บาดฝ่าเท้านะครับ มันทื่อๆ ไม่แหลม แต่เวลาเดินต้องเดินลงเท้าช้าๆครับ


มีแหล่งน้ำขังอยู่นิดหน่อยหน้าทางเดินนี้ เดินเลียบๆขอบจะดีกว่า และเลียบฝั่งขวามือนะครับ ฝั่งซ้ายจะเป็นเหว อาจตกได้


บางช่วงก็จะนุ่มๆเหมือนมีแป้งมา หรือดินสอพองมาปกคลุมที่พื้น แบบนี้เดินสบายครับ ไม่เจ็บเท้า


สูงมาในระดับนึงแล้ว มองเห็นสระน้ำเป็นวงรี สังเกตจะมีเกาะกลางสระด้วยนะครับ


อีกสระนึงที่กว้างพอสมควร น้ำก็แค่ครึ่งเข่าเท่านั้น


เห็นพี่จีนเขาถ่ายแบบ เลยแอบถ่ายมาบ้าง 555 ใส่อย่างกับชุดแต่งงานเลย แต่มาคนเดียวซะงั้น


ตรงด้านซ้ายนี้ทำเป็นร่องน้ำครับ ไหลแรงทีเดียว ถ้าหลุดร่องน้ำมาทางซ้ายก็เหว ตกลงไปก็ตายหล่ะครับ ผมสงสัยเรื่องความปลอดภัยนะครับ ทำไมไม่มีราวกั้นก็ไม่รู้ เดาว่าทำแล้วคงจะกลัวว่าไม่สวย แต่ไม่ทำอันตรายมากๆเลย


ป้าๆชาวจีนกำลังทำท่าอะไรก็ไม่รู้ ใส่ชุดก็สีสันแสบๆ เห็นแล้วขำ เลยอดเก็บภาพมาไม่ได้


มาถึงจุดที่เรียกว่าจะบนสุดแล้ว เหลืออีกนิดเดียว วิวสระน้ำในอีกมุมมอง ก็สวยดี


ผมเดาว่ามุมนี้น่าจะเป็นมุมที่ใครๆมาแล้วจะถ่ายกัน แต่ที่ถ่ายกันมาคือมีน้ำเต็มสีเขียวสวยงาม แต่ ณ ตอนนี้มันไม่มีน้ำขังเลย แห้งแล้งเอามากๆ น่าเสียดายจัง

ณ จุดนี้ผมลื่นครับ ก้มกระแทกพื้นนิดหน่อย ดีนะที่ไม่ลื่นตก และไม่เป็นอะไรมาก เลนส์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ไม่เป็นไร โชคดีไป จึงอยากเตือนเพื่อนๆว่า ต้องระวังให้มากๆนะครับ พอดีผมกระโดดมาที่ร่องน้ำเพื่อเก็บภาพนี้นั่นเอง ระวังอย่ากระโดดเลยครับ อันตรายมากๆ



ออกมาที่ด้านบนสุดก็มานั่งม้านั่งไม้ที่เห็นใส่ถุงเท้ารองเท้า แล้วเตรียมหาวิวสวยๆถ่ายภาพอีก


เดินมาตรงนี้เป็นด้านบนสุดของทางเดินหินปูนครับ


คราวนี้ยืนด้านบนที่ไม่เปียกแล้ว เก็บภาพลานหินปูนแรกที่ทัวร์จะพามาทางเข้านี้ ทางเข้าฝั่งตะวันออก(East Gate) ที่เห็นกันเยอะๆก็พี่จีนทั้งนั้นเลย ส่วนใหญ่จะอยู่กันชั้นนี้ ไม่ก็เดินลงไปอีก 1-2 ชั้น ไม่ได้เดินออกไปทางเข้าฝั่งใต้แบบที่ผมเข้ามา เพราะพวกเขามากับรถทัวร์ก็ต้องกลับทางเดิม


หาตั้งนาน วิวที่เห็นน้ำขังเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป ได้มาแค่นี้ครับ หนีคนไม่ได้จริงๆ สงสัยวิวที่คนไม่มีคือช่วงเย็นๆ


ลักษณะจะคล้ายๆสระว่ายน้ำทำเป็นชั้นๆ มีขอบสระชัดเจน แปลกดี


ขอจบด้วยช่างภาพเดินชูนกแก้วสีสวยมากๆ ให้นักท่องเที่ยวถ่ายกับนกแก้วและคิดค่าบริการ ส่วนผมถ่ายนกแก้วโดยไม่เสียเงินดีกว่า ฮ่าๆๆ 

เดี๋ยวมาต่อในตอนต่อไป เป็นการเดินสำรวจเฮียราโปลิส มีโรงละคร(Theater) และสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกเยอะเลย


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น