วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 6.2 จากประตูทางเข้าฝั่งใต้ เดินย้อนกลับสู่ประตูทางเข้าฝั่งเหนือของเอฟีซุส ตระการตากับหอสมุดแห่งเซลซุส แวะโบสถ์พระแม่มารีก่อนจะจากลานครกรีกโบราณ ภาค II


มาต่อกันจากตอน 6.1 นะครับ หลังจากที่เดินไปถึงประตูทางเข้าเอฟีซุสฝั่งใต้ ก็ได้เวลาเดินย้อนกลับมาทางเดิม พอเจอ Domitian Square ก็เลี้ยวซ้ายไปเก็บรายละเอียดกันเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปผ่านประตูเฮอร์คิวลิส เดินตามถนน Curetes จนถึง The Library of Celsus แล้วก็ได้เวลาเข้าไปเก็บภาพซะที หลังโอ้เอ้มานาน จากนั้นเดินกลับเส้นทางใหม่ขนานกับเส้นทางขามา แต่อยู่ในระดับต่ำกว่า ก่อนจะออกไปยังประตูทางเข้าฝั่งเหนือ เห็นว่ามีป้ายชี้ไปที่ The Church of Mary ก็เลยเดินไปตามเส้นทางที่ทำไว้ เก็บภาพ ณ โบสถ์พระแม่มารี แล้วเดินตามทางลัดไปออกประตูฝั่งเหนือเพื่อไปรอรถกลับต่อไป


เดินกลับทางเดิมเป็นทางเดินไม้ ผ่าน Odeon โรงละครที่แวะมาก่อนหน้านี้แล้ว


ได้เวลาถ่ายรูปสวยๆของต้นไม้ 2 ต้นนี้แล้ว เห็นมาแต่ไกล ใบสีสวยดี สีออกม่วงๆ แล้วมุ่งหน้าไปจุดชมวิวที่อยู่ไกลๆนั่น


เป็นจุดที่สามาถชมวิวได้กว้างมากๆ เห็นไปถึง The Library of Celsus กันเลย ทางเดินขากลับจะลงเนินครับ


เปลี่ยนเลนส์เทเลแล้วซูมไปที่หินแกะสลัก 2 แผ่นนี้ ไม่แน่ใจว่าแกะสลักเป็นใคร เพราะไม่มีบอก แต่คนนึงน่าจะเป็นเฮอร์คิวลิส เดานะครับ


ซูมไปยัง The Library of Celsus บ้าง แจ่มเลย ด้านหลังที่มีหลังคาน่าจะไว้เก็บซากหินต่างๆและเอาไว้ซ่อมนะ


ได้เวลาก็เดินลงมาด้านล่างยัง Domitian Square ได้เห็นเทพีแห่งชัยชนะ(Flying Nike) แล้ว ดีใจมาก เพราะขามามองไม่เห็นว่าอยู่ไหน เขาว่าหินแกะสลักอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของประตูเฮอร์คิวลิสครับ แต่ ณ ปัจจุบันวางอยู่คนละจุดกัน


เดินเลี้ยวไปทางซ้าย จะเจอกับซากซุ้มที่มีชื่อว่า Pollio Monument & Fountain of Domitian


แล้วก็เดินเข้าไปอีกจนถึงทางตัน จะเจอกับ The Temple of Domitian ยุคของจักรพรรดิโดมิเทียน A.D. 81-96


ได้เวลาเดินกลับไปประตูเฮอร์คิวลิสอีกครั้ง


นี่ครับ ฝั่งด้านหลังประตูเฮอร์คิวลิส ผ่านประตูนี้ไปก็จะเจอกับ Curetes street


ทับหลังหรือชิ้นส่วนตรงไหนก็ไม่ทราบได้ครับวางไว้ด้านข้างทางใกล้ๆประตูเฮอร์คิวลิส


จะสังเกตเห็นว่า ทางเดินเป็นเนินลงไป สวยงามดีครับ โดยเฉพาะช่วงนี้คนกำลังโล่งเลย


ไม่แน่ใจว่าทางด้านซ้ายทำไมต่างจากด้านขวามือ หรือว่าเพราะเป็น Terrace House 2 ของพวกเศรษฐีที่มาอยู่ เลยปูแบบดีกว่าปกติ


ซูมไปดูรายละเอียด เหมือนคล้ายๆโมเสค หลากหลายสีทีเดียว


อีกมุมก่อนจะเข้าไปที่ The Library of Celsus


เป็นไงหล่ะ คนอย่างเยอะ ตอนมาถึงครั้งแรกช่วงสายๆ คนน้อยดันไม่ยอมเข้า 555


ขอเก็บภาพเต็มๆ หน้าตรง ได้สภาพแบบนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์มากแล้วนะ


ทางขวาที่อยู่ติดกันกับหอสมุดเซลซุสคือ The Gate of Augustus หรือประตูแห่งออกัสตุส สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิออกัสตุสและครอบครัว ออกัสตุสเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งอาณาจักรโรมัน ช่วง 27 B.C. - A.D. 14


กลับมาถ่าย The Library of Celsus อีกครั้ง คนน้อยลง และขึ้นไปชมเทพี 4 องค์ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า


ผมถ่ายเทพีมาทุกองค์แล้วเอามารวมกัน จากซ้ายไปขวา Sophia เทพีแห่งปัญญาEpisteme เทพีแห่งความรู้, Ennoia เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และ Arete เทพีแห่งความดี(คุณธรรม)


หันกล้องไปที่ทางเข้า คนพอประมาณ


ซูมไปซิ แล้วคนก็เริ่มเยอะแล้ว ตรงไกลๆแท่นด้านบนก็คือจุดชมวิวที่ผมได้ยืนส่องกล้องมายังที่นี่ก่อนหน้านี้นั่นเอง


มามองมุมนี้บ้าง ระหว่างด้านนอก(ซ้าย)และด้านใน(ขวา)


แล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่


ออกมาเก็บภาพหอสมุดเซลซุสจากประตูแห่งออกัสตุส


อีกภาพในแนวแลนด์สเคป


แล้วก็เดินผ่านประตูแห่งออกัสตุสออกไป จะเห็นแผ่นหินแกะสลักที่วางอยู่ข้างทาง แกะเป็นรูปสัตว์ ภาชนะ ใบไม้ ช่างสมัยนั้นเก่งจริงๆ


จะเดินตามทางเดินข้างหน้าหรือลงไปด้านล่างทางซ้ายก็ย่อมได้ มีเสาไม้โรมันตั้งอยู่เรียงราย


มองย้อนไปยัง The Library of Celsus และ The Gate of Augustus ซึ่งต้องอำลาไปเพียงเท่านี้ ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่มาถึงที่นี่ ดินแดนโบราณถึง 3 พันปีด้วยกัน


ด้านซ้ายมือเป็นลานโล่งไว้เก็บซากหินแกะสลัก และมีต้นไม้สูงๆถึง 8 ต้นปลูกเรียงรายให้ร่มเงาด้วยกัน เขาตัดแต่งจนเป็นพุ่มสวยงามนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ขึ้นแบบต้นใครต้นมัน


แล้วก็เดินมาบรรจบกับทางเข้า The Great Theatre อีกครั้ง ในมุมนี้ที่ไม่มีทาวเวอร์เครนมาบดบังทัศนียภาพให้เสียไป


ถนนทางออกตรงด้านซ้ายมือจะมีโลงศพหิน(Marble/Limestone Sarcophagus) วางเรียงรายอยู่ ดูน่ากลัว แต่เห็นมีบางคนเดินไปดูเลยเดินไปมั่ง


ลายแกะสลักจะแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่จะเห็นคล้ายๆเป็นพวงมาลัย 3 วงแบบนี้กันทุกๆโลง


อีกโลงนึงครับ ลองเหลือบดูในโลงก็มีแต่น้ำฝนที่ตกลงมาแล้วขังอยู่ก็เท่านั้น นี่ก็มีเป็นกลมๆ 3 วงเช่นกัน


ตอนแรกพอดูเสร็จก็ว่าจะกลับออกทางเข้าเดิมอยู่แล้ว แต่เอ๊ะ ทางเดินเล็กๆนี้ไปไหนนะ คนไม่ค่อยจะไปเท่าไหร่ อ่านป้ายบอกว่าทางไป Church of Mary มีเดินนำหน้าไป 2 กลุ่ม 4 คน งั้นไปก็ไปเพราะไหนๆก็มาแล้ว เวลาเหลืออยู่เยอะให้กับที่นี่เต็มที่


เดินไปสักพักก็เจอตรงหน้าแบบนี้ ซากปรักหักพังของโบสถ์พระแม่มารี แต่ 4 คนที่เดินมาก่อนหน้านี้เดินสวนมาครับ หยุดยืนที่บริเวณด้าหน้านี้แล้วเดินกลับ ผมเองก็งงว่าแค่นี้เหรอ


งงแล้วงงอีก ก็เลยให้คำตอบกับตัวเองว่า งั้นเดินเข้าไปเองดีกว่า ทำไมไม่เข้าไป(วะ) กลัวอะไรกัน หรือคิดว่าเดินผ่านมาเห็นตรงหน้าก็คือมาแล้ว?  นี่ครับ ทางเดินเข้าไปตรงขวามือ แล้วก็เดินเข้าไป กลางวันแท้ๆ ไม่น่ากลัวหรอก


นี่มุมที่เข้ามาแล้ว จะเห็นอาคารอิฐสีแดง 2 หลังด้านตรงหน้า ตัดสินใจไม่ผิดที่เข้ามาครับ


แล้วหันหลังกลับไปถ่ายมุมที่เดินเข้ามา นี่น่าจะเป็นด้านหน้าของโบสถ์  แล้วก็ไม่มีคนมาบดบังทัศนวิสัย โบสถ์พระแม่มารีรู้จักกันอีกชื่อคือ Church of the Councils เนื่องจาก 2 สภาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์คริสตศาสนา สันนิษฐานว่าได้มาจัดขึ้นที่นี่ น่าจะสร้างขึ้นในช่วงแรกๆของศตวรรษที่ 5


เดินขยับมาอีกตรงอิฐแดง ที่ไหนได้ มีนักท่องเที่ยวชายหญิง 2 คนอยู่ก่อนแล้วครับ แต่ก็ดี จะได้มีเพื่อน ไม่วังเวง 555


ตรงนี้เหมือนกับเป็นภาพแผนผังโบสถ์ เจ้าหน้าที่คงเอามาติดไม่ใช่สมัยนั้นหรอกกกก


ตรงกลางลานนี้มีอ่างหินน้ำพุด้วยนะครับ


คลาสสิคจริงๆเลย


เดินสำรวจต่อไปข้างในกันดีกว่า ผมพยายามจะไม่ไปทับกับเส้นทางที่นักท่องเที่ยว 2 คนที่มาดูอยู่ก่อนแล้ว เลยทำให้ไม่เห็นใครในภาพ โล่งมากๆ


นี่น่าจะเป็นด้านท้ายของโบสถ์แล้ว อากาศเย็นๆสบายๆ


เดินเลี้ยวไปทางขวาบ้าง จะมีเหมือนห้องอยู่


ชอบที่มีดอกไม้ดอกนี้สีแดงขึ้นเต็มไปหมดในบริเวณนี้ มันให้สีสันกับภาพดีมากๆ


มีเหมือนกับภาษาลาตินหรือกรีกตรงทางเดิน อ่านไม่ออกหรอก


หลุมตรงกลางนี้คืออะไรน้าาาา แปลกจัง


ซากปรักหักพัง บ่งบอกถึงอารยธรรมของมนุษย์ที่มีมาแต่ช้านาน


แล้วก็ได้เวลาเดินกลับแล้ว ช็อตสวยๆอีกตามเคย ไร้มนุษย์มาบดบัง


ดีใจที่เดินเข้ามาครับ คน 4 คนที่เดินมาแล้วเดินกลับคงคิดว่าไม่มีอะไรข้างใน หรือคิดว่าเข้าไม่ได้ก็ไม่รู้นะครับ


ออกมาจากโบสถ์พระแม่มารีแล้ว ตรงนี้กำลังชั่งใจว่าจะเดินต่อไปทางซ้ายนี้มั้ย? เพราะไม่อยากเดินย้อนกลับ แต่พอเดินไปดูนิดนึงจะมีป้ายเขียนว่า ไม่ใช่ทางออก และไม่อนุญาตให้เดินไป ก็ต้องกลับมาทางเดิม


แต่ไม่ต้องเดินกลับไปจนถึงโลงหินตรงนั้น เพราะจะมีทางลัดด้านซ้ายให้เดินไปบรรจบทางออกประตูฝั่งเหนือได้ครับ เออ มันก็ต้องอย่างนี้สิเนอะ อิอิ 

ก็เป็นอันว่าจบทั้ง 2 ภาคของเอฟีซุสเมืองกรีกโบราณแห่งนี้ไปแบบประทับใจ ใช้เวลากับที่นี่นับจากลงรถที่ด้านหน้าทางเข้า จน ออกไปจากประตูฝั่งเหนือ รวมๆแล้ว 4 ชั่วโมง 30 นาที เที่ยวแบบนี้ต้องใช้เวลากับสถานที่นานๆนะครับ ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ บางครั้งก็อาจมีรอจังหวะถ่ายรูป แล้วก็จะพบว่าเราจะได้รูปในจังหวะที่ต้องการ สรุปแล้วก็จะคุ้มกับเงินที่เราเสียไปกว่าจะดั้นด้นมาถึงที่นี่ 

เดี๋ยวต่อไปจะต้องเดินไปรอรถที่ป้ายเดิมที่ลงตอนขามา แต่ขากลับผมจะลงรถก่อนที่จะถึงท่ารถเซลฉุก นั่นคือวิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(รู้หลังจากกลับมาแล้ว ฮ่าๆๆ) แล้วมาติดตามชมในตอนต่อไปครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น