[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 6.4] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 8] [ตอน 9] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 12.3] [ตอน 12.4] [ตอน 13]
มาต่อกันจากตอน 6.1 นะครับ หลังจากที่เดินไปถึงประตูทางเข้าเอฟีซุสฝั่งใต้ ก็ได้เวลาเดินย้อนกลับมาทางเดิม พอเจอ Domitian Square ก็เลี้ยวซ้ายไปเก็บรายละเอียดกันเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปผ่านประตูเฮอร์คิวลิส เดินตามถนน Curetes จนถึง The Library of Celsus แล้วก็ได้เวลาเข้าไปเก็บภาพซะที หลังโอ้เอ้มานาน จากนั้นเดินกลับเส้นทางใหม่ขนานกับเส้นทางขามา แต่อยู่ในระดับต่ำกว่า ก่อนจะออกไปยังประตูทางเข้าฝั่งเหนือ เห็นว่ามีป้ายชี้ไปที่ The Church of Mary ก็เลยเดินไปตามเส้นทางที่ทำไว้ เก็บภาพ ณ โบสถ์พระแม่มารี แล้วเดินตามทางลัดไปออกประตูฝั่งเหนือเพื่อไปรอรถกลับต่อไป
ได้เวลาถ่ายรูปสวยๆของต้นไม้ 2 ต้นนี้แล้ว เห็นมาแต่ไกล ใบสีสวยดี สีออกม่วงๆ แล้วมุ่งหน้าไปจุดชมวิวที่อยู่ไกลๆนั่น
เป็นจุดที่สามาถชมวิวได้กว้างมากๆ เห็นไปถึง The Library of Celsus กันเลย ทางเดินขากลับจะลงเนินครับ
เปลี่ยนเลนส์เทเลแล้วซูมไปที่หินแกะสลัก 2 แผ่นนี้ ไม่แน่ใจว่าแกะสลักเป็นใคร เพราะไม่มีบอก แต่คนนึงน่าจะเป็นเฮอร์คิวลิส เดานะครับ
ซูมไปยัง The Library of Celsus บ้าง แจ่มเลย ด้านหลังที่มีหลังคาน่าจะไว้เก็บซากหินต่างๆและเอาไว้ซ่อมนะ
ได้เวลาก็เดินลงมาด้านล่างยัง Domitian Square ได้เห็นเทพีแห่งชัยชนะ(Flying Nike) แล้ว ดีใจมาก เพราะขามามองไม่เห็นว่าอยู่ไหน เขาว่าหินแกะสลักอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของประตูเฮอร์คิวลิสครับ แต่ ณ ปัจจุบันวางอยู่คนละจุดกัน
เดินเลี้ยวไปทางซ้าย จะเจอกับซากซุ้มที่มีชื่อว่า Pollio Monument & Fountain of Domitian
แล้วก็เดินเข้าไปอีกจนถึงทางตัน จะเจอกับ The Temple of Domitian ยุคของจักรพรรดิโดมิเทียน A.D. 81-96
ได้เวลาเดินกลับไปประตูเฮอร์คิวลิสอีกครั้ง
นี่ครับ ฝั่งด้านหลังประตูเฮอร์คิวลิส ผ่านประตูนี้ไปก็จะเจอกับ Curetes street
ทับหลังหรือชิ้นส่วนตรงไหนก็ไม่ทราบได้ครับวางไว้ด้านข้างทางใกล้ๆประตูเฮอร์คิวลิส
จะสังเกตเห็นว่า ทางเดินเป็นเนินลงไป สวยงามดีครับ โดยเฉพาะช่วงนี้คนกำลังโล่งเลย
ไม่แน่ใจว่าทางด้านซ้ายทำไมต่างจากด้านขวามือ หรือว่าเพราะเป็น Terrace House 2 ของพวกเศรษฐีที่มาอยู่ เลยปูแบบดีกว่าปกติ
ซูมไปดูรายละเอียด เหมือนคล้ายๆโมเสค หลากหลายสีทีเดียว
อีกมุมก่อนจะเข้าไปที่ The Library of Celsus
เป็นไงหล่ะ คนอย่างเยอะ ตอนมาถึงครั้งแรกช่วงสายๆ คนน้อยดันไม่ยอมเข้า 555
ขอเก็บภาพเต็มๆ หน้าตรง ได้สภาพแบบนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์มากแล้วนะ
ทางขวาที่อยู่ติดกันกับหอสมุดเซลซุสคือ The Gate of Augustus หรือประตูแห่งออกัสตุส สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิออกัสตุสและครอบครัว ออกัสตุสเป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งอาณาจักรโรมัน ช่วง 27 B.C. - A.D. 14
กลับมาถ่าย The Library of Celsus อีกครั้ง คนน้อยลง และขึ้นไปชมเทพี 4 องค์ที่อยู่ด้านหน้าทางเข้า
ผมถ่ายเทพีมาทุกองค์แล้วเอามารวมกัน จากซ้ายไปขวา Sophia เทพีแห่งปัญญา, Episteme เทพีแห่งความรู้, Ennoia เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และ Arete เทพีแห่งความดี(คุณธรรม)
หันกล้องไปที่ทางเข้า คนพอประมาณ
ซูมไปซิ แล้วคนก็เริ่มเยอะแล้ว ตรงไกลๆแท่นด้านบนก็คือจุดชมวิวที่ผมได้ยืนส่องกล้องมายังที่นี่ก่อนหน้านี้นั่นเอง
แล้วก็เดินเข้าไปด้านใน ก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่
ออกมาเก็บภาพหอสมุดเซลซุสจากประตูแห่งออกัสตุส
อีกภาพในแนวแลนด์สเคป
แล้วก็เดินผ่านประตูแห่งออกัสตุสออกไป จะเห็นแผ่นหินแกะสลักที่วางอยู่ข้างทาง แกะเป็นรูปสัตว์ ภาชนะ ใบไม้ ช่างสมัยนั้นเก่งจริงๆ
จะเดินตามทางเดินข้างหน้าหรือลงไปด้านล่างทางซ้ายก็ย่อมได้ มีเสาไม้โรมันตั้งอยู่เรียงราย
มองย้อนไปยัง The Library of Celsus และ The Gate of Augustus ซึ่งต้องอำลาไปเพียงเท่านี้ ถือว่าคุ้มค่ามากๆที่มาถึงที่นี่ ดินแดนโบราณถึง 3 พันปีด้วยกัน
ด้านซ้ายมือเป็นลานโล่งไว้เก็บซากหินแกะสลัก และมีต้นไม้สูงๆถึง 8 ต้นปลูกเรียงรายให้ร่มเงาด้วยกัน เขาตัดแต่งจนเป็นพุ่มสวยงามนะครับ ไม่ใช่ปล่อยให้ขึ้นแบบต้นใครต้นมัน
แล้วก็เดินมาบรรจบกับทางเข้า The Great Theatre อีกครั้ง ในมุมนี้ที่ไม่มีทาวเวอร์เครนมาบดบังทัศนียภาพให้เสียไป
ถนนทางออกตรงด้านซ้ายมือจะมีโลงศพหิน(Marble/Limestone Sarcophagus) วางเรียงรายอยู่ ดูน่ากลัว แต่เห็นมีบางคนเดินไปดูเลยเดินไปมั่ง
ลายแกะสลักจะแตกต่างกันออกไป แต่ส่วนใหญ่จะเห็นคล้ายๆเป็นพวงมาลัย 3 วงแบบนี้กันทุกๆโลง
อีกโลงนึงครับ ลองเหลือบดูในโลงก็มีแต่น้ำฝนที่ตกลงมาแล้วขังอยู่ก็เท่านั้น นี่ก็มีเป็นกลมๆ 3 วงเช่นกัน
ตอนแรกพอดูเสร็จก็ว่าจะกลับออกทางเข้าเดิมอยู่แล้ว แต่เอ๊ะ ทางเดินเล็กๆนี้ไปไหนนะ คนไม่ค่อยจะไปเท่าไหร่ อ่านป้ายบอกว่าทางไป Church of Mary มีเดินนำหน้าไป 2 กลุ่ม 4 คน งั้นไปก็ไปเพราะไหนๆก็มาแล้ว เวลาเหลืออยู่เยอะให้กับที่นี่เต็มที่
เดินไปสักพักก็เจอตรงหน้าแบบนี้ ซากปรักหักพังของโบสถ์พระแม่มารี แต่ 4 คนที่เดินมาก่อนหน้านี้เดินสวนมาครับ หยุดยืนที่บริเวณด้าหน้านี้แล้วเดินกลับ ผมเองก็งงว่าแค่นี้เหรอ
งงแล้วงงอีก ก็เลยให้คำตอบกับตัวเองว่า งั้นเดินเข้าไปเองดีกว่า ทำไมไม่เข้าไป(วะ) กลัวอะไรกัน หรือคิดว่าเดินผ่านมาเห็นตรงหน้าก็คือมาแล้ว? นี่ครับ ทางเดินเข้าไปตรงขวามือ แล้วก็เดินเข้าไป กลางวันแท้ๆ ไม่น่ากลัวหรอก
นี่มุมที่เข้ามาแล้ว จะเห็นอาคารอิฐสีแดง 2 หลังด้านตรงหน้า ตัดสินใจไม่ผิดที่เข้ามาครับ
แล้วหันหลังกลับไปถ่ายมุมที่เดินเข้ามา นี่น่าจะเป็นด้านหน้าของโบสถ์ แล้วก็ไม่มีคนมาบดบังทัศนวิสัย โบสถ์พระแม่มารีรู้จักกันอีกชื่อคือ Church of the Councils เนื่องจาก 2 สภาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์คริสตศาสนา สันนิษฐานว่าได้มาจัดขึ้นที่นี่ น่าจะสร้างขึ้นในช่วงแรกๆของศตวรรษที่ 5
เดินขยับมาอีกตรงอิฐแดง ที่ไหนได้ มีนักท่องเที่ยวชายหญิง 2 คนอยู่ก่อนแล้วครับ แต่ก็ดี จะได้มีเพื่อน ไม่วังเวง 555
ตรงนี้เหมือนกับเป็นภาพแผนผังโบสถ์ เจ้าหน้าที่คงเอามาติดไม่ใช่สมัยนั้นหรอกกกก
ตรงกลางลานนี้มีอ่างหินน้ำพุด้วยนะครับ
คลาสสิคจริงๆเลย
เดินสำรวจต่อไปข้างในกันดีกว่า ผมพยายามจะไม่ไปทับกับเส้นทางที่นักท่องเที่ยว 2 คนที่มาดูอยู่ก่อนแล้ว เลยทำให้ไม่เห็นใครในภาพ โล่งมากๆ
นี่น่าจะเป็นด้านท้ายของโบสถ์แล้ว อากาศเย็นๆสบายๆ
เดินเลี้ยวไปทางขวาบ้าง จะมีเหมือนห้องอยู่
ชอบที่มีดอกไม้ดอกนี้สีแดงขึ้นเต็มไปหมดในบริเวณนี้ มันให้สีสันกับภาพดีมากๆ
มีเหมือนกับภาษาลาตินหรือกรีกตรงทางเดิน อ่านไม่ออกหรอก
หลุมตรงกลางนี้คืออะไรน้าาาา แปลกจัง
ซากปรักหักพัง บ่งบอกถึงอารยธรรมของมนุษย์ที่มีมาแต่ช้านาน
แล้วก็ได้เวลาเดินกลับแล้ว ช็อตสวยๆอีกตามเคย ไร้มนุษย์มาบดบัง
ดีใจที่เดินเข้ามาครับ คน 4 คนที่เดินมาแล้วเดินกลับคงคิดว่าไม่มีอะไรข้างใน หรือคิดว่าเข้าไม่ได้ก็ไม่รู้นะครับ
ออกมาจากโบสถ์พระแม่มารีแล้ว ตรงนี้กำลังชั่งใจว่าจะเดินต่อไปทางซ้ายนี้มั้ย? เพราะไม่อยากเดินย้อนกลับ แต่พอเดินไปดูนิดนึงจะมีป้ายเขียนว่า ไม่ใช่ทางออก และไม่อนุญาตให้เดินไป ก็ต้องกลับมาทางเดิม
แต่ไม่ต้องเดินกลับไปจนถึงโลงหินตรงนั้น เพราะจะมีทางลัดด้านซ้ายให้เดินไปบรรจบทางออกประตูฝั่งเหนือได้ครับ เออ มันก็ต้องอย่างนี้สิเนอะ อิอิ
ก็เป็นอันว่าจบทั้ง 2 ภาคของเอฟีซุสเมืองกรีกโบราณแห่งนี้ไปแบบประทับใจ ใช้เวลากับที่นี่นับจากลงรถที่ด้านหน้าทางเข้า จน ออกไปจากประตูฝั่งเหนือ รวมๆแล้ว 4 ชั่วโมง 30 นาที เที่ยวแบบนี้ต้องใช้เวลากับสถานที่นานๆนะครับ ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ บางครั้งก็อาจมีรอจังหวะถ่ายรูป แล้วก็จะพบว่าเราจะได้รูปในจังหวะที่ต้องการ สรุปแล้วก็จะคุ้มกับเงินที่เราเสียไปกว่าจะดั้นด้นมาถึงที่นี่
เดี๋ยวต่อไปจะต้องเดินไปรอรถที่ป้ายเดิมที่ลงตอนขามา แต่ขากลับผมจะลงรถก่อนที่จะถึงท่ารถเซลฉุก นั่นคือวิหารอาร์ทีมิส(Temple of Artemis) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ(รู้หลังจากกลับมาแล้ว ฮ่าๆๆ) แล้วมาติดตามชมในตอนต่อไปครับ
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 6.4] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 8] [ตอน 9] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 12.3] [ตอน 12.4] [ตอน 13]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น