วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

ตุรกี...คนเดียวก็เที่ยวได้ ตอน 3.1 นั่งรถบัส 6 ชั่วโมงจากอิสตันบูลไปเมืองชานักกาเล่ แถมได้นั่งเรือเฟอรี่ฟรี ข้ามช่องแคบดาร์ดะเนลส์ซะด้วย


วันนี้จะต้องตื่นเช้าเอามากๆ เพราะรถบัสที่จะไปชานักกาเล่(Çanakkale) ออกจากท่ารถ Esenler Otogarı เวลา 5.30 น. ตามที่ได้จองตั๋วมาเมื่อวาน ดูจาก Google map และให้มันคำนวณเวลาคร่าวๆในการเดินทางโดยรถเก๋งนั้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เผื่อเวลาไปอีกครึ่งชั่วโมง เป็น 1 ชม. 30 นาที นั่นคือ ผมต้องมารอแท็กซี่ตอนตี 4! ฮ่าๆๆ เช้ามากกกก แล้วก็ไม่รู้จะมีหรือเปล่าด้วยสิ
เอาหล่ะ....ถ้ามีก็จะเป็นไปตามแผน ขึ้นรถจากท่ารถ Esenlor ในเวลา 5.30 น. คงนั่งหลับแล้วไปโผล่อีกทีที่ท่าเรือ Gestas Eceabat Ferry Pier เมืองอีเซบัตในอีก 4 ชั่วโมง เตรียมข้ามทะเลมามาร่าที่ต่อกับทะเลอีเจี้ยน(ช่องแคบดาร์ดะเนลส์)ไปตุรกีฝั่งเอเชีย เมืองชานักกาเล่ เช็คอินเข้าโรงแรม ออกมาเดินไปเก็บภาพที่อนุสรณ์ม้าไม้เมืองทรอยที่ฮอลลีวู้ดให้ไว้ แล้วหาเอเย่นท์จองตั๋วรถบัสไปอิซเมียร์ในวันรุ่งขึ้น แล้วค่อยเดินไปท่ารถตู้เพื่อไปเมืองทรอย(Truva) กันอีกที นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมาถึงทึ่ชานักกาเล่เร็วๆ เพราะจะได้ไปเมืองทรอยไม่ค่ำไปนัก


ผมลากกระเป๋าล้อเลื่อนลงมาจากชั้น 2 ไปเข็คเอาท์ และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า จะหาแท็กซี่ได้ที่ไหนบ้าง ฟังได้ประมาณว่า แท็กซี่จะหลบกล้องวงจรปิดอะไรสักอย่างอยู่ทางซ้ายมือเมื่อออกไปจากโรงแรม ก็มึนๆไปไม่กระจ่างอะไรหรอกครับ ก็คือลากไปจุดที่รถบัสจากสนามบินใหม่มาส่งคนสุดสายนั่นเอง ก็เห็นคนมายืนรอรถบัสนะครับ แต่เราไม่ได้ไปกับรถบัส แล้วก็เห็นแว้บๆว่ามีรถแท็กซี่จอดอยู่ด้วย ดีใจมากๆ เพราะตอนนั้นมันตี 4 กว่าๆนะ ในใจคิดว่า ขอให้ใช่เถอะนะ และขอว่าขณะกำลังลากกระเป๋าไปหาแท็กซี่ อย่ามีคนมาตัดหน้าไปละกัน  ก็ไปถึงก็บอกกับแท็กซี่ว่าไป Esenler Otogarı พร้อมกับให้ดูสถานที่ใน Google map ด้วย คนขับก็เข้าใจได้ดี เพราะมันคือจุดหมายปกติของคนเดินทางทั่วๆไป ก็เป็นอันได้ขึ้นรถและพร้อมเดินทางออก โล่งมาก....ไม่โล่งได้ไง เพราะมีอยู่คันเดียวในเวลาตี 4 กว่าๆ และเราได้ไป!
เนื่องจากมันเช้ามืดเอามากๆ ถนนก็เลยโล่ง รถทำเวลาได้ดี และอ้อ....สมัยนี้ไม่ต้องไปกลัวแล้วนะครับเรื่องแท็กซี่ไม่กดมิเตอร์ ไม่มีครับ กดหมด และเลขมิเตอร์อยู่ตรงกระจกมองหลังของคนขับ ชัดเจนมากๆ รถใช้เวลา 30 หรือ 40 นาทีเองมั้งครับ ก็มาถึงท่ารถ Esenler แล้ว คนขับวนหาแบบงงๆว่ามันอยู่ตรงล็อคไหน ดูสิ ขนาดคนตุรกีเองยังหายากเลย รถเจ้านี้ ผมบอกไปว่า ตรงไปอีก อยู่ทางโน้น(เพราะเคยมาเมื่อวานแล้ว ถ้าไม่มานี่มีตาย) แล้วก็มาถึงหน้ารถบัส Truva ในเวลา 4.54 น. ยังไม่ตี 5 เลยครับ ค่าแท็กซี่ 40 TL จริงๆ 40.xx เขาปัดลง


เข้าไปรอข้างใน เพราะด้านนอกหนาวมาก มีคนรอรถน่าจะเที่ยวเดียวกัน 4-5 คน ก็สบายใจได้ ผมรู้สึกว่าท้องมันจะมีน้ำย่อยออกมาอีกแล้ว เลยวางกระเป๋าใหญ่ แล้วเดินไปหาซื้อขนมปังมาทานกันท้องร้องดีกว่า โดยไม่รู้ว่า บันไดด้านซ้ายในรูปนั้น มันคือทางขึ้นไปชั้น 2 ไปซื้อกาแฟและขนมได้ แต่ไม่เป็นไร ได้ไอ้ขนมปังคล้ายๆโดนัทแบบเมื่อวานแต่ไม่มีนูเทลล่า ราคา 2 TL ถูกมากก็โอเคแล้ว


ในที่สุดรถก็เทียบชานชาลาแล้ว มาก่อน 10 นาที ก็จัดแจงเอากระเป๋าล้อลากไปให้พนักงานเพื่อเก็บด้านข้างรถ และพนง.ก็จะให้ต้นขั้วที่ติดกับกระเป๋าเรามาให้เพื่อจะได้ตรงกันตอนลงแล้วมารับกระเป๋าไป(ถ้าพี่ไทยเราก็ไม่มี หรือมีแล้วนะไม่ทราบครับ)


นี่ครับ ภายในห้องโดยสาร เบาะอย่างดี นุ่มสบายเอนได้มาก การจัดเรียงที่นั่งอย่างที่บอกคือ 1+2


ผมได้ที่นั่ง 31 แบบที่นั่งเดี่ยว เจ๋งมากๆ และก็มีจอทีวีส่วนตัว(PTV)ทุกที่นั่ง เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ดูอะไรหรอกครับ หลับ และใช้พอร์ท USB ชาร์จมือถือแบบช้าๆกันไป


นี่ไง ตั๋วผม ที่นั่ง 31 ราคา 55 TL ออกตี 5 ครึ่ง



มาดูแผนที่เส้นทางที่จะเดินทางโดยรถบัสในครั้งนี้กันก่อนครับว่าไปทางไหน จะไดเห็นภาพกัน จะสังเกตเห็นว่า ช่วงท้ายจะต้องข้ามทะเล(ข้ามทวีปจากตุรกีฝั่งยุโรปมาตุรกีฝั่งเอเชีย)นั่นคือช่องแคบดาร์ดะเนลส์เชื่อมต่อทะเลอิเจี้ยนทางด้านซ้ายกับทะเลมาร์มาร่าทางด้านขวา


พอรถออกก็เริ่มหลับแล้วครับ ง่วงนอนจริงๆ มาตื่นอีกทีเมื่อรถชะลอตัวและมาจอดให้คนลงและรับคนที่ท่ารถ Keşan Otogarı ท่านี้ เวลา 8.40 น.


9.18 น. พนักงานก็มาเสริฟของว่าง ขนม และกาแฟ 3 in 1 ไม่อร่อยเช่นเดิม แต่ขนมอร่อย


ระหว่างทาง วิวทุ่งสีดอกไม้สีเหลืองสวยจัง มันคือดอกอะไรนะ ปลูกกันทั่วไปเลย ต้องเป็นพืชเศรษฐกิจ เหมือนที่ปลูกในหุบเขานูบร้า ลาดักห์


ตอนนี้เหมือนกับรถจะเลี้ยววนกลับเล็กน้อยไปที่ไหนสักที่ ยังงงๆเลยว่า จะกลับไปไหนหว่า ย้อนไปย้อนมา


แล้วก็มาเฉลยคือ มันคือท่ารถนั่นเอง ตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือในแผนที่บนมือถือด้านบนนั่นเอง ประมาณว่า จะลงรถแล้วไปต่อเรือได้เลย หรือคนที่มาจากเรือก็มาต่อรถที่นี่ได้เช่นกัน แต่ยังไม่ถึงท่าเรือที่เราจะข้ามฟากไปนะครับ


รถแล่นเลียบช่องแคบดาร์ดะเนลส์มาเรื่อยๆ ชอบมากๆ บรรยากาศดี วิวสวย แดดยังไม่ร้อน และก็จะเลียบแบบนี้จนไปถึงท่าเรือข้ามฟากกันเลยหล่ะครับ


ดูแผนที่ Google เหลืออีก 24 กม. หรือ 22 นาทีก็จะถึงท่าเรือ Gestas Eceabat Ferry Pier เพื่อข้ามฟากกันแล้ว



มาดูคลิปบนรถบัสตอนเหลือ 10 นาทีก่อนจะถึงท่าเรือ Gestas Eceabat Ferry Pier


แล้วก็มาถึงท่าเรือ Gestas Eceabat Ferry Pier ในเวลา 10.43 น. รถบัสกำลังแล่นเข้าไปในเรือเฟอรรี่ครับ ตื่นเต้นๆ อ้อ...เราไม่ต้องจ่ายค่าเรือเฟอรี่อีกนะครับ เพราะตั๋วรถบัสได้รวมไปแล้วทั้งหมด


พอรถบัสแล่นเข้าไปในเรือเฟอรี่เสร็จ เข้าเกียร์จอดรถ เปิดประตูแล้วก็ดับเครื่อง หลายคนในรถก็เดินลงมานอกรถเพื่อสำรวจเรือกันครับ รวมทั้งผมด้วย
ปล.ผมเพิ่งมาทราบตอนไปเมืองทรอยว่า คำว่า Truva แท้ที่จริงคือคำภาษาตุรกี ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ แปลว่า ทรอย คือเมืองทรอยนั่นเองครับ ป๊าดดด....โธ่ มิน่า ทำไมรถเจ้านี้ใช้คำนี้ และมีม้าไม้เมืองทรอยเป็นสัญลักษณ์ เฮ้อ เพิ่งมาเก็ต


ขึ้นไปชั้น 2 ของเรือกันเลย จะบอกว่า ลมอย่างแรงนะครับ จับหมวกดีๆ ไม่งั้นปลิวตกทะเลไปได้


ภายในห้องผู้โดยสาร อุ่นเลยครับ แต่ไม่ค่อยมีคนนั่งหรอก เพราะคนส่วนใหญ่จะออกไปชมวิวกัน


ด้านท้ายของเรือซึ่งจะเป็นด้านหน้าของเรือต่อไปเมื่อถึงฝั่ง เห็นภาพนี้แล้วนึกถึงตอนเอารถส่วนตัวขึ้นเรือเฟอรี่ไปเกาะช้างจังครับ


ตรงนี้เป็นที่นั่งกลางแจ้ง ไม่มีคนเลย อิอิ เช้าอยู่มากๆ


เห็นธงชาติตุรกีบนเนินเขา


รีบเปลี่ยนเลนส์เป็นเลนส์เทเล EFS 55-250 mm. โดยพลัน แล้วส่องด้วยระยะ 250 mm. ระยะไกลสุดเท่าที่เลนส์ให้ได้ ก็จะเห็นธงชาติแจ่มๆ ชัดๆ


วนมาด้านหน้าทางเข้าของรถ เที่ยวนี้คนน้อยมากครับ


อนุสาวรีย์ Tarihe Saygı Anıtı อยู่ริมทะเล ติดกับท่าเรือเลย


ไม่นานเรือก็เริ่มออกจากท่าแล้วครับ ค่อยๆแล่นอย่างช้าๆแต่มั่นคงมุ่งหน้าไปกลางช่องแคบดาร์ดะเนลส์ นกนางนวลหรือไม่ที่ชอบบินขนานไปกับเรือ บินมาเป็นฝูงเลยครับ ภาพนี้จับได้ 5 ตัวในเฟรมเดียว เยอะสุดแล้ว


ตรงเขาที่เห็นธงชาติตุรกีคือ Dur Yolcu Silületi เป็นฝั่งยุโรปที่เรือแล่นออกมานะครับ


เรืออะไรหว่า.... จริงๆมีเรื่องให้ตื่นเต้นครับ มีเรืออะไรไม่รู้แล่นขวางเรือเฟอรรี่ลำนี้ที่ผมกำลังใช้บริการอยู่ คือแบบคิดว่าจะชนกันซะแล้วสิ ให้ตายเถอะ ไว้ไม่ลืมจะเอาคลิปที่ไลฟ์บนเฟสบุคมาลงนะครับ


Kilitbahir Kalesi หรือปราสาท Kilitbahir ซึ่งยังอยู่ที่ฝั่งยุโรปครับ


พอมาถึงกลางทะเล มีนกบินโฉบมาหลายตัวมากๆ รีบลงไปเอาทั้งกระเป๋ากล้องมาเลย เพราะตอนแรกมีแค่เลนส์คิทตัวเดียว ซูมไม่ถึง กะจะเปลี่ยนเป็นเลนส์เทเล 55-250 mm. แล้วก็ได้ผล ซูมไปแล้วกดชัตเตอร์รัวๆ ถ่ายยากนะครับ บินไวมากๆ แล้วก็ได้ภาพนี้มา เพอร์เฟ็คที่สุดแล้วครับ แบล็คกราวด์เป็นท้องฟ้าสีฟ้าสวยด้วย บางภาพได้แบล็คกราวด์เป็นเมฆสีขาว ไม่สวยเลย
ภาพนี้นกตัวนี้กำลังกางปีกแบบสุดๆ เรียกว่ากำลังเหินหล่ะครับ สวยงามมากๆ คุณสมบัติของเลนส์ที่มี IS(กันสั่น) และ STM(มอเตอร์แบบสเต็ปปิ้ง เงียบและไว) ทำงานได้เต็มหน้าที่ของมันเลยครับ


มาดูนกบินแบบแอนิเมชั่นกันบ้าง


อีกรูปครับ


แล้วก็ใกล้ถึงฝั่งเอเชียแล้ว เรือยอร์ชจอดเยอะแยะไปหมด


ลำนี้มันเรืออะไร เล็กจัง 555


ในที่สุดก็มาถึงฝั่ง ชานักกาเล่ฝั่งเอเชีย ในเวลา 11.40 น. เรือใช้เวลาเดินทางในทะเล 30-40 นาที


งงตัวเอง ลงจากรถเสร็จ จะเดินออกไปเฉยเลย แล้วก็หันกลับมาถ่ายรถ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า อ้าวเฮ้ย....ยังไม่ได้เอากระเป๋าล้อลากออกมาจากรถนี่หว่า ดีนะที่รถยังไม่ออกไปไหนเพราะยังมีคนกำลังรอกระเป๋ากันอยู่ เฮ้อ....ขี้ลืมเอามากๆ


มุมนี้คือด้านหน้าทางเข้าท่าเรือฝั่งเอเชียครับ อ้อ...แนะนำครับ ถ้าจากที่ชานักกาเล่จะไปอิซเมียร์ ผมแนะนำรถบัสเจ้านี้ Truva นี้หล่ะครับ ผมเองไม่น่าเปลี่ยนเจ้าไปใช้ Pamukkale เลย แพงกว่าด้วยและก็ธรรมดานะครับ


อากาศตอนนี้เย็นสบายมากๆ เดินมาอีกนิดเดียวก็เป็นวงเวียนแล้วครับ ใกล้มากๆ โรงแรมจะอยู่ทางขวามือครับ ถ้าดูแผนที่มาไม่ผิด


นี่ไง Anzac Hotel ใกล้เอามากๆ เลือกไม่ผิดจริงๆครับ สุดยอด มีหอนาฬิกาเด่นเป็นสง่าทางด้านขวามือ หาไม่ยากครับ


รีบเข้าไปเช็คอินเลยครับ ตกแต่งสวยงามดีครับ โรงแรมนี้คืนละ 1005.68 บาท ไม่แพงเลยครับ แถมทำเลดีที่สุดแล้ว แนะนำมากๆๆๆ


ได้ห้อง 406 วิวสวยด้วย ครั้งนี้ขี้เกียจเปลี่ยนเลนส์เป็นไวด์ เลยใช้เลนส์คิทที่ระยะ 15 mm. ถ่ายแทน ห้องก็สวยครับ


อีกมุมหนึ่ง


มุมจากหน้าต่างไปประตูทางเข้าห้อง


มาห้องน้ำบ้าง


อ่างอาบน้ำ


มาชมวิวจากหน้าต่างห้องพักกันบ้าง โห...ก็สวยไม่ใช่เล่นเลยนะครับ จังหวะนกกำลังบินมาพอดี ตัวอักษรเลยต้องหลีกให้เจ้านกตัวนี้ อิอิ


ทำธุระในห้องเสร็จก็เดินลงมาด้านล่างครับ แน่นอนว่าจะเดินไปเก็บภาพม้าไม้เมืองทรอย แต่เจอรูปหัวใจนี้ พอดีทางกาชาดตุรกีเขาเอารถมารับบริจาคโลหิตหน่ะครับ เลยมีรูปธีมรูปหัวใจสวยๆบริเวณนี้


เดินไม่ไกลก็เจอแล้ว ม้าไม้เมืองทรอย ตัวนี้คือตัวที่ทางฮอลลีวู้ดที่เสร็จจากสร้างหนังแล้วไม่ได้นำกลับไปเลยมอบให้ทางเมืองชานักกาเล่ไว้เป็นที่ระลึกนะครับ ยังมีอีกตัวที่อยู่เมืองทรอยจริงๆ


มุมใกล้ๆ


เปลี่ยนมาฝั่งนี้บ้างครับ


เปลี่ยนมาใช้เลนส์ไวด์ ได้ภาพสวยๆมีมิติอีกแว้ววว ชอบฟ้ามากๆ


รูปแกะสลักจำลอง TROIA  ผมใช้เวลาที่ม้าไม้เมืองทรอยที่นี่ไม่มากครับ เพราะต้องทำธุระต่อ


ผมไปหาซื้อตั๋วรถไปอิซเมียร์ในวันพรุ่งนี้ไว้ก่อน เลยเดินกลับมาทางโรงแรม ตรงชั้นล่างที่เห็นนี้มีเอเย่นท์รถบัสหลายเจ้าเลย สะดวกไหนเข้าไปเลยครับ ผมเลือก Pamukkale ที่อยู่หัวมุมตึกนะครับ เลือกรอบเช้า 9.30 น. พรุ่งนี้ บอกราคามา 72 TL แพงกว่าออนไลน์อีกคราวนี้ แต่ก็ต้องเอาครับ ขี้เกียจเปลี่ยนเจ้าแล้ว ออนไลน์ 65 TL นะครับ ที่นี่เก็บค่าเอเย่นท์ไป 7 TL(อัพเดท ณ ปัจจุบัน ราคาตั๋วออนไลน์ขยับไปราคา 73 TL แล้วครับ) ซื้อเสร็จก็เดินไปท่ารถตู้ที่จะไปเมืองทรอย(Truva) ที่ห่างออกไป 30 นาทีกันเลย 
แล้วไว้มาอ่านต่อในตอนหน้านะครับ ซากปรักหักพังของเมืองทรอย(Ruins of Troy)


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น