วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 3 เปลี่ยนแผนจากทะเลสาบแปงกองไปหุบเขานูบร้า(Nubra valley) ผ่านคาร์ดุงลาพาส ถนนที่สูงที่สุดในโลก


วันนี้เป็นวันที่ 3 ที่เราอยู่ในลาดักห์ อินเดีย วันนี้จากเดิมเราต้องเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบแปงกองตามแพลนเดิมที่วางไว้ (แพลนเที่ยวดูได้จากตอนที่ 1) แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนเพราะซาลิมได้แจ้งกับเราว่า ถนนที่ไปทะเลสาบแปงกองตอนนี้ปิดคงเป็นดินหรือหิมะถล่มอะไรสักอย่าง ไม่สามารถเดินทางไปได้ ทำให้เราต้องเลื่อนแผนในวันต่อมามาใช้ในวันนี้แทน ทำให้เราไปถนนที่สูงที่สุดในโลกเร็วขึ้นมา 1 วัน โปรแกรมในวันนี้เลยเป็นดังนี้

Leh – Khardung La Pass - Nubra valley - Deskit - Hundar

ซึ่งก็คือ เราจะไปเที่ยวหุบเขานูบร้า(นูบร้า วัลเลย์) ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเลห์แทน และยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เราจะไปค้างที่หมู่บ้านฮุนเดอร์ด้วย เรียกได้ว่า เกือบจะอยู่สุดปลายเขตแดนอินเดียกับปากีสถานกันเลยทีเดียว ถ้าพร้อมกันแล้วก็ตามกันไปเลยครับ

อัพเดทเพิ่มเติม : ผมไปหาข้อมูลมาเพิ่ม ปรากฎว่า คาร์ดุงลาพาสนั้น จริงๆแล้วไม่ได้เป็นพาสที่สูงที่สุดในโลก หากแต่สูงเพียง 5,359 เมตร ที่เคลมกันว่าสูงที่สุดนั้นไม่จริง! ซึ่งพาสที่สูงที่สุดในโลกคือพาสที่ชื่อว่า มานาพาส (Mana Pass) ตั้งอยู่ที่ชายแดนอินเดียกับทิเบต Badrinath, Uttarakhand, Indiaที่มีความสูง 5,545 เมตร ด้วยกัน


แผนที่สำหรับการเดินทางในวันนี้ (คลิกเพื่อขยายดูภาพใหญ่) ระยะทางจากโรงแรมที่พักในเลห์ไปหมู่บ้านฮุนเดอร์ หุบเขานูบร้า(Nubra valley) = 123 กม. ถ้าใช้เวลาขับอย่างเดียว 3 ชม. 14 นาที


วันนี้เราตื่นเช้ากันหน่อยครับ เพราะต้องเดินทางกันไกลทีเดียว ลงมาทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ มีขนมปังปิ้ง แยมอปิคอต ชานมเย็น เครื่องดื่มที่เคยชอบมากๆ ไปที่ไหนต้องสั่งตลอดคือกาแฟ แต่ครั้งนี้ต้องงด เพราะกลัวปวดหัวจากความสูงแล้วยังมาปวดหัวกับกาแฟอีก เลยดื่มชาอย่างเดียวเลย


ทานอาหารเช้าเสร็จก็เริ่มเดินทางกัน รถออกมาเรื่อยๆ ก็ค่อยๆห่างจากหมู่บ้านมาทุกที ตอนนี้เริ่มเข้าสู่เส้นทางบนภูเขาแล้ว ระหว่างทางก็จะเจอกับแก๊งรถช๊อปเปอร์ของคนท้องถิ่นบิดเร่งแซงออกไป เส้นทางนี้ไม่มีเหงาจริงๆ


เห็นอะไรเป็นเส้นๆ ไหนลองซุมเข้าไปดูซิ เป็นฝูงแพะนั่นเอง พวกนี้ชอบเดินบนที่สูง


ด้านล่างเป็นหมู่บ้านอะไรสักอย่าง ทุ่งเขียวขจีเชียว


แล้วก็ต้องขับผ่านรถทหารซึ่งจอดชิดซ้ายเป็นแนวยาวทีเดียว สงสัยคงจอดเช็คกำลังพลก่อนไปต่อนะครับ


ยิ่งสูงเข้าไปเรื่อยๆ ณ ตอนนี้มองลงมาเห็นวิวลำธารสีขาวหยักไปหยักมาหล่อเลี้งผู้คนแถบนั้น


ถนนที่เราผ่านมาทอดยาวตามไหล่เขา เป็นถนนเลนเดียวแต่ต้องขับสวนเลนกัน


พับไปพับมาเห็นแล้วไม่น่าเชื่อว่าขับผ่านมาแล้ว


ยิ่งสูงก็ยิ่งเห็นหิมะปกคลุมด้านบนของภูเขากันแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงทุกที


รถมาจอดที่จุดแรกครับ เป็นจุดเช็คพอยท์จุดแรก หรือเรียกว่า Traffic Control Post คนขับก็จอดรถแล้วรีบวิ่งเอาเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านใน เราก็เดินลงมาจากรถด้วย อากาศเย็นมากครับ ต้องรีบใส่ถุงมือผ้าเป็นครั้งแรกกันเลย สักพักคนขับก็วิ่งกลับมาที่รถแล้วเริ่มเดินทางต่อ


จากถนนราดยางอย่างดีที่ผ่านมา เริ่มเป็นถนนหินกันแล้ว ทำให้รถขโยกเอามากๆ การทำเวลาเลยลดลงไปอย่างปริยาย ไม่งั้นเด้งไปเด้งมากันแน่แท้


เริ่มเห็นไอหิมะฟุ้งลงมา รถแต่ละคันก็ค่อยๆวิ่งกันไป


เอ๊ะ...รถข้างหน้าทำไมไม่ไป จอดรอกัน 2-3 คัน คนขับรถเราตัวเล็กรีบหยุดรถแล้วก็วิ่งไปดู ดูอย่างเดียวไม่พอ แถมยังไปช่วยเหลือรถที่มีปัญหาอยู่ ปรากฎว่าเป็นรถบัสที่ติดก้อนหินไปต่อไม่ได้ ต้องถอยรถกันทุลักทุเล เสียเวลาไปพอสมควร แต่แล้วก็ไปต่อกันได้ ใจเสียเล็กน้อยเลย


ด้านข้างขวาถนนที่เห็นสีขาวๆ ก็คือหิมะที่ปกคลุมหินและดินนั่นเอง ทำให้ถนนมีน้ำไหลจากหิมะที่ละลายตลอดเวลา นี่เป็นสาเหตุไม่สามารถที่จะราดยางถนนได้ ก็เลยที่ต้องกระดื๊บกันไป เปิดกระจกรถทีหนาวกันเลยทีเดียว


รถค่อยๆไต่เขาไปเรื่อยๆ อากาศหนาวเย็นทีเดียว ต้องจิบชาร้อนๆที่เราเตรียมกันมาจากโรงแรมพอให้ร่างกายอุ่นกันได้


เจอคันหน้าเป็นรถท้องถิ่นครับ ติดธงมนต์เต็มไปหมด นำอะไรมาสักอย่างในรถ เดาว่าน่าจะไปทำบุญที่วัดไม่ดิสกิตก็แถบๆ Sumur นะครับ


วิวหุบเขาเป็นลายพลางทีเดียว เปิดกระจกเพื่อเอากล้องยื่นไปถ่ายรูปเสร็จก็ต้องรีบปิดกระจก ก็มันหนาวนะสิ


และแล้วเวลาประมาณ 9 โมงนิดๆ เราก็มาถึงคาดุงลาพาส(Khardung La Pass) ถนนที่สูงที่สุดในโลกกันแล้ว อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 18,380 ฟุต หรือ 5,602 เมตร ในป้ายเขาจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "World's Highest Motorable Road" หรือจุด/ทางผ่านที่สูงที่สุดของถนนที่ยวดยานพาหนะโดยใช้เครื่องยนต์สามารถไปถึง นั่นคือไม่นับถนนหรือทางเดินที่คนหรือสัตว์ที่ขนของผ่านไปนะครับ


ลงจากรถมาหนาวมากๆ แถบปวดปัสสาวะด้วย ต้องรีบแจ้นไปหาห้องน้ำ

ผมว่า น่าจะเป็นห้องน้ำที่วิวสวยที่สุดในโลกและอยู่สูงที่สุดในโลกก็ว่าได้ครับ เปิดดูอยู่หลายห้องที่ว่างๆอยู่ แต่อย่าไปเข้ามันเลยครับ เพราะทุกอย่างมันเป็นน้ำแข็งไปหมด และก็ไม่โสภาซะด้วยสิ ทำยังไงดี ปวดมาก ก็เลยเดินไปจนสุดทางทางด้านขวา แล้วก็ปล่อยมันไปลงเหวเลยละกัน อิอิ


อีกจุดหนึ่งที่มีป้ายยินดีต้อนรับ ธงมนต์เต็มไปหมด จริงๆแล้วที่นี่ก็มีวัดด้วยนะครับ แต่ต้องเดินขึ้นไปอีก เราคงไม่เสียพลังงานเดินขึ้นไปแน่ๆครับ

รถจอดให้พักที่จุดนี้นานเกินไปแล้ว ผมรู้สึกปวดหัวครับ เพราะจุดที่สูงที่สุดอากาศมันก็น้อยลง มองหาคนขับรถไม่เจอสักที โมโหมากครับ กลัวจะเป็นอะไรซะก่อน สุดท้ายก็เดินมา ผมต่อว่าเขาไปใหญ่ว่าอย่าจอดนาน ไม่รู้เหรอว่าหลายคนเกิดเอาการปวดหัวเพราะออกซิเจนน้อยที่จุดสูงๆแบบนี้ คนขับหน้าจ๋อยไปเหมือนกัน แล้วก็รีบไปต่อครับ


ธารน้ำแข็ง เห็นแล้วเย็นยะเยือก


แล้วรถก็เริ่มลงเขาไปเรื่อยๆ เพราะผ่านจุดที่สูงที่สุดมาแล้ว 10.30 น.ก็มาถึงยังจุดนี้ แถบนี้อากาศเย็นสบายมากครับ ไม่หนาวจนเกินไป และที่สำคัญมีเจ้าตัวนี้ด้วย มาร์มอต(marmot) คือกระรอกขนาดใหญ่ที่อาศัยตามพื้นดิน ส่วนใหญ่จะพบได้จากเทือกเขาสูงๆ เช่น เทือกเขาแอลป์ เทือกเขาร็อคกี้ และก็ที่นี่ ลาดักห์

ในรูปมันกำลังโผล่จากรูของมันเลย ผมต้องค่อยๆย่องเดินไปใกล้ๆ เพื่อจะเก็บภาพนี้ ใกล้มากกว่านี้กลัวหนีหายไปครับ


ฮั่นแน่...ควายเองก็ยังสงสัยในตัวมาร์มอต ว่ามันคือตัวอะไรกันเนี่ย ผลุบๆโผล่ๆ


แถบนี้คือสวนสาธารณะระหว่างทาง แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว วิวคุณวัวเล็มหญ้าอ่อน ชิวมากๆ


แล่นมาสักพัก ฝนก็ตกเม็ดเล็กๆ เรียกว่าเป็นละอองท่าจะถูกกว่า แล้วก็มาถึงจุดเช็คพอยท์อีกครั้งแล้ว


ลงมาถึงที่ราบใกล้ลำธาร ก็จะเจอกับฝูงแพะระหว่างทาง หลากสีสันขนยาวเชียว เนื่องจากภูมิอากาศหนาวนั่นเอง


วิวหุบเขาและขุนเขาไม่จบไม่สิ้น


เหลือบมองไปทางด้านขวามือ เห็นคล้ายๆบ้านของชาวบ้าน คิดว่าเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่อยู่อีกฟาก แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ เพราะสุดท้ายรถก็จะวนไปหาบ้านนั้นในอีกไม่นานนั่นเอง แสดงว่าถนนมันวกข้ามเขาในแต่ละลูกมากมายทีเดียว


นี่คือสะพานที่เชื่อมเส้นทางของเขาทั้งสองลูกที่ว่า


ธงมนต์อยู่เหนือลำธารเต็มไปหมด เห็นแล้วสดชื่นขึ้นมาทีเดียว


เกือบๆ 11 โมงครึ่งก็มาถึงหมู่บ้าน Khalsar หมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาที่ราบ ทำให้เห็นเขาสีน้ำตาลที่อยู่เบื้องหน้าอันแปลกตาออกไป


พื้นที่ราบลุ่มในหุบเขา ได้เห็นสีเขียวและเหลืองอีกครั้งก็ชื่นใจมาทันที


ที่นี่เรายังไม่แวะทานอาหารเหมือนกันทริปของคนอื่นๆ แต่แค่แวะปัสสาวะเท่านั้นเอง


โค้งเส้นทางนี้แต่ละโค้งต้องมีสติและสมาธิเท่านั้น เผลอหน่อยเดียวอาจกลายเป้นผีเฝ้าหุบเขาไปได้


ความกว้างของถนนแบบนี้ขับสวนกันเสียวน่าดู รถเก็งบางคันอาศัยจังหวะเจ๋งๆ แซงรถเราไปก็ถือว่าเก่งมากๆ


และก็มาถึงจุดชมวิวแรกของแม่น้ำ Shyok ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอ่านออกเสียงภาษาไทยยังไง ดูระดับน้ำแล้วไม่เยอะเท่าไหร่ อาจเพราะหิมะยังละลายไม่เต็มที่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ


ถนนช่วงนี้ไม่ติดเหวแล้ว แต่วกไปวนมาน่าปวดหัวดี ป้อมหลังคาสีเหลืองเล็กจิ๋วเดียว


นี่หล่ะครับ บางจุดที่รถต้องสวนกัน ก็จะเป็นแบบนี้ คือต้องลงมาเล็งระยะกันเลยทีเดียว ไม่งั้นมีแลกสีกันแน่ แต่รถฝั่งที่ติดกับเขาต้องเป็นคนขยับนะครับ เพราะอีกฝั่งเป็นเหวคันฝั่งนี้ขยับมากก็จะตกเหวเอา!


วิวที่มองลงมาจากถนน ตอนแรกคิดว่าเป็นหมู่บ้านแต่ที่ไหนได้ เป็นฐานทัพทหารครับ แต่หมู่บ้านเองก็จะอยู่ใกล้เข้ามา

แถบนี้เป็นชายแดน จึงค่อนข้างอ่อนไหวในเรื่องภูมิประเทศ จึงมีฐานทัพทหารอยู่กระจายออกไป


และในที่สุดก้มาเจอสามแยกปากหม... เอ้ย ไม่ใช่ สามแยกที่ถ้าตรงไปจะไปหมู่บ้านปานามิก(Panamik) ที่อยู่ทางด้านเหนือไปอีก ซึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำ Shyok ไป สังเกตได้จากสะพานเหล็กที่เห็นอยู่ไกลๆ
แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปเมืองดิสกิต และเลยออกไปจะเป็นหมู่บ้านฮุนเดอร์ซึ่งเราจะใช้เป็นที่พำนักในคืนนี้


แน่ใจนะว่านี่คืออยู่ในโลกเรา ไม่ใช่ดาวดวงอื่น มีแต่ขุนเขาและหินอย่างเดียวเลย มองหาพืชแทบจะไม่เจอ


เป็นวิวที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต แปลกตามากๆ


มาตรงจุดที่เจอแม่น้ำ Shyok อีกครั้ง


เจอฝูงแพะระหว่างทางอีกแล้ว


บ่ายโมงตรงพอดี เราก็มาถึงวัดดิสกิต หรือ Diskit gompa วัดเก่าแก่มากสุดในหุบเขานูบร้า อายุมากกว่า 500 ปี เป็นวัดในนิกายเกลุกปะ หรือนิกายหมวกเหลือง โดยวัดนี้จะแยกออกเป็น 2 สถานที่ด้วยกัน คือใหม่(New Diskit Gompa) และเก่า(Old Diskit Gompa) รถพาเราไปยังวัดเก่าก่อน

วิวนี้ถ่ายได้จากวัดเก่า มองไปยังวัดใหม่ที่มีรูปพระศรีอริยเมตไตย์ หรือชาวธิเบตเรียกว่า "จัมปะ"


ทางขึ้นไปยังวิหารวัดเก่า


ด้านบนมีกงมนต์ หรือ Prayer Wheel อันใหญ่มาก

สุดท้ายเราไม่ได้เข้าไปด้านในเนื่องจากเหนื่อย เลยชมวิวบริเวณนี้ก่อนที่จะไปยังวัดใหม่


มาถึงยังวัดใหม่ที่ประดิษฐานองค์พระศรีอริยเมตไตรย ดูยิ่งใหญ่และสวยงามมากครับ


อีกมุมหนึ่ง มองไปยังฝั่งเขา


ดูกันเต็มๆตา มีความสูงถึง 32 เมตร


จากจุดนี้มองไปยังวัดเก่า ลมแรงทำให้ธงปลิวไสว


มองลงไปยังหมู่บ้านด้านล่างครับ ตรงขวามือมีศาลาหลังคาสีเหลืองด้วย


โชเตนสามสีอยู่เบื้องหน้าแห่งหุบเขานูบร้า


คำสวดในธงมนต์จะดังก้องตามลมไปยังคนที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา


ตั้งแต่เช้ามาก็ทานอาหารเช้าที่โรงแรมแค่นั้นเอง บ่ายสองโมงนิดๆแล้ว อาหารกลางวันยังไม่ตกถึงท้อง เราให้คนขับหาร้านอาหารให้ในตัวเมืองดิสกิต แล้วก็ไปเจอร้านนี้ มีคนแนะนำมาอีกที


ลาน้อยพร้อมลูกด้านหลังเดินมาหาอาหารกินที่ถังขยะหน้าร้านอาหาร


ที่สั่งไปก็จะเป็นข้าวผัดไข่ มีไข่ราดมาด้านบนน่าทานมาก และอีกจาก(ไม่มีรูป) ก็จะเป็นเส้นโซบะผัดกับไข่ ก็อร่อยเหมือนกัน แต่รสออกเค็มไปนิด แถมทานกันไม่หมดครับ เยอะมากๆ แนะนำให้สั่งแค่จานเดียวก่อนแล้วถ้าไม่อิ่มค่อยสั่งใหม่ เพราะเขาจะทำมาเยอะๆให้แบ่งทานกันได้


ทานเสร็จก็เดินทางต่อ สักพักก็ถึงจุดชมวิวแซนดูน หรือคล้ายๆทะเลทรายนั่นเอง


โค้งไปโค้งมา น่าไปนอนเล่นมั้ย?


ซูมเข้าไปใกล้ๆ


ประมาณ 15.30 น.เราก็มาถึงที่พักที่ Snow Leopard Guesthouse ซึ่งตอนแรกคนขับรถพาเรามาที่ขี่อูฐแต่เราบอกว่ามันร้อนอยู่ จะมาอีกทีพรุ่งนี้เช้า

คนขับรถพาเรามาส่งและตัวเขาเองไปพักที่ที่พักแถบเมืองดิสกิต มิน่า บอกกับเราว่าที่นี่ไม่ดี ไม่แนะนำ ที่แท้ตัวเองพักอีกที่นั่นเอง

เรานัดหมายกับคนขับว่าให้มารับเราอีกทีพรุ่งนี้เช้าประมาณ 8.00 น. หลังจากนั้นเราก็ไปดูห้องพักต่างๆตามที่เจ้าของเกสท์เฮ้าส์พาเราไป อาคารที่ทานอาหารมีห้องพักสวยๆแต่ราคาสูงไปหน่อย เราไม่ได้พัก เลือกมาพักอีกอาคารหนึ่ง เพราะราคาไม่แพงมาก แต่ก็ราคาสูงกว่าปีก่อนๆมากเลย คืนละ 1,000 รูปีแหน่ะ อยู่ไกลแต่ดันราคาแพงกว่าในเมืองอีก


ห้องนี้แหล่ะที่พักเรา มีน้ำมาให้ฟรี 1 ขวด

จะบอกว่า เราเพลียจากการเดินทางเลยนอนพักกันก่อน แต่เหม็นสีที่ทาให่ในห้องมากๆ รู้สึกเจ็บจมูกไปหมด เลยทำให้รู้สึกไม่ดีไปกับที่นี่เลย เปลี่ยนห้องก็ไม่อยากย้ายแล้วด้วย


ห้องน้ำครับ ที่เห็นถังๆ เป็นที่ต้มน้ำร้อนจากแก็สครับ ทันสมัยทีเดียว


นอนพักสักชั่วโมงก็ตื่นมาถ่ายรูปบริเวณที่พัก มีต้นแอปเปิ้ลอยู่ แต่ผลยังเล็กๆอยู่เลย เลยไม่ได้ทานแบบน้องบุ้งกี๋ :(


สวนดอกไม้สวยๆบริเวณที่พัก


ที่นี่ทานอาหารกันตอน 1 ทุ่ม เป็นแบบบุฟ่ฟ่ต์ ราคาต่อคนๆละ 200 รูปี อาหารก็เป็นแบบที่เห้นครับ พอประทังชีวิตไปได้ 1 มื้อ

ที่นี่เราจะเจอคนไทยด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้ทักทายกัน ได้ยินแต่เสียงคุย จะว่าไปแล้ว เราเจอคนไทยที่ลาดักห์ตั้งแต่วันแรกเลย ที่โรงแรมรียุล แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันอีก ต่างคนต่างมีภาระกิจและโปรแกรมที่จะทำของตัวเอง

สรุปวันนี้เดินทางโดยนั่งรถขโยกมาตลอดทั้งวัน ถึงกับมีไข้นิดๆเลยทีเดียว บวกกับกลิ่นสีใหม่ในห้องอีก ทำให้ต้องพึ่งยาพาราไป 2 เม็ดก่อนนอน ก็คงลาไปแค่นี้ครับ แล้วมาดูกันว่าวันรุ่งขึ้นเราจะไปไหนกันต่อ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณกับภาพสวยๆ และบรรยากาศการเดินทางแต่ละสถานที่

    ตอบลบ