วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 5 ในที่สุดก็ได้ไปทะเลสาบแปงกองผ่านชางลาพาส (Chang La Pass) ถนนที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของโลก


วันนี้เป็นวันที่ 5 ในลาดักห์ หลังจากเมื่อวานสลบไสลนอนหลับไม่รู้เรื่องทั้งคู่ มาตื่นอีกทีก็เกือบ 2 ทุ่ม เดินลงไปถามเรื่องโปรแกรมกับซาลิมข้างล่าง ได้ความว่าถนนที่จะไปทะเลสาบแปงกอง(บางคนเรียกทะเลสาบพันกอง) ได้ซ่อมเสร็จแล้ว สามารถไปได้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ดังนั้นถ้าเราจะไป ซาลิมจะนัดเราให้ออกแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทะเลสาบแปงกองกัน ส่วนเรื่องจะไปค้างที่ริมทะเลสาบหรือไม่นั้น เดี๋ยวเราจะตัดสินใจเองอีกครั้งเมื่อไปถึงที่โน่นว่าจะเอายังไงดี เผื่อถ้าอากาศหนาวมากๆ คิดว่าคงไม่ไหวที่จะค้างจะได้ให้คนขับรถขับกลับในตอนเย็นเลย

Leh - Chang La Pass - Pangong Lake - Leh


แผนที่การเดินทางวันนี้ (คลิกเพื่อขยายภาพใหญ่) โดยเริ่มจากโรงแรมที่พักในหมายเลข 1 ไล่ไปตามสถานที่สำคัญเรื่อยๆ จนถึงจุดหมาย ทะเลสาบแปงกอง(พันกอง)ในหมายเลข 11 


เช้านี้เราจึงตื่นมาแต่เช้าตรู่ 6 โมงตรง ทานอาหารที่ทางซาลิมได้ทำให้แบบง่ายๆ เป็นแป้งนาน(คล้ายโรตี) มีเนย และแยมแอพริค็อต และชานมร้อน มาที่นี่ผมไม่ได้แตะกาแฟเลย เหตุเพราะกลัวปวดหัว ลำพังปวดหัวจากระดับความสูงพอแล้วไม่อยากปวดมากขึ้นไปกว่าเดิม เลยเลี่ยงๆกาแฟที่เคยชอบทานประจำ


เส้นทางที่ใช้นั้นจะเป็นเส้นทางออกมาจากเมืองเลห์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เส้นเดียวกับที่มาเที่ยวกอมปา(วัด) ในตอนที่ 2 โดยผ่านพระราชวังเชย์มา แล้วเข้ามาที่เมืองคารุ(Karu) โดยจะมีสามแยก ถ้าจะไปวัดเฮมิสก็ต้องออกไปทางเส้นทางขวามือแล้วข้ามแม่น้ำสินธุไปและถ้าจะไปมะนาลีก็ไม่ต้องข้ามแม่น้ำสินธุโดยยาวไปตามถนน Keylong-Leh แต่ถ้าจะไปทะเลสาบแปงกองก็ต้องใช้เส้นทางซ้ายมือโดยจะผ่าน Change La Pass ถนนที่สูงที่สุดในโลกอันดับ 3 ก่อนจะถึงทะเลสาบแปงกองที่อยู่ไกลออกไป 113 กม.

แต่เดี๋ยวก่อนครับ รถมาจอดที่สามแยกนี้ยาวทีเดียว ก็เลยสงสัยว่ารถติดอะไร สุดท้ายได้คำตอบว่า รถต้องรอสัญญาณจากด่านข้างหน้าก่อนว่า รถที่จะกลับมาจากทะเลสาบแปงกองกลับมาหมดแล้ว ต้องรอให้รถแล่นมาก่อนทางฝั่งนี้ถึงจะไปได้ คราวนี้เลยใจไม่ดีว่าจะได้ไปหรือเปล่าน้อ


เลยฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นถ่ายรูปไปพลางๆแถวนี้ก่อน เพราะทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้ามองย้อนกลับไปวิวที่เห็นคือเส้นทางที่เรามาจากเมืองเลห์ ผมยืนอยู่ตรงเกาะกลางถนน ทางซ้ายไปวัดเฮมิสหรือมะนาลี ทางขวาไปทะเลสาบแปงกอง


มาเลห์ก็ต้องซื้อเลย์ทานครับ มีอยู่หลายรสให้เลือกเลย ถ้าที่อินเดียจะมีรสมาสซาล่า แกงของชาวอินเดียเขา แต่ผมไม่ลองหรอกนะ ซื้อรสมันฝรั่งธรรมดาพอ 20 รูปีหรือ 10 บาทนิดๆเอง


แล้วก็มีร้านขายผักผลไม้สดด้วย มีชาวบ้านมาซื้อไม่ขาดสายเลย


ที่ลาดักห์จะสังเกตเห็นหินที่วางเรียงรายอยู่จะมีตัวอักษรฮินดีแกะสลักอยู่ทั้งนั้นเลย ไม่รู้แปลว่าอะไร และใครขยันแกะสลักหินขนาดนั้นนะ หรือเป็นคำสวดมนต์ก็ไม่ทราบได้ครับ


เจอสุนัขเจ้าถิ่นยืนจ้องมองมา เลยเก็บภาพไว้เป็นหลักฐาน สีมันคล้ายๆกับตัวที่อยู่ที่พระราชวังเลห์เมื่อวานนี้เลย


เสียเวลาไปเป็น 2 ชั่วโมงครับ แต่สุดท้ายก็ได้เวลาเดินทางสักที คิดว่าไม่ได้ไปอีกซะแล้วเชียว
ที่เห็นไกลๆคือ Chemrey Gompa เป็นวัดที่อยู่มาทางเส้นที่วิ่งรถมาทางซ้ายมือของสามแยกที่ว่า เนื่องจากอยู่ไกลจึงไม่ค่อยมีใครมาเท่าไหร่ แถมยังอยู่ลึกออกไปจากถนนใหญ่อีกด้วย


บริเวณใกล้ๆกับวัดเชมเรย์จะมีทุ่งมัสตาร์ดสีเหลืองอร่าม ด้านหลังออกไปตรงเขาเหมือนกับฝนจะตกเลยครับ มืดทีเดียว


ต้นอะไรไม่รู้ดอกสีชมพูสวยดีจัง ขึ้นแซมอยู่ข้างๆกำแพงหินข้างถนน


ไม่รู้ว่าเจ้าวัวตัวนี้จะพยายามจะเล็มดอกมัสตาร์ดหรืออย่างไร อร่ามสวยงามมากครับ


รถไต่ระดับขึ้นเขามาเรื่อยๆ เผยให้เห็นเส้นทางที่เราได้ผ่านมาเมื่อสักครู่ จะเห็นแปลงพืชที่เป็นสีเหลืองๆปลูกสลับกับพืชสีเขียวปกติ แลดูสวยงามมากๆ ส่วนใหญ่จะปลูกพืชแบบนี้ตรงหุบเขาที่เป็นที่ราบ ตรงนี้ถ้าฝนตกมาพืชเหล่านี้ก็จะได้รับน้ำไปเต็มๆ


ผ่านฝูงแพะภูเขาอีกแล้ว ฝูงนี้มีเยอะมากๆ และพวกมันถนัดนักกับพื้นที่เอียงๆแบบนี้ เล็มหาของกินได้สบายเลย


 รถแล่นมาสักพัก พอมองย้อนออกไปตามไหล่เขาที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าเส้นทางจะเป็นแบบที่เราเห็น


มุมมองจุดนี้เรียกได้ว่าเส้นทางที่ผ่านมานั้นเป็นรูปตัว Z ยังไงยังงั้นเลย


มาถึงบริเวณนี้ที่เรียกว่า ZINGRAL ทางการลาดักห์จะเขียนชื่อพื้นที่บริเวณนี้ด้านข้างเขา ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้หินมาเรียนตัวกันหรือเปล่า ทำให้คนขับรถที่จะอยู่ไกลแค่ไหนก็จะเห็นข้อความนี้ได้อย่างชัดเจน


10.10 น.ก็มาถึงช่วงที่ถนนดูย่ำแย่ มีหินก้อนใหญ่ๆตกลงมาจากบนเขา ต้องค่อยๆไปกัน แถมทางข้างหน้าก็เป็นหินหยาบๆก้อนใหญ่ๆ ไม่เรียบเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา นั่งไปก็โขยกกันไป


ไม่นานนัก 10 โมงครึ่งเราก็มาถึงชางลาพาส Chang La Pass ถนนที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของโลก สูงด้วยระดับความสูง 17,586 ฟุต หรือ 5,360 เมตรจากระดับน้ำทะเล



โชคดีได้เห็นเจ้าจามรีกับตาแล้ว ตอนเด็กๆเคยอ่านหนังสือการ์ตูน Tin Tin in Tibet ก็จำมาเรื่อยๆ ว่าจะพบอยู่แถบที่สูงเช่นในทิเบต หรือเนปาลแถบๆนั้น


บนนี้อากาศหนาวเย็นครับ แต่รู้สึกจะไม่หนาวเท่าเมื่อวันก่อนบนคาดุงลาพาส อันนั้นถนนที่สูงที่สุดในโลกอันดับ 1 เลย


ป้าย Chang La นี้อยู่ตรงกลางถนนเลย ให้รถแล่นแยกออกจากกันซ้ายและขวา เราเหลือระยะทางอีก 70 กม.ก็จะถึงทะเลสาบแปงกอง


ส่วนด้านขวามือจะเป็นทางเดินขึ้นไปเห็นมีอาคารอยู่ 1 หลังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรเพราะเราไม่ได้เดินเข้าไป


ตรงข้างๆที่ทำการของทหารอินเดียก็จะเห็นลาหรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะขนฟูมากๆ คงใช้เป็นสัตว์ลำเลียงสิ่งของต่างๆที่ไม่ไกลนัก คล้ายๆในพูนฮิลล์ เนปาลเลย ใช้ลาเหมือนกัน


ผ่านจุดที่สูงที่สุดของถนนช่วงนี้แล้วก็จะลงเขาไปเรื่อยๆ ณ จุดนี้เห็นรถ 6 ล้อบรรทุกน้ำมันคว่ำไม่เป็นท่าเลยอยู่ข้างทาง เตือนใจเราว่าต้องขับรถด้วยความระมัดระวังสูงและไม่ประมาท แต่ไม่รู้คนขับเราจะคิดเหมือนกันเปล่านะ


เราแวะสูดอากาศบริสุทธิ์บริเวณนี้ก่อน ได้ทีเห็นเจ้าตัวมาร์มอต(marmot) ออกจากรูมาเดินหาอาหารกันถึง 2 ตัวเลย เราเจอครั้งแรกในเส้นทางที่ไป Nubra Valley


พอรถพาเรามาถึงตรงจุดนี้ คนขับเราแกล้งบอกว่าถึงแล้วทะเลสาบแปงกอง 555 ทำเป็นหลอกเรา ผมไม่เชื่อหรอก ทะเลสาบบ้าอะไรมีอยู่จิ๊ดเดียว เล็กมากๆ พอรู้ว่าหลอกเราไม่ได้ก็หัวเราะใหญ่


รถยังคงแล่นพาเราไปตามถนนเลาะริมเขาเรื่อยๆ ถนนบริเวณนี้ก็ดูไม่หวาดเสียวเท่าถนนที่ไป Nubra Valley เพราะเป็นเหวที่ไม่ลึกมาก และรถก็ไม่เยอะมากด้วย


เริ่มเห็นเสาไฟริมทางแล้ว คงจะมีบ้านพักหรือค่ายอะไรสักอย่างบริเวณนี้ จุดหมายข้างหน้าคือเขาสีน้ำตาลดำทะมึน แทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นทางไปเจอทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์อันโด่งดัง


หลักกิโลเมตรบอกว่าเหลืออีก 4 กม.จะถึง DURBUK แล้วมันคือที่ไหนละเนี่ย


ข้ามสะพานไปก็จะเป็นด่านตรวจ(Tangse Police Check Post) นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปลงชื่อก่อนที่จะผ่านต่อไปได้


ผมลงไปเช็คโดยต้องนำพาสปอร์ตลงไปด้วย เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่ดู(แต่งตัวอย่างกับลามะเลย) และเขียนชื่อนามสกุล พร้อมเลขหนังสือพาสปอร์ตและสัญชาติของเรา


เดินกลับจะขึ้นรถ อ้าว...แถวยาวเบื้อยเลย ดีนะที่เราลงไปเช็คก่อน ไม่งั้นรอคิวนานแน่ (ดูแล้วน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน)


ระหว่างทางจะเป็นที่ราบลุ่มแล้ว เราจะพบแพะเล็มหญ้าอยู่เนืองๆ ขนสีขาวโดนลมปลิวไสวเลยครับ สวยดี


และบริเวณใกล้เคียงก็จะเจอตัวมาร์มอต(marmot) อีกแล้ว เจอเป็นคู่เช่นเดิม 2 ตัว


เลยมาอีก 4 นาที ก็เจอกับจามรี คราวนี้แต่งองค์ทรงเครื่องถึง 2 ตัวด้วยกัน สีดำและสีขาว เจ้าของนำมาผูกไว้ให้นักท่องเที่ยวมาขี่หลังแล้วเก็บค่าบริการหรือเปล่าไม่แน่ใจ


มาถึงบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่แบบทะเลทราย ฝุ่นทรายปลิวกระทบรถตลอดเวลาต้องปิดกระจกไว้ตลอดกันทรายเข้ามาได้


ไม่นานนัก บ่ายโมงนิดๆ ภาพทะเลสาบแปงกองก็เผยโฉมเป็นวิวแรกที่จุดชมวิวที่ทำไว้ข้างถนนให้นักท่องเที่ยวได้จอดรถอย่างปลอดภัยแล้วเก็บภาพไว้ เราตื่นเต้นถ่ายมาหลายช็อตมาก (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


จนรถค่อยๆแล่นผ่านแล้วได้เจอกับทะเลสาบแปงกองแบบเต็มๆซะที ไม่โดนสันเขาบังอีกต่อไป เห็นสีน้ำทะเลสาบแปงกองถึงกับอึ๊งครับ สีฟ้าเข้มสวยมากกกกกๆ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


แล้วรถก็มาจอดที่จอดรถที่จัดไว้ให้ เราเดินลงออกจากรถมาก็มุ่งไปทางโค้งของทะเลสาบแปงกองอย่างไม่ต้องสงสัย เราได้มาถึงจริงๆแล้วหรือนี่ งงๆกัน (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ถ้าไปต่อตามทางขวามือก็จะไปหมู่บ้านสแปงมิก(Spangmik) (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ตรงนี้เป็นที่จอดรถซึ่งข้างๆจะมีร้านอาหารขายอยู่ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


Pangong Tso หรือ Pangong Lake (Tso แปลว่าทะเลสาบในภาษาทิเบต) เป็นทะเลสาบที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลายา บนความสูง 4,350 เมตร ยาว 134 กม.จากอินเดียถึงทิเบต ประมาณ 60% ของความยาวทะเลสาบอยู่ในทิเบต กว้างประมาณ 5 กม.ในส่วนที่แคบที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ 604 ตารางกม. อยู่ในดินแดนถึง 2 ประเทศคือ อินเดีย และจีน(ทิเบตถือเป็นส่วนหนึ่งของจีน) (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


อุณหภูมิรอบทะเลสาบเย็นสบายครับ มีลมพัดมาตลอดเวลา (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


เราเดินหามุมถ่ายรูปกันไม่เบื่อ โค้งนี้จะเป็นโค้งที่นักท่องเที่ยวมายืนชมกันมากที่สุด (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


เย้ๆๆๆ ได้มาเห็นกับตาจริงๆแล้ว (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ชมกันเรื่อยๆ ครับ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


 ภูเขาสีน้ำตาลเป็นฉากหลังให้กับสีน้ำทะเลสาบได้เป็นอย่างดี (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ลมเย็นสบาย ชิวมากๆค่ะ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


เป็ดน้ำว่ายเย็นสบายใจเฉิบ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ถ้ามาช่วงพย.-พค. ท่านจะไม่ได้เห็นน้ำทะเลสาบแบบนี้ แต่ท่านได้ได้เจอกับสเก็ตใหญ่ๆนั่นเอง เพราะน้ำทั้งหมดจะเป็นน้ำแข็ง (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ธงมนต์โดนลมปลิวไสว คำสวดจะได้ดังไปไกลๆจากจุดนี้ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


นกเป็ดน้ำบ้างก็ขยับปีกบินร่อนไปมาบนทะเลสาบแห่งนี้ พอเหนื่อยก็ลงมาว่ายน้ำต่อ ดูจะมีความสุขน่าดู


ไม่ได้การแล้ว บ่าย 2 โมงครึ่งเริ่มหิวแล้ว ไปหาอะไรทานกันดีกว่าครับ เดินเลือกดูร้านอาหารบริเวณนี้ เอาร้านนี้ละกันนะ Dolma Restaurant เห็นมีทั้งอาหารอินเดียและจีน


เราสั่งอาหารง่ายๆ ข้าวผัดไข่ ไข่ดาว 2 ฟอง และชามะนาวร้อน รสชาติก็พอทานได้ครับ มาแถบนี้เอาอะไรมากกับอาหารเนอะ ยังดีกว่าไม่มีทาน


ทานเสร็จก็เดินเล่นกันต่อ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


 อีกบริเวณหนึ่ง นกเป็ดน้ำเยอะทีเดียว (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ตกลงเราตัดสินใจกันว่าจะไม่พักที่ริมทะเลสาบตรงหมู่บ้านสแปงมิค เพราะดูเงียบๆเหงาๆยังไงไม่รู้ แล้วก็มากัน 2 คนด้วย กลัวอากาศที่หนาวมากๆ ขนาดตอนบ่ายยังเย็นขนาดนี้เลย และที่กลัวที่สุดคือ กลัวว่าสภาพอากาศในวันรุ่งขึ้นจะไม่ดีจนอาจจะกลับไม่ได้ เส้นทางเกิดขาดโดนหินถล่มหละแย่เลย เป็นอันว่าเราเลือกที่จะกลับเลห์หลังจากอิ่มกับการชมทะเลสาบแปงกองนี้ (ทะเลสาบแปงกอง พันกอง)


ขากลับผ่านบริเวณที่มีทะเลทราย จอดรถเพื่อถ่ายทรายที่กำลังพัดไปมาอยู่ ไม่กล้าที่จะออกจากรถลงไปถ่ายเพราะกลัวว่าทรายจะปลิวเข้าเลนส์เสียหายหมด เลยถ่ายในรถนี่แหล่ะ ลมแรงน่าดูเลยครับ


ผ่านโค้งไปโค้งมาจนมึนไปหมด


เจอเจ้านกอะไรไม่รู้ เลยย่องไปถ่ายใกล้ๆ ซูมมาได้แค่นี้เอง


กลับมาบนเส้นทางที่จะต้องผ่าน Stakna Gompa ขอเก็บแสงสุดท้ายของวันก่อนจากลา


และก็มาถึงทุ่งโชเตน(ดัดแปลงมาจากทุ่งเจดีย์ของพุกาม) ที่บริเวณนี้มีโชเตน หรือสถูปสีขาวร้างๆอยู่เยอะมาก ไม่รู้ว่าเคยเป็นอะไรมาก่อนบริเวณนี้ ก่อนจะกลับถึงตัวเมืองเลห์ประมาณ 2 ทุ่ม เพลียทั้งคนนั่งและคนขับทีเดียว

ก็เป็นอันสิ้นสุดของวันนี้ เนื่องจากวันนี้เราไม่ได้ค้างที่หมู่บ้านสแปงมิคริมทะเลสาบแปงกอง ทำให้พรุ่งนี้เรายังมีเวลาเหลือ พรุ่งนี้จึงเป็นวันสบายๆ ไม่มีโปรแกรมแต่อย่างใด เพื่อจะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ครับ หลังจากเหนื่อยจากการเดินทางไกลมา 3 วันติดต่อกัน 

แล้วในวันมะรืนที่จะถึง เราจะต้องเดินทางไกลกันอีกครั้ง โดยเราแพลนที่จะออกจากเลห์ไปศรีนาการ์ตอนเช้าโดยทางรถยนต์แวะลามายุรูผ่านคากริลแล้วค้างที่นั่น ก่อนวันรุ่งขึ้นจะเดินทางต่อไปศรีนาการ์ต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น