เราเลือกที่จะเดินทางโดยรถยนต์แทนที่จะเป็นเครื่องบินที่ใช้เวลาบินเพียงชั่วโมงกว่าๆ ด้วยเหตุผลหลัก คือเพื่อที่จะได้แวะชมสถานที่ต่างๆระหว่างทางจากเมืองเลห์ไปศรีนาการ์ซึ่งเต็มไปด้วย gompa หรือวัดหลายที่ มีจุดตัดของแม่น้ำซันสการ์กับแม่น้ำสินธุ, พระราชวังบาสโก, วัดลิเกอร์, วัดอัลชิ, มูนแลนด์หรือช่วงที่พื้นที่คล้ายๆดวงจันทร์, และที่พลาดไม่ได้คือวัดลามายุรูนั่นเอง และไหว้พระศรีอริยะเมตไตรย์ก่อนจะถึงเมืองแดรส ถึงแม้ว่าด้วยระยะทางจากเลห์ไปศรีนาการ์นั้นไกลมากถึง 440 กม. ก็ไม่ได้ทำให้ย่อท้อแต่อย่างใด
ดังนั้นแผนการเดินทางในวันนี้จะเป็นดังนี้คือ
Leh - Confluence of Zanskar & Indus river - Basgo Palace - Likir - Alchi - Moon Land - Lamayuru - Mulbekh (Maitreya Buddha) - Kargil - Drass
วันนี้เราออกจากที่พักเช้าตรู่เลย คือประมาณ 6 โมงเช้าทำให้ไม่มีเวลาทานอาหารเช้าที่เกสท์เฮ้าส์ รถแล่นไปตามเส้นทาง Srinagar-Ladakh Highway ถนนหลักที่จะไปเมืองศรีนาการ์ไปทางทิศตะวันตกของเมืองเลห์
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากเลห์รถก็แล่นมาถึง Magnetic Hill ที่ซึ่งแปลความได้ว่าบริเวณนี้มีเขาที่มีแรงแม่เหล็กอย่างแรงกล้าสามารถดึงดูดรถที่จอดนิ่งให้แล่นขึ้นเขาไปได้
จอดรถที่เส้นสีขาว(Park your Vehicle)ที่ทำไว้ให้ แล้วดับเครื่อง รถจะถูกดึงดูดขึ้นเขาไปเรื่อยๆ
แต่ความเป็นจริงๆแล้ว เป็นมุมมองที่หลอกสายตาคนเราเอง เรามองเห็นว่าถนนเป็นทางขึ้นเขาซึ่งความจริงแล้วเป็นทางลงเขาซึ่งถ้าดับเครื่องทางลงเขายังไงก็จะแล่นลงอยู่แล้ว สรุปคือโดนหลอกครับ ไม่เฉพาะอินเดียวในไทยบ้านเราก็มีอยู่หลายจุดเลย เช่นทางไปเขาค้อ และอีกหลายจุดที่จำไม่ได้แล้ว
นั่งรถมาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง Confluence of Zanskar & Indus river หรือจุดบรรจบกันของแม่น้ำ 2 แม่น้ำคือแม่น้ำซันสการ์กับแม่น้ำสินธุ ที่เห็นไหลไปด้านหลังตรงกลางคือแม่น้ำซันสการ์ ส่วนแม่น้ำสินธุอยู่แนวขนานกับถนนซ้ายไปขวานั่นเอง
จริงๆแล้วสีแม่น้ำทั้ง 2 จะมีสีตัดกันอย่างชัดเจน(แม่น้ำซันสการ์สีเขียวส่วนแม่น้ำสินธุสีน้ำตาล) แต่ช่วงที่ไปมันเป็นสีน้ำตาลแบบเดียวกัน เลยเสียดายนิดหน่อยครับไม่ได้มาเห็นกับตาว่ามีสีคนละสี
7 โมงเช้าเราก็มาถึงร้านอาหารที่เราจะทานเป็นมื้อเช้าในวันนี้ เป็นซาโมซ่าและแป้งนานโรตี เราลองทั้ง 2 อย่างเลย ดูเขากำลังทำอยู่ร้อนๆน่าทานทีเดียว
ทานแป้งจิ้มกับแกงคล้ายมัสมั่นกับชาร้อนๆให้ร่างกายอุ่นๆไปในตัว มื้อนี้หมดไป 50 รูปี
ร้านนี้ครับที่เราแวะทาน ถ้าดูจากแผนที่จะอยู่ประมาณเขต Nimmoo
เช้าๆอากาศเย็นๆแบบนี้จะพบเห็นทหารอินเดียวิ่งออกกำลังกายกันตามแนวถนน แถวนี้เป็นค่ายทหารครับซึ่งถนนนี้ก็จะมีค่ายทหารหลายค่ายเหมือนกันเพราะเป็นชายแดน
อีกจุดหนึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ภูเขาลายแปลกๆ
ไม่นานนักก็เลี้ยวขวาจากถนนใหญ่เข้าไปยังเส้นทางเล็กๆเพื่อไปถึง Likir gompa เห็นหลังพระอยู่ไกลๆ วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 11 และสร้างใหม่อีกครั้งในศตวรรษที่ 18
จอดรถแล้วเดินขึ้นไปด้านบนกัน จะมีลานโล่ง คนไม่มีเลย
ไหว้พระก่อนครับ องค์พระสูง 7.6 เมตรด้วยกัน อธิษฐานให้เดินทางปลอดภัยแล้วเราจะได้เดินทางกันต่อ
ระหว่างทางกลับสู่ถนนใหญ่ วิวโชเตนกับภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะสวยๆอีกแล้ว
มีรถโรงเรียนมารับนักเรียนไปเรียนหนังสือด้วยครับ เป็นรถของ Ladakh Alchi Institue
จุดหมายต่อไปของเราคือ Alchi gompa ตามกันมาเล้ยยย
ระหว่างทางเจอทุ่งข้าวมอลต์หรือเปล่า? สีทองสวยงามเลย แวะลงถ่ายรูปสักนิด
Alchi gompa อยู่ทางซ้ายมือของถนนผ่านเขต Saspul มาและต้องข้ามแม่น้ำสินธุไปอีกฝั่งหนึ่ง
ถึงแล้วครับ Alchi gompa ด้านหน้าทางเข้าจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่สนใจสิ่งไหนก็ซ์้อหากันได้ครับ
ตุ๊กตาหุ่นเชิดของชาวเลห์ จะเห็นใบหน้าเป็นช้างคือพระพิฆเนศหรือไม่ครับ
ที่ Alchi gompa นี้แปลกกว่า gompa อื่นตรงที่ภายในนั้นประกอบด้วยวัดต่างๆอยู่ด้วยกัน 6 วัด ซึ่งต้องเดินเข้าไปชมในแต่ละวัดข้างใน และยังมีสาขาอีก gompa หนึ่งที่เราได้ไปมาแล้วก็คือ Likir gompa ที่เราได้ไปมาแล้วสักครู่
น่าเสียดายที่ว่าภายในแต่ละวัดนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราจึงไม่มีภาพมาฝากเพื่อนๆดูกัน งั้นก็คงต้องไปให้เห็นกับตาแล้วหล่ะครับถึงจะทราบว่าเป็นอย่างไร
ณ วัดนี้อีกเช่นกัน เราได้เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย(อีกแล้ว)
หมุนกงมนต์เพื่อคำสวดจะได้กระจอนกระจายครับ
เกือบๆ 10 โมงเช้าเราก็เดินทางต่อครับ เส้นทางจะลดระดับลงเรื่อยๆ ผ่านเส้นทางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะทำถนนไปได้ ดูอย่างในรูปต้องตัดเขาส่วนตีนเขาออกไปเพื่อให้ถนนเลื้อยผ่านไปรอบๆ เห้นแล้วก็เสียวจริงๆ ถ้ามันถล่มมาจะทำอย่างไรเนี่ย ?!?!
แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ เลยมองย้อนกลับไปว่าผ่านมาได้อย่างไรห๊ะ
อีก 20 นาทีเที่ยงเราก็มาถึงโค้งนี้ ผ่านโค้งนี้มาก็จะเป็น Moon Land หรือพื้นผิวดวงจันทร์ตรงตามชื่อที่บอกไว้
เหมือนมั้ยครับ พื้นผิวดวงจันทร์?? ซึ่งมาถึง Moon Land ได้ก็หมายถึงใกล้จะถึงลามายุรู(Lamayuru)กันแล้ว
ครับ อีกไม่กี่นาทีก็ถึงทางเข้าลามายุรู รถต้องไต่ระดับเพื่อขึ้นไปยังข้างบน
รถจอดแล้วเดินไปตามทางเข้าเรื่อยๆ เจอแก๊ง 3 คนนั่งรอที่หน้าบันได้ทางขึ้น เหมือนๆกับจะขอเงินนักท่องเที่ยวนะครับ ไม่ใช่พระลามะหรอก
ลามายุรูได้ชื่อว่าเป็นวัด หรือกอมปาที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุดในลาดักห์ ถูกค้นพบโดยน้ำที่อยู่ในทะเลสาบที่ผ่านหุบเขานี้ระเหยแห้งไปทำให้เผยให้เห็นวัดดังกล่าวนี้
ลามายุรูตั้งอยู่เขตเมืองคาร์กิล เขตลาดักห์ตะวันตก บนถนน Srinagar-Kargil-Leh Highway ห่างจาก Fotu La Pass ไปทางตะวันออก 15 กม. อยู่ในระดับความสูง 3,510 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลามายุรูเป็นวัดของลามะนิกายหมวกแดง ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง ในอดีตเคยมีพระลามะอยู่ถึง 400 รูปด้วยกันแต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 150 รูปและต้องไปพักบริเวณหมู่บ้านใกล้เคียงเนื่องจากในลามายุรูเองรับได้เพียง 40-50 รูปเท่านั้น
ลามายุรูจะจัดงานเทศกาลระบำหน้ากากเหมือนๆกับวัดเฮมิส 2 ครั้งต่อปีในประมาณเดือนมีนาคม และเดือนกรกฎาคมของทุกปี
ตอนที่เราเข้าไปจะเป็นช่วงเที่ยง เหมือนจะมีงานอะไรบางอย่าง หรือฉันเพลก็ไม่ทราบได้ มีพระและเณรมาประชุมกับเยอะทีเดียว ได้รับขนมทานด้วยครับ แต่ไม่ได้ถ่ายมาเพราะมืดและถ่ายไม่ทัน
หมุนกงล้อมนต์กันครับ ถือเป็นการสวดมนต์ของชาวทิเบต
วิวที่มองลงไปจากด้านบนนี้ จะเห็นว่าลามายุรูอยู่ในหุบเขากว้างใหญ่กว่ากอมปาที่เราได้ไปมาอยู่เยอะทีเดียวครับ
แล้วเราก็ทักทายกับชาวเลห์ผู้ศรัทธาที่เดินมาพร้อมถือกงมนต์ เราถ่ายรูปเขาและโชว์ให้เขาดูรูปตัวเขาเองในกล้อง เขายิ้มใหญ่เลย
แต่ไปๆมาๆ ป้าคนที่อยู่ทางขวามือของรูปนี้ดันแบมือจะขอเงินเรา หรือค่าถ่ายรูปก็ไม่รู้ เราเลยรีบเดินหนีไปเลย 555 อะไรวะ ขอเงินเฉยเลย
โชเตนด้านบนครับ
อีกวิวหนึ่งที่เห็นถนนโค้งไปมาที่แล่นเข้ามาจากอีกฝั่ง เป็นฝั่งขาไปที่เราจะต้องเดินทางกลับ คนละฝั่งกับที่เข้ามา
เที่ยงนิดๆแล้ว ได้เวลาทานอาหารกลางวันครับ เข้าไปในอาคาร Niranjana เป็นโรงแรมด้วย
สั่งข้าวผัดไข่กับซุปและน้ำสับปะรด ข้าวผัดเยอะมาก ทานกันทั้ง 2 คนไม่หมดแฮะ
ทานอาหารกลางวันเสร็จก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว คราวนี้จุดหมายคือพระศรีอริยเมตไตรย์ที่ Mulbekh ซึ่งอยู่ไกลไปจากลามายุรูหลายชั่วโมงทีเดียว
นั่งไปเรื่อยๆ เกือบๆบ่าย 3 โมงรถก็มาหยุดพักรถและคนที่บริเวณนี้ ใกล้ๆกับ Nepali Hindu Hotel คงใกล้ถึงพระศรีอริยเมตไตรย์ที่ Mulbekh เต็มทีแล้ว
แล้วก็มาถึงแล้วครับ พระศรีอริยเมตไตรย์(The statue of Maitreya Buddha in Mulbekh) ถ้าไม่สังเกตจริงๆ รถอาจจะขับเลยไปก็ได้นะครับเนี่ย พอเห็นแว๊บๆเลยให้คนขับรีบจอดรถแล้วลงไปไหว้พระ ตั้งอยู่ริมถนนฝั่งซ้ายมือถ้ามาจากลามายุรู
เป็นงานแกะสลักบนหินครับ เข้าไปด้านในแคบมากๆ ไหว้เสร็จก็ต้องเดินออกมาเลย
แล้วเราก็เดินทางกันต่อครับ ช่วงนี้บ่ายแก่ๆแล้ว บางช่วงทางก็แสนแคบ มาถึงตรงนี้อากาศไม่ค่อยจะเย็นแล้ว
เกือบๆ บ่าย 4 โมงครึ่งเราก็เริ่มเข้าตัวเมืองคาร์กิลกันแล้ว สังเกตเริ่มเห็นหญิงสาวใส่ที่คลุมหัวกัน บ่งบอกว่าใกล้ถึงย่านมุสลิมหรือเปล่าเอ่ย?
คนขับแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันก่อนถึงเมืองคารกิล(Kargil) เติมไปทั้งหมด 20 ลิตร ลิตรละ 44 รูปี คนขับจ่ายไป 890 รูปี(เราไม่ต้องจ่ายอีกเพราะค่าเช่าเหมารวมไปแล้ว)
เติมเสร็จรถก็แล่นข้ามแม่น้ำ Suru แม่น้ำใหญ่ที่ไหลผ่านเมืองคาร์กิล
รถเข้ามาในตัวเมืองคาร์กิล ตรงนี้จะเป็นย่านชุมชน ผู้คนจากเดิมที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาๆเพราะอากาศหนาวเย็นเปลี่ยนมาเป็นการคลุมผ้าที่ศีรษะแทนตามแบบของชาวมุสลิม นั่นคือเราได้เดินทางผ่านในแต่ละวัฒนธรรมมานั่นเอง
ทุ่งหญ้าสีเขียวกับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานมากๆบนถนนเส้นนี้ บ่งบอกว่าเราเข้าใกล้พื้นที่ลุ่มกันแล้ว
และแล้วก็มาถึงเมืองเล็กๆที่ชื่อว่าแดรส(Drass) จนได้ เหลือบมองนาฬิกาประมาณ 1 ทุ่มตรงพอดี ในรูปเราจะเห็นรถโรงเรียน 2 คันโห่ร้องทักทายกันไปมาเสียงดังทีเดียว
สุดท้ายแล้วคืนนี้เราไม่ได้อาบน้ำครับ เพราะน้ำเย็นและน่ากลัวมาก ขนาดนอนก็ยังนอนผวากันเลย กะกันว่าจะนอนแบบระวังตัวเองตลอดเผื่อเจออะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รู้ตัวและตื่นได้ทัน
เราลงมาเดินดูร้านขายของที่เปิดริมถนนแห่งนี้ ร้านนี้ขายขนมหวาน
บรรยากาศตอน 2 ทุ่มยังคงมีแสงอยู่แต่ร้านต่างๆใกล้ปิดเต็มทีแล้ว คนเมืองแดรสส่วนใหญ่คือคนมุสลิมสังเกตได้จากการแต่งกายและมีมัสยิดประจำเมือง
เราเดินไปตามถนนของเมืองนี้จนสุดร้านขายผลไม้ร้านนี้ก็หมดร้านแล้ว ผมกดชัตเตอร์ถ่ายรูปร้านนี้จากอีกฝั่งหนึ่งของถนน พอกดถ่ายเสร็จไอ้คนขายที่มองมาร้านนี้มันโวยวายใหญ่เหมือนจะให้ผมจ่ายเงินมันค่าถ่ายรูปยังไงยังงั้น เราเลยรีบเดินกลับไปทางโรงแรมที่พัก ไม่หันมองไปทางร้านมันอีกเลย คุยกันว่าน่ากลัวจริงๆ เริ่มรู้สึกกลัวกันมากขึ้นเพราะบรรยากาศและผู้คนเมืองนี้มันไม่เป็นมิตรเอาซะเลย แถมเรายังเป้นคนต่างชาติที่มากันเพียง 2 คนอีก เมืองนี้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆอย่างเลห์ ฉะนั้นนักท่องเที่ยวต่างแดนไม่มีเลย น่ากลัวจริงๆ กลัวจะโดนมันปล้นและทำไม่ดี เพราะถ้าเกิดขึ้นจริงตพรวจก็คงเอาผิดใครไม่ได้ ยิ่งคิดเตลิดไปไกลเลยเรา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น