วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

ล่องแพที่แม่เงา บอกลาความเหงาที่แม่เมย

การรวมตัวกันของเพื่อนร่วมงานในหน่วยงานเก่าได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ได้ห่างหายไปปีสองปี ก็ตั้งแต่ที่ผมได้ย้ายหน่วยงานมานั่นเอง เป็นกลุ่มที่ร่วมกันหาโรงเรียนเพื่อไปบริจาคของกัน ถ้าจำกันได้โครงการที่ว่าคือ "ธารน้ำใจเพื่อการศึกษา" แต่ครั้งนี้มารวมกันเพื่อเดินทางท่องเที่ยวอย่างเดียว การบริจาคของได้เสร็จสิ้นไปเมื่อปลายปีนี้แล้ว เสียดายที่ครั้งนี้ผมไม่มีโอกาสได้ไป

หลังจากที่พวกเราได้นัดกันรอบนอกที่ร้านอาหารแถวๆมวกเหล็ก คุยกันไปคุยกันมา เวลายังไม่ลงตัว บางคนเสาร์นี้ไม่ว่าง บางคนเสาร์หน้าไม่ว่าง จนมีคนหนึ่งที่เสนอไอเดียว่า "งั้นเราพิสูจน์ใจกัน ลางานกันวันศุกร์นี้ แล้วออกเดินทางในกลางดึกของเช้าวันศุกร์" ถ้าเป็นไปตามนั้น เราจะได้เวลามาอีกวัน เป็น 3 วัน 2 คืน จุดหมายคือ อุทยานแห่งชาติแม่เงา และอุทยานแห่งชาติแม่เมย บนทางหลวงหมายเลข 105 ที่ใครๆในนี้หวาดกลัวนั่นเอง ทุกคนตกลงกัน ส่วนผมเลยต้องลาด้วยคนและรีบกลับมากทม.ในวันอาทิตย์เพื่อมาให้ทันงานสำคัญของเพื่อนที่จัดในตอนเย็นวันนั้นนั่นเอง  การเดินทางของพวกเราจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง...


ณ กลางดึกของวันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2551 ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวหลังจากได้รับโทรศัพท์ของคุณวันชัยโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว ดูนาฬิกาก็ประมาณตีสองกว่าๆ คืนนี้ดูจะไม่ได้นอนซะแล้ว เลยมึนๆขับรถจากบ้านพักที่แก่งคอยไปยังตัวเมืองสระบรี จุดนัดหมายคือคอนโดแห่งหนึ่ง เพื่อผมจะนำรถไปจอดและไปกับรถอีกคันซึ่งเป็น 4WD ครั้งนี้ดีหน่อยที่ไม่ได้ขับรถไปเอง สรุปแล้วเราไปกัน 8 คน รถกระบะ 2 คัน

ออกจากตัวเมืองสระบุรีเกือบๆตีสามครึ่ง ขับไปเรื่อยๆ ผมขอตัวงีบหลับเนื่องจากง่วงนอนมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยได้หลับเท่าไหร่ รถแวะซื้อของเล็กน้อยที่ร้านเซเว่นในปัมน้ำมัน และเดินทางต่อไป จนในที่สุดก็ถึงตลาดริมเมย มาสุดเขตชายแดนตะวันตกของไทยก็ที่ตรงนี้แหล่ะ สังเกตจะมีชาวพม่ามายืนด้านล่างไม่สามารถขึ้นมาได้ โดยจะร้องเรียกให้นักท่องเที่ยวซื้อบุหรี่และไวอากร้า ... ใช่แล้ว ฟังไม่ผิดหรอก ยาไวอากร้า

พวกเราแวะเดินเล่นและทานอาหารเช้าที่นี่ก่อนจะเดินทางต่อไปยังแม่ระมาด


หลังจากอิ่มกับอาหารเช้าก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายน้ำพุร้อนแม่กาษาที่เลยจากแม่สอดไปไม่มาก ระยะทางตามหลักกิโลเมตรที่ 13-14 เราแวะที่นี่เพื่อแช่ขาให้เลือดลมเดินสะดวกมากขึ้น บรรยากาศก็ดี อากาศไม่เย็นมากนัก


ขากลับออกถนนใหญ่ ขนาดใช้ GPS ยังหลงๆเลย สุดท้ายขับตามที่ GPS บอกทางมา อ้อมมาอีกเส้นหนึ่ง แต่ได้บรรยากาศที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยไร่นา ไร่ข้าวโพด


11 โมงกว่าๆ พวกเราก็มาถึงยังวัดดอนแก้ว อ.แม่ระมาด วัดที่ขึ้นชื่อว่ามีพระพุทธรูปแกะสลักหินอ่อน เป็นปฏิมากรรมของพม่าที่แกะสลักขึ้นพร้อมกัน 3 องค์ องค์ที่ 1 ประดิษฐานที่ประเทศปากีสถาน องค์ที่ 2 ประดิษฐานที่ประเทศอินเดีย และองค์ที่ 3 ได้อัญเชิญมาจากเมืองย่างกุ้ง ประดิษฐานในวิหารของวัดดอนแก้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงาม มีขนาดหน้าตักกว้าง 50 นิ้ว สูง 63 นิ้ว


ยิ่งดูใกล้ๆ พระพูทธรูปแกะสลักหินอ่อนช่างงดงามมากๆ เหนือคำบรรยายจริงๆ ต้องมาดูด้วยตาตัวเองให้ได้ถ้าใครผ่านเส้นทางนี้ ผมเองพลาดไปสองครั้ง และครั้งนี้จึงไม่พลาด


แต่ละคนต่างก็ช่วยๆกันทำบุญกับวัดดอนแก้ว มีวันชัยคนเดียวได้ผ้าขาวม้าติดมือมาจากการขายของพื้นบ้านที่วัดแห่งนี้ หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางต่อไป ระหว่างทางก็จะเจอกับศูนย์อพยพตามปกติ เราผ่านมาหลายกิโลเมตรสังเกตได้ว่าเจอผู้คนเดินแบกไม้ไผ่เยอะมาก ไม่ขาดสายเลย เอาไปต่อเติมบ้านที่อยู่อาศัยหรือเปล่า


ระหว่างนั่งรถไป ผมก็คิดเรื่องความเหมาะสมของเวลาว่าจะไปที่อช.ไหนก่อนดีเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาและใช้เวลาคุ้มที่สุด คิดไปคิดมาได้ว่าควรไปอช.แม่เงาที่แม่ฮ่องสอนก่อน เพื่อจะได้มีเวลาล่องแพไม้ใผ่ และวันรุ่งขึ้นอาจออกสายๆหรือบ่ายนิดๆเพื่อกลับมายังอช.แม่เมยและแวะไปถ้ำแม่อุสุก่อนเพื่อชมแสงลอดจากท้ายถ้ำก่อนจะวกกลับมานอนค้างที่แม่เมย น่าจะโอเคสุดและตอนเช้าก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพแต่เช้าเพื่อมางานของเพื่อน

บ่ายสองเกือบบ่ายสาม พวกเราแวะซื้อกับข้าวและของจำเป็นที่ร้านหน้าทางเข้าอช.แม่เงา และเข้ามาในอุทยานตามลำดับ ทางเข้าแคบๆ ป้ายไม่ค่อยมี ระยะทางจากปากทางประมาณ 3-4 กม. ตอนแรกคิดว่าจะหลงอยู่แล้วเชียว แต่สุดท้ายเข้ามาก็เปลี่ยนความคิดเลย ถึงแล้วที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่เงา อยู่ในเขต จ.แม่ฮ่องสอน


มาที่อช.แม่เงาแล้วไม่เจอแพไม้ไผ่กับสายน้ำเรียบๆราวกับกระจกของแม่น้ำเงาคงไม่ไช่ที่นี่แน่ ทุกคนที่มาตามโปรแกรมผมถึงกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้มมากๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน และถามผมว่าทราบได้ไงว่ามีสถานที่แบบนี้


ที่อุทยานแห่งชาติแม่เงานี้ พวกเราต้องขอขอบคุณกรมป่าไม้มากๆ เพราะได้ประกาศเขตพื้นที่ป่าที่เป็นต้นสักและป่าเต็งรังมาเป็นพื้นที่อุทยานซึ่งจะกันไม่ให้คนมาตัดไม้ได้โดยง่าย มาที่นี่ร่มรื่นไปด้วยต้นสักที่สูงชะรูดจนบริเวณกางเต็นท์รอบๆร่มรื่นไม่มีแดดส่องมาถึงมากนัก

พวกเราก่อนจะกางเต็นท์ก็สอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องล่องแพ ได้ทราบว่ามี 2 ระยะคือใกล้กับไกล ใกล้ก็คือล่องจากจุดกางเต็นท์ไปที่สะพานก่อนเข้ามาตัวอุทยานราคา 600 บาท/ลำ ส่วนระยะไกลต้องนำแพไปอีก 10 กว่ากิโลเมตรแล้วปล่อยล่องตามกระแสน้ำมาจนถึงจุดกางเต็นท์นี้ ราคา 1,200 บาท/ลำ  ซึ่งในหนึ่งลำสามารถนั่งได้มากสุด 6 คน แต่เรามากัน 8 คนเลยใช้ 2 ลำ ค่าใช้จ่ายก็เฉลี่ยกันไป เราเลือกระยะไกลจะได้มีเวลาเยอะๆคุ้มค่ากับที่ขับรถมาตั้งไกล


ห้องน้ำที่นี่สะอาดมากๆ พวกเรากางเต็นท์เสร็จก็ทะยอยกันอาบน้ำ น้ำที่นี่เย็นเจี๊ยบเลย บางคนก็อาบที่แม่น้ำเงาด้านหน้าที่กางเต็นท์

ตกเย็นพวกเราก็ทานอาหารที่นำมาและช่วยๆกันทำอาหาร ส่วนผมทำไม่เป็นก็เลยเป็นผู้ทานอย่างเดียว อิอิ  พอตกดึกก็ลากันเข้าแต่ละเต็นท์ พรุ่งนี้ต้องการแรงเพื่อไปล่องแพต่ออีก


เช้าวันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2551
ตื่นมาท่ามกลางเสียงนก,กบและเขียด และอีกหลายเสียงจากธรรมชาติโดยแท้ ไม่มีอะไรมาเจือปน ถือว่าเป้นการมาพักผ่อนและสูดอากาศบริสุทธิ์แบบแท้จริง เต็นท์พวกเรากางอยู่ติดกับแม่น้ำเงา แม่น้ำที่ได้รับชื่อนี้ก็เพราะว่าใสราวกับกระจกที่ส่องเห็นตัวเอง


ทานกาแฟร้อนๆพร้อมๆกับละเลียดบรรยากาศสงบๆแบบนี้ไปนานๆ ลืมบอกไปว่าคืนที่ผ่านมามีชุดเราชุดเดียวที่เข้ามาพัก


จริงๆแล้วอช.แม่เงายังมีจุดท่องเที่ยวที่อยู่ภายในเยอะแยะอย่างเช่น ถ้ำปลา น้ำตกโอโละโกร ดอยปุยหลวง ฯลฯ โดยจะต้องใช้เวลามากว่านี้ในการเดินทางไปเยือน ซึ่งเราคงไม่มีเวลาขนาดนั้นและต้องใช้สภาพร่างกายที่ฟิตด้วย

พวกเรารีบทานอาหารเช้าเพื่อที่ว่าจะได้ทันกับเวลาที่ทางจนท.นัดว่าจะมารับประมาณ 10 โมงเช้า


อีก 10 นาทีสิบโมง จนท.ก็นำรถ 4WD มารับเรา และพาพวกเราลึกเข้าไปอีกประมาณ 10-12 กม. สองข้างทางแปลกใหม่และสวยมากๆ ยังกับหลุดไปอีกโลกเลยก็ว่าได้ ถนนหลายช่วงจะเลียบกับแม่น้ำเงา จะมีบ้างที่ออกมาทางหมู่บ้านแต่แล้วก็วกกลับไปเลียบแม่น้ำเงาตามเดิม


ไม่นานรถ 4WD ของเจ้าหน้าที่ก็พาเรามาถึงท่าที่จะลงแพกัน ท่านี้จะใกล้ๆกับบ้านแม่หลุย ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 12 กม. ดูสิครับ ล่องแพทีนึงเขาใช้คนมากเกือบจะสิบคนสำหรับ 2 แพและต้องใช้รถ 6 ล้อบรรทุกแพจากที่ทำการมาลงที่นี่และมาซ่อมแพอีก  1,200 บาท ไม่แพงเลยนะครับ


อย่างที่บอก มาถึงก็ไม่สามารถลงล่องแพได้เลย เจ้าหน้าที่ต้องนำแพมาซ่อมแซมอีกเพื่อความปลอดภัย


ส่วนใหญ่ที่จะซ่อมแซมก็คือการใช้ตอกหรือไม้ไผ่นี่แหล่ะ มามัดแทนเชือกเพื่อมเสริมความแข็งแรงให้กับตัวแพ


10 โมงครึ่งก็ได้ฤกษ์ล่องแพไม้ไผ่กันจริงๆแล้ว ดูๆหลายๆคนมีความสุขกัน


วิวสองข้างทางที่แพได้ล่องผ่าน เจ้าควายมันก็คงงงๆว่าวัตถุอะไรหว่าแล่นผ่านลำน้ำได้ บ่เคยเห็น


เจ้าหน้าที่ที่ถ่อแพทุกคนล้วนมีความรู้เกี่ยวกับเส้นทางและต้นไม้ระหว่างทาง ให้ความรู้พวกเราตลอดทางแม้ไม่ได้ถามก็ตาม ด้านซ้ายมือคือจังหวัดตาก ด้านขวามือจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำน้ำเงาเป็นลำน้ำที่แบ่งแยก 2 จังหวัดนี้ตามลักษณะภูมิประเทศ


อากาศสบายๆไม่ร้อนและไม่เย็น นั่งชมวิวไปทานขนมและเครื่องดื่มที่นำติดไป


จะมีบางจุดที่ต้องเจอกับน้ำเชี่ยวต้องระวังให้ดี แต่เจ้าหน้าที่จะรู้และบอกเราเพื่อเตรียมตัว จุดนี้เป็นจุดแรก ค่อนข้างอันตรายเนื่องจากจะโดนเกี่ยวกับต้นไม้ข้างทาง


บางจุดน้ำก็ตื้นจนหินข้างใต้ลำน้ำมากระทบกับลำไม้ไผ่ของแพยามที่แพล่องไปเสียงดังตึกๆๆๆ


บางช่วงลำน้ำจะนิ่งๆ ค่อยๆเคลื่อนตัวไป


ตลอดทางเลยจะเห็นแต่สิ่งนี้หรือคล้ายๆกัน ทราบจากจนท.ว่าคือชาวบ้านทำไว้เพื่อดักจับปลา ให้ปลาว่ายหลงมาติดกับตาข่าย แล้วค่อยจับในตอนเช้า


เริ่มมาตื่นเต้นอีกครั้งในจุดที่สอง แต่ก็ไม่ได้แรงอะไรมากเหมือนล่องแก่งแบบใช้แพยาง


จุดที่สามจุดสุดท้ายแล้ว น้ำค่อนข้างแรงกว่าเพื่อน เตรียมตัวเปียกกางเกงได้เลย


เขาว่านี่คือต้นงิ้ว ตั้งอยู่ข้างแม่น้ำเงาที่ล่องแพผ่านไป


นกก็มีให้เห็น แต่พอขยับเรือหรืออะไรนิดหน่อยนกที่เล็งๆก็จะบินหนีไป ถ่ายยากมากๆเลย มีตัวนี้ที่ซูมสุดๆ 300 mm. ได้มาแค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้วสำหรับผม


ประมาณเที่ยครึ่งก็มาถึงยังท่าที่ทำการอุทยาน หลังจากขึ้นจากเรือก็ต่างคนต่างทำภารกิจเช่น อาบน้ำ ทำกับข้าวเล็กๆ แล้วรีบออกเดินทางเพื่อไปยังถ้ำแม่อุสุก่อน


เราแวะซื้อกับข้าวที่ร้านขายของหน้าทางเข้าอุทยานฯ ร้านเดิมเมื่อวาน สุดท้ายมาถึงถ้ำแม่อุสุก็บ่ายสีโมงแล้ว


ที่ถ้ำแม่อุสุแห่งนี้ ตัวผมเองเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 49 ตอนบิ๊กทริปครั้งที่สอง มาครั้งนี้จึงอยากพาเพื่อนร่วมงานมาชมกันกับตาถึงความแปลกตาของลำแสง ทางเข้าน้ำท่วมเอ่อกว่าเดิมเพราะน้ำขังอยู่แต่ก็พอเดินไปได้ มาที่นี่แนะนำกางเกงขาสั้นจะได้สะดวก


และนี่คือลำแสงที่เห็นตรงเบื้องหน้า


ครั้งนี้คงมาเย็นไปหน่อย แสงที่ลอดมาจากท้ายถ้ำเลยย้อนๆขึ้นไปด้านบนแล้ว ไม่เหมือนกับตอนแรกที่มาซึ่งลำแสงจะตกลงมาพอดีที่พื้น แต่ได้แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว


ตัวเอเลี่ยนในถ้ำแม่อุสุ


ต่อจากนั้นเราก็วกกลับไปอช.แม่เมยอีกครั้ง แต่ก่อนจะเข้าไปก็ซื้อเสบียงเพื่อไปทำกับข้าวทานกันด้านบนที่ร้านขายของหน้าทางเข้าอุทยานฯ

ขับขึ้นมาเกือบจะไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินที่ม่อนครูบาใสซะแล้ว


พวกเราเลือกที่จะกางเต็นท์ที่ม่อนกิ่วลมแทนที่จะเป็นบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เพราะดูแล้วไม่มีอะไรน่าดูและผู้คนพลุกพล่าน แต่พอขับมาที่นี่ ตอนแรกกลัวๆแฮะ เพราะไม่มีใครมากางเลยสักเต็นท์แต่พวกเราก็มากันเยอะอยู่แล้ว เลยตกลงขึ้นไปกางด้านบน ตามขึ้นมาครับ


ดวงจันทร์กำลังส่องสว่างเลย คืนนี้จะไม่มืดอีกต่อไป


ทุ่มกว่าๆก็เริ่มทำอาหารกันแล้ว พอตกหัวค่ำหน่อยก็มีอีกชุดหนึ่งที่มากางด้วยกันข้างบนนี้ รับทราบว่าเป็นตชด.และเป็นชุดครูจากโรงเรียนที่ท่าสองยาง ซึ่งเป็นโรงเรียนยากจน ชื่อโรงเรียนตีนดอย จากการสนทนาคุณครูชักชวนพวกเราว่าถ้ามีเวลาว่างก็ให้นำของมาบริจาคกันได้ แค่ผ้าห่มและเลี้ยงอาหารกลางวันก็เพียงพอ คุยไปคุยมาผมเพลียเลยขอตัวนอนก่อน จบวันเหนื่อยๆแต่สนุกไปอีกวัน


เช้าวันใหม่ วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2551
"นายช่างๆ .... ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นเร็ว"  นั่นเป็นเสียงเรียกพร้อมกับเคาะเต็นท์ผมของคุณสมบัติ ที่กลัวผมจะพลาดช็อตเด็ดๆไป ผมงัวเงียเล็กน้อยพร้อมกับเปิดประตูเต็นท์แล้วชะโงกไปดู เออ...แฮะ แสงสีทองเริ่มทาบขอบฟ้าแล้ว เอ่อ...แล้วคนมาจากไหนกันเยอะแยะเนี่ย ?!?!


ตั้งกล้องรอพระอาทิตย์ขึ้นตั้งนาน แต่ก็ยังไม่มาซะที 7 โมงกว่าแล้ว เลยกลับเต็นท์แต่แล้วก็มีเสียงเรียกอีกว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว เฮ้ย...ถ่ายแทบจะไม่ทัน ขึ้นเร็วมากๆ แถมยังถ่ายออกมาได้แค่นี้อีก


พระอาทิตย์โผล่มาเต็มๆแล้ว


ก่อนออกจากม่อนกิ่วลมชักภาพว่าได้มาเยือนแล้ว


ระหว่างทางลงไปด้านล่างก็จะเห็นทะเลหมอกสวยๆ อดใจไม่ไหวต้องขอให้จอดรถและลงไปเก็บภาพ


และก็แวะเก็บภาพทะเลหมอกที่ม่อนพูนสุดา



ขอชมให้ชื่นใจสักหน่อย ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้เห็นแล้วเนื่องด้วยอากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่พอเห็นแล้วก็ชื่นใจ


ซูมไปดูใกล้ๆหน่อยซิ


ภาพนี้เหมือนในฝัน จะไปเกาะที่อยู่ตรงหน้าได้ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลหมอกสีขาวไป


อยากพาคนรู้ใจไปนั่งชมวิวทะเลหมอกด้วยกันจังเลย สักวันผมจะกลับมาทำตามที่ฝันไว้


ในที่สุดงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกลา พวกเราชมทะเลหมอกที่ม่อนครูบาใสเป็นจุดสุดท้ายก่อนจะขับยาวกลับสระบุรีและผมขับต่อไปกรุงเทพตามลำดับ

ขอทิ้งท้ายไว้กับวิวทะเลหมอกที่ม่อนครูบาใส ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเรื่องราวและชมภาพประกอบ มีความสุขกับการเดินทางทุกท่านครับ ราตรีสวัสดิ์

Original Published on www.pantip.com at [ 22 ม.ค. 51 23:59:48 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/01/E6260742/E6260742.html

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น