วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 6 หนึ่งวันสบายๆ ในเลห์ มีเพียงส่งโปสการ์ดและหาพิซซ่าอร่อยทาน


วันนี้เป็นวันที่ 6 ในลาดักห์แล้ว แต่เป็นวันที่ 7 ที่นับจากเริ่มเดินทางจากไทยมา วันนี้อย่างที่บอกเป็นวันฟรีเดย์ 1 วันเพราะเนื่องจากเราเปลี่ยนแผนไม่ได้นอนที่ริมทะเลสาบแปงกอง ทำให้เหลือเวลาทำอะไรได้ตามใจชอบโดยที่ยังไม่มีโปรแกรมเที่ยวเหมือนวันอื่นๆ

วันนี้เราตื่นสายเกือบ 10 โมงเช้า คงเป็นเพราะความเพลียสะสมที่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่หลายๆวันและเพลียกับการเดินทางโดยเฉพาะการเดินทางบนที่สูง 5,000 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเลด้วยแล้ว เหนื่อยสุดๆ คืนที่ผ่านมาเลยพักผ่อนกันเต็มที่เพื่อฟื้นสภาพร่างกาย แต่กระนั้นก็ตาม โปรแกรมที่วางไว้เล็กน้อยคือการไปส่งโปสการ์ดที่พิมพ์มาเองถึงเพื่อนๆและตัวเองครับ ฉะนั้นวันนี้ต้องไปหาที่ทำการไปรษณีย์ในเลห์ให้เจอ!

Leh Sightseeing - Pumpernickel German Bakery - Leh Post Office - Il Forno


ออกมาจากที่พักแดดก็จ้าเลยทีเดียว เราเดินไปตามถนน Main Bazaar ไปหาอะไรดื่มก่อน ได้น้ำมินิเมดเจ้าประจำ โดยมีรสหนึ่งที่ในเมืองไทยเราไม่มีคือ รสมะนาว(Lime) ผมชอบรสนี้มากๆ ไปไหนก็จะดื่มรสนี้แก้กระหายได้ดีทีเดียว ส่วนแฟนทานรสส้มครับ


เดินวนหาร้านอาหารมื้อสายๆที่น่านั่ง เห็นมีร้านหนึ่งที่อยู่ในซอกถนน เป็นทั้งร้านอาหารและขายเบเกอรี่ด้วยชื่อว่า Pumpernickel German Bakery เข้าไปนั่งเลยครับ ที่ยิ่งชอบไปอีกก็คือ โคมไฟที่มีรูปสัญญลักษ์ wisdom eye หรือดวงตาเห็นธรรม พอดีผมสวมหมวกเนปาลไปด้วยสิ เข้ากันดีจริงๆ :)


ที่น่าแปลกใจไปอีกคือ ร้านนี้มีผัดไทยขายด้วย! โห มาไกลถึงอินเดียเหนือยังมีผัดไทยให้กิน แต่ไม่ค่อยกล้ากิน สุดท้ายก็อยากลองรสชาติว่าเป็นอย่างไร เลยสั่งมาดู ต้องบอกว่า รสชาติอร่อยทีเดียว แทบจะไม่แตกต่างจากรสชาิตในไทยเราเลย อันนี้ต้องชมครับ เครื่องดื่มก็เป็นกาแฟร้อนแก้วแรกเลยทีเดียว มื้อนี้หมดไป 240 รูปี

เราได้คุยกับทางพนักงานเสริฟด้วย เราบอกว่าเรามาจากประเทศไทยเขาก็เลยมาคุยกับเรา ก็เล็กๆน้อยๆเรื่องผัดไทยครับ เราบอกว่ายูทำออกมารสชาติใกล้เคียงมาก


ทานอิ่มเสร็จก็เดินเล่นต่อไป ชาวเลห์จะนำพืชผักมาขายโดยวางแผงกันริมฟุตบาทเลยทีเดียว ส่วนเจ้าวัวก็นอนเอกเขนกโดยไม่สนใจรถจะขับมาชน ถือเป็นวัวเจ้าถิ่น


แล้วก็เดินมาเจอที่ทำการไปรษณีย์เลห์ แต่กว่าจะเจอเล่นเดินหากัน 2 รอบ เข้าไปโปสการ์ดถึงตัวเองและเพื่อนๆ เสียค่าแสตมป์ไปทั้งสิ้น 200 รูปี


มองเห็นด้านบนผ่านธงมนต์คือ Namgyal Tsemo Gompa ที่ไปเยือนในวันแรกที่ถึงเลห์


ใครจะซื้อสร้อยเครื่องประดับสามารถเลือกซื้อได้เลย มีอยู่หลายร้านวางขายริมถนน Main Bazaar


หรือใครหิว อยากลองขนมที่ทำด้วยแป้งทอดร้อนๆบนกระทะ แต่เราไม่ได้ลองแฮะ


เดินกลับมาที่ทำการไปรษณีย์ มีตู้ไปรษณีย์แดงให้หย่อนด้วย


สังเกตว่าชาวเลห์ที่เป็นผู้หญิงจะไว้ผมยาวและถักเป็นเปียอยู่เกือบทุกคน โดยเอาเปีย 2 ข้าวมาผูกกัน แปลกดี


ร้านนี้ขายขนมหวาน น่าจะเป้นร้านที่ดังในย่านนี้นะครับ คนมุงพอสมควร แถมตอนที่ถ่ายรูปอยู่ 2 คนที่มุงดูคือคนไทยนั่นเอง (เดี๋ยวนี้คนไทยส่งออก(นัก)ท่องเที่ยวกันเยอะเท่าๆกับจีนเลยนะครับ ไปประเทศไหนเจอกันไม่ต่ำกว่า 3-4 กรุ๊ป)


ร้านขายหน้ากาก คล้ายๆในเนปาลและบาหลี


ถ่ายกับลาน้อยที่กำลังทานข้าวริมถนน


ริมถนนอีกฝั่ง พระลามะกำลังถกธรรมะกันอยู่ 4 รูป อิอิ


พอประมาณ 1 ทุ่มเราก็ออกจากที่พักมาหาอะไรทานมื้อเย็นกัน เลือกร้านนี้ Il Forno ร้านชื่อดังอีกร้านที่ขายพิซซ่าเตาถ่าน ร้านจะอยู่ใกล้ๆหัวมุมถนน เสียดายที่เดินขึ้นมาชั้น 3 บนดาดฟ้าที่นั่งริมระเบียงที่ติดริมถนนเต็ม เลยกระเถิบมาโต๊ะด้านใน พอได้เห็นวิวพระราชวังเลห์และ Namgyal Tsemo Gompa ที่อยู่ด้านบนเขา


ซูมไปใกล้ๆครับ ที่เห็นเป็นอาคารสูงๆสีน้ำตาลคือพระราชวังเลห์ ส่วนที่ไกลออกไปทางขวามือสีแดงอิฐและสีขาวคือ Namgyal Tsemo Gompa



นี่หล่ะครับ เตาอบพิซซ่าเตาถ่านแบบดั้งเดิม โดยได้การแแนะนำจาก Lonely Planet ตั้งแต่ปี 2004 เชียวนะครับ แสดงว่านักท่องเที่ยวต่างแนะนำร้านนี้ในเลห์ ต้องลองซะแล้ว


เมนูแนะนำ พิซซ่าเตาถ่านหน้าแฮมเห็ด อร่อยมากๆครับ แนะนำอีกต่อ ใครไปแล้วต้องไปลองนะครับ มื้อนี้หมดไป 210 รูปี ก่อนจะกลับที่พักเราแวะหาร้านขายเสื้อเพราะจะซื้อเสื้อลาดักห์ไปคนละตัว ได้ลายที่ถูกใจมาคนละตัว ตัวละ 250 รูปี

กลับจากทานอาหารก็ไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับซาลิมทั้งค่าห้อง, ค่าอาหารเช้า และค่ารถเช่า ตอนช่วงนี้มีปัญหากันเล็กน้อยกับซาลิมเรื่องราคาและโปรแกรมที่เข้าใจกันผิด อย่างที่เคยบอกไป เจ้าคนขับชอบโทรไปรายงานซาลิมเรื่องที่เราให้ไปพระราชวังเลห์ตอนขากลับจากนูบ้าวัลเลย์ ซึ่งมันก็อยู่ทางกลับอยู่แล้ว แต่บอกในทำนองว่าเราไปนอกโปรแกรมบ้าง อย่างนั้นอย่างนี้ ผมเองก็เริ่มรำคาญคิดเล็กคิดน้อย ค่าเช่าก็เป็นเช่าเหมามันจะเสียค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่เชียว ทีเรื่องไปหมู่บ้านปานามิกที่เรายกเลิกไม่ไปเราก็ไม่ว่าอะไรนะ ฉะนั้น เรื่องพวกนี้ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนครับ เพราะคิดราคามา มันมีบางรายการที่เรายกเลิกไปแต่ก็ยังคิดมา ดีที่เราดูละเอียดเลยโต้เถียงและแจ้งไปถึงจะตัดออก

มาว่ากันถึงโปรแกรมในวันต่อไปครับ ตามแผนที่วางไว้ เราจะเดินทางโดยรถยนต์ไปศรีนาการ์ เมืองหลวงของแคว้นแคชเมียร์ในวันรุ่งขึ้นนี้ โดยตอนแรกเราแพลนจะพักระหว่างทางที่ลามายุรู แล้วค่อยออกเดินทางต่อในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น แต่พอได้คุยกับซาลิม ซาลิมบอกกับเราว่าถ้าไปพักที่ลามายุรูแล้วในวันรุ่งขึ้นคุณจะต้องออกตี 2 เพื่อไปให้ทันช่วง Zoji La Pass ทีอยู่เลยเมือง Drass ออกไป เพราะทางการให้รถวิ่งได้ทีละฝั่ง(one way) โดยเปิดให้รถจากเมือง Drass วิ่งไปศรีนาการ์ได้ช่วง 6 โมงเช้าประมาณ 4 ชั่วโมงแค่นั้น ซึ่งคำพูดดังกล่าวเรางงมาก เพราะไม่มีข้อมูลแบบนี้มาก่อน ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทำให้แผนการเดินทางเรากระทบทันที(ซึ่งทำให้ผมเซ็งมากๆ ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่แรก เราจะได้แก้ไขแผนกันทันท่วงที และอีกอย่างผมว่าถ้าเป็นจริงน่าจะเกิดขึ้นในช่วงหิมะตกซึ่งมันหมดฤดูไปแล้ว) แต่สุดท้าย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ การพักที่ลามายุรูก็จะต้องเปลี่ยนแผนแล้ว คิดไปคิดมา เลยเปลี่ยนแผนไปพักที่คาร์กิลละกัน ซึ่งซาลิมโทรไปสอบถามเพื่อนที่อยู่ที่คาร์กิล ได้ความว่าที่พักราคาสูงๆทั้งนั้น 3,500 รูปีต่อคืน และเขาบอกว่าเมืองค่อนข้างสกปรกเพราะเป็นชุมชนของมุสลิม อืมมม....เอาไงดีเนี่ย งั้นเปลี่ยนแผนอีกครั้ง ไปหาที่พักนอนที่เมือง Drass ละกัน เพราะจะได้ผ่าน Zoji La Pass เมื่อออกเดินทางจาก Drass ในวันรุ่งขึ้นเลย 

คราวนี้กลายเป็นว่าเราต้องไปหาที่พักเองเมื่อไปถึงเมืองแดรส (Drass) และที่ลามายุรูเราก็ต้องไปเก็บรูปและผ่านไปซะแล้วไม่ได้ค้างคืน ดังนั้น วันรุ่งขึ้นจะเป็นอีกวันที่ต้องเดินทางไกล 300 กว่ากม. จากเลห์ไปแดรส คิดแล้วก็เหนื่อยเลยทีเดียว แต่ยังไงก้ต้องทำให้ได้ครับ เพราะจองเครื่องบินไฟล์ท ศรีนาการ์-เดลี ไว้แล้วกลับจากเลห์ไม่ได้

สรุปเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะต้องจ่ายให้ซาลิมในคืนนี้ 
1.ค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าห้อง(500 รูปี/คืน) พร้อมอาหารเช้าเป็นเงิน 3,500 รูปี (เราพักที่ Ree Yul Guesthouse 5 คืนอีก 1 คืนไปพักที่หมู่บ้าน Hunder) 
2.ค่ารถเช่าทั้งหมด และรวมที่จะต้องเดินทางไปศรีนาการ์ แคชเมียร์ พรุ่งนี้ด้วย เป็นเงิน 29,000 รูปี(จนเลย) โดยจ่ายก่อน 10,000 รูปี และจ่ายตอนไปถึงศรีนาการ์อีก 19,000 รูปี

แล้วมาลุ้นกันว่าเส้นทางที่จะไปลามายุรูจะเป็นอย่างไร, จุดหมายปลายทางที่เมืองแดรสจะเป็นลักษณะไหน? เราจะได้ไปไหว้พระศรีอริยะเมตไตรระหว่างทางที่ Mulbekh มั้ย? โปรดติมตามตอนต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น