วันนี้เป็นวันที่ 4 ในลาดักห์แล้ว เรารีบตื่นเพื่อออกเดินทางกลับโดยจะแวะที่ให้ขี่อูฐก่อนว่าจะเปิดทันที่เราจะไปหรือเปล่า เพราะเมื่อวานสอบถามแล้วเหมือนว่าจะเปิดให้ขี่อูฐตอน 9 โมงเช้าแต่เราจะไปก่อนคือ 8 โมงเช้ากลัวเดินทางกลับไปเลห์ค่ำเกินไป เพราะต้องแวะหมู่บ้าน Sumur ของฝั่งแม่น้ำ Shyok อีกด้วย โปรแกรมขี่อูฐเลยไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่ว่าจะได้ขี่หรือไม่ได้ โปรแกรมคร่าวๆ ในวันนี้จึงเป็นดังนี้
Hundar (Hunder) - Camel Riding - Sumur - Leh
ได้ตัดโปรแกรมแวะวัดเดสกิต (Deskit/Diskit) ออกไปแล้วเนื่องจากเราได้ไปมาเมื่อวานนี้ ใจหนึ่งก็อยากไปให้ถึงหมู่บ้านปานามิค (Panamik) ที่เลยออกไปจากหมู่บ้าน Sumur เพราะไหนๆก็มาแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอดูเมื่อไปถึง Sumur กันก่อนครับว่าจะไปหรือไม่ไป มาทริปนี้เรียกได้ว่าเปลี่ยนการตัดสินใจได้ทุกชั่วโมง
แผนที่การเดินทางวันนี้ (คลิกเพื่อขยายภาพใหญ่) โดยจุดที่ 11 เป็นพระราชวังเลห์ อยู่ในเมืองเลห์ ใต้แผนที่ลงไป
เช้าวันนี้ไม่มีอาหารเช้าพ่วงมาด้วย เราเลยออกเดินทางเมื่อรถที่เช่าไว้มาถึง(คนขับรถพักในเดสกิต) เราแวะที่ทางเข้าเพื่อไปขี่อูฐตรง Sand Dune หรือทะเลทรายที่ถึงก่อนที่พักเราไม่ไกลมากนัก
ณ เวลานี้ 8 โมงเช้ายังโล่งๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวมาสักราย เราสองคนเป็นรายแรกนะเนี่ย ทางเข้าต้องข้ามลำธารเล็กๆแล้วเดินไปยังเต๊นท์ที่อยู่เลยออกไปข้างใน
กลับมานั่งรถแล้วเดินทางออกมาผ่านบริเวณของค่ายทหารของอินเดียที่มาประจำการแถบนี้ถี่มากๆ เนื่องด้วยเพราะเป็นชายแดนติดกับปากีสถานคู่อริที่แค้นกันมานาน
สักพักก็มาถึงหมู่บ้านดิสกิต รถจอดเพื่อให้เราหาอะไรรองท้องเป็นมื้อเช้าของวันนี้ มีเปิดอยู่ร้านสองร้าน สั่งอะไรที่ทำเร็วและง่ายๆกินดีกว่า
รถแล่นไปตามทางที่มาเมื่อวาน มองเห็นบางช่วงที่ปลูกต้นอะไรสักอย่างสีออกเหลืองตัดกันสีเขียวของต้นไม้ที่อยู่รอบข้าง เห็นปลูกกันอยู่เยอะทีเดียว แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้นอะไร คนขับก็พูดอังกฤษไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้คำตอบ (ทราบทีหลังว่าต้นมัสตาร์ด)
ผมว่าคนที่ทำไร่แถวนี้น่าจะดูมีความสุขมากๆนะครับ ห่างไกลจากมลพิษในตัวเมือง ได้รับอากาศบริสุทธิ์แถมผู้คนก็ไม่เยอะซะด้วย แต่เวลากลางคืนหล่ะหนาวอย่าบอกใครเชียว
มาตรงจุดที่แอ่งน้ำทำหน้าที่เป็นกระจกใสให้ขุนเขาและท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบนได้ส่องเห็นความสวยงามของตัวเอง
ขับมาถึงจุดนี้อีกแล้ว เป็นจุดที่ผมชอบนะ มันโล่งๆ แห้งแล้งยังไงบอกไม่ถูก แต่ระแวกข้างๆก็มีเขาสีน้ำตาลทะมึนแอบอยู่ข้างๆ มันช่างเป้นภูมิประเทศที่แปลกตาเราๆอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต จอดรถแล้วหันไปเก็บภาพในฝั่งถนนที่เราได้ผ่านมา
ส่วนฝั่งนี้ก็เป็นฝั่งตรงข้ามกันที่เราจะต้องเดินทางต่อไป เป็นฝั่งที่เราได้ผ่านมาเมื่อวานนั่นเอง
พอรถกำลังข้ามสะพานผมก็หยิบกล้องมาถ่ายรูป โดยมีทหารยืนเฝ้ายามที่ปลายสะพานอยู่ พอรถข้ามไปถึงปลายสะพานอีกฝั่งทหารคนนั้นได้บอกกับคนขับรถเราว่าห้ามถ่ายรูปซึ่งเป็นเขตภูมิศาสตร์คนขับก็ขอโทษขอโพยกับทหาร ผมก็ยกกล้องลงไม่ได้ถ่ายต่อ แถวนี้เวลาถ่ายรูปต้องระวังนิดนึงครับ เพราะบริเวณนี้อ่อนไหวเพราะเป็นชายแดนที่ต่อกับปากีสถาน พวกสะพานพวกป้อมหรือค่ายทหารถ่ายไม่ได้สังเกตว่าถ้ามีทหารยืนอยู่ก็ถ่ายไม่ได้แน่นอน
ขับมาถึงอีกฝั่งของแม่น้ำกันแล้ว เส้นทางจะโค้งไปมานิดนึง ไม่มากครับ
ด้านซ้ายมือของรถสังเกตว่ามองออกไปไกลๆจะเห็นพระพุทธรูปใหญ่ๆประดิษฐานอยู่ ซึ่งที่เห็นก็คือวัดดิสกิต หรือ Diskit Monastery ที่เราไปมาเมื่อวานนี้ก่อนจะเข้าหมู่บ้านฮุนเดอร์นั่นเอง
ทางที่จะไปหมู่บ้าน Sumur ดูเงียบๆโล่งๆนะครับ แต่ยังก็มีต้นไม้ให้เห็น 2 ข้างทางไม่เหมือนฝั่งเมื่อวานซึ่งมีแต่เขาและทะเลทราย
และก็มาถึงทุ่งหญ้าแม้ไม่หนาเท่าใดนักแต่ก็ยังเป็นอาหารให้วัวแถวนี้ได้เล็มประทังชีวิตกันต่อไป
ประมาณ 11 โมงรถก็พาเรามาถึง Samtanling Monastery หรือ Samstanling Monastery เป็นวัดเก่าแก่ของหมู่บ้าน Sumur เวลาเปิดคือ 8 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็น และเว้นเวลาเที่ยงถึงบ่ายโมงจะปิดเพราะเป็นเวลาทานอาหารเที่ยงของพระ(มั้งครับ)
เดินเข้ามาด้วยกันเลยครับ คนไม่เยอะมีนักท่องเที่ยวไม่ถึง 6 คนเองมั้ง
จะเห็นว่ามีประตูเข้าห้องพระหรือวิหารตรงกลางด้านหน้า, ด้านซ้ายมือ และด้านขวาล่างที่มองไม่เห็น เราจะเข้าไปวิหารตรงกลางก่อนครับ
ส่วนใหญ่บริเวณด้านในแสงจะน้อยมาก ต้องปรับ ISO ดีๆไม่งั้นภาพจะเบลอ มีแถวให้พระนั่งสวดมนต์ 2 แถว ตอนที่ไปเจอฝรั่ง 1 คนมีไกด์ส่วนตัวคอยอธิบายด้วย
เดินเข้าไปด้านในจะเห็นตั่งหรือเปล่าเรียกไม่ถูก เป็นไม้แกะสลักสวยงามมาก ด้านหลังเป็นรูปดาไลลามะ
แล้วลงมาด้านล่าง เข้าไปดูอีกห้องหนึ่ง ขนาดประตูที่ทำด้วยไม้ก็แกะสลักอย่างสวยงาม
สภาพด้านใน ลวดลายฝาผนังจะเป็นรูปชาดกหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ห้องนี้จะแคบกว่าห้องที่ผ่านมา
มีสามเณรน้อยคอยยืนเปิดปิดกุญแจห้องให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปดู
เปิดเข้าไปด้านใน เพดานที่ทำด้วยไม้จะต่ำนิดนึงครับ แต่ก็สูงพอที่จะไม่ต้องก้มหัว
องค์พระศรีอริยเมตไตร ถือเป็นโชคดีของเรา 2 คนที่ได้เข้ามากราบไหว้ท่าน ณ วัดแห่งนี้
ออกมาก็สามารถมองเห็นวิวแจ่มๆแบบนี้ ฟ้าใสกิ๊ก มีเมฆพอประมาณ แต่แดดร้อนเชียว สมควรแก่เวลาก็ต้องจากลากันแล้ว
รถแล่นข้ามผ่านลำธารเห็นเณรน้อยกำลังสรงน้ำกันอยู่ ตากจีวรกันเกลื่อนเลย
ระหว่างทางเจอเจ้าแพะที่กำลังง่วนเล็มดอกไม้เป็นอาหารอยู่
ชอบวิวแบบนี้จัง โล่งท้องฟ้าสวยงาม แต่ถ้าให้อยู่ตลอดก็คงไม่เอา
เราให้รถจอดเพื่อลงมาชมดอกไม้สีม่วงนี้ที่อยู่ริมทาง อยากรู้จังว่าดอกอะไร แถมมาขึ้นริมทางเพิ่มสีสันให้กับถนนเส้นนี้ด้วยสิ
มีบางคนติดใจถึงกับโก้งโค้งถ่ายรูปดอกไม้ด้วยนะ อิอิ
ผ่านค่ายทหารอีกจุดหนึ่ง
ผมชอบจุดนี้อีกจุดหนึ่งครับ มันเหมือนแอ่งกระทะใบใหญ่โดยรถที่แล่นผ่านต้องไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ แถมยังตัดกับป้อมเล็กๆหลังคาสีเหลืองสะดุดตา ตอนที่ไปฝูงช๊อปเปอร์ชาวอินเดียขี่รถมาหลายสิบคันเลย
มาถึงพื้นที่สีเขียวบ้างแล้ว ตรงนี้จะเป็นหมู่บ้านด้วย ขากลับนี้ผมแวะลงเพื่อปัสสาวะ
ณ จุดเดียวกันกับเมื่อสักครู่ แต่รถอ้อมโค้งเห็นแปลงพืชมัสตาร์ดสวยงาม
ถ้าที่เห็นคือบ้าน คงเหงาน่าดู โดเดี่ยวจากผู้คนและเพื่อนบ้าน
ได้เวลาข้ามสะพานผ่านลำธารแล้ว จุดหมายคือตีนเขาอีกลูกหนึ่ง
แล้วก็มาถึงจุดที่เราแวะลงถ่ายรูปเมื่อตอนขามา มีฝูงลาและวัวอยู่กับเยอะเลยครับ อากาศเย็นสบายด้วยสิ ส่วนคนก้ลงมาแวะสูดอากาศบริสุทธิ์เย็นๆระหว่างทาง
ณ จุดเดียวกัน มีพระพุทธรูปให้ไปกราบไหว้ด้วยครับ ตั้งอยู่ใจกลางของแอ่งน้ำเลย ใครไม่ได้ตั้งใจแวะจริงๆคงไม่ได้เข้าไปกราบนะเนี่ย เพราะไกลมาก
และแล้วท่านก็มาถึงจุดตื่นเต้นอีกจุดหนึ่งระหว่างทางกลับเลห์ ประมาณบ่าย 2 โมงครึ่งรถก็ต้องหยุดกันเป็นแถวๆ มันเกิดอะไรขึ้นหล่ะเนี่ย?
เดินออกจากรถไปดู นั่นไง ดินถล่มทางขาด ต้องรอบูลโดเซอร์(แทรคเตอร์) กำลังเคลียร์ทางอยู่ แต่ยอมยกโทษให้นิดนึงเนื่องจากภาพเบื้องหน้าที่เห็นเป็นหิมะปกคลุมเขาดูสวยงามพอทดแทนกันได้
ผ่านจากจุดหนึ่งไปได้ก็มาเจออีกจุดหนึ่ง คนขับรถผมถึงขนาดลงไปสั่งการเองเลย 555
จะว่าไป ทางการอินเดียเขาก็ดีนะครับ เห็นว่ามีหินหรือหิมะถล่มปิดถนนตลอดทั้งปีแถบนี้ ก็จะเก็บรถแทร็คเตอร์ไว้หลายๆจุด เมื่อมีหินถล่มก็สามารถซ่อมทางได้ในทันที ก็ยังดีกว่าการไปเรียกการทางมาทำจากไหนก็ไม่รู้
จุดนี้รถจอดกันยาวเลย
หลุดจากจุดนึงก็มาเจอทางขาดอีกจุดนึง ให้มันได้อย่างนี้สิ คราวนี้ใช้ Backhoe ซ่อมทาง แต่ก็ดีเหมือนกันครับ ไม่เคยเจอแบบนี้บ่อยๆสำหรับเรา คิดว่าคงไม่เจอเลยแหล่ะในเมืองไทยแบบนี้
ทางช่วงนี้จะเสียค่อนข้างมาก เพราะเป็นทางที่ขึ้นเขาเพื่อผ่านจุดสูงสุดของถนนช่วงนี้คือ Khardung La Pass ทำให้ต้องเจอกับหิมะที่ละลายแล้วกลายเป็นน้ำไหลมาเซาะกัดถนนอย่างที่เห็นในภาพนี้ นั่งในรถไปก็ต้องโขยกไปเพราะถนนเป็นหินหยาบๆตลอดทางก่อนจะถึงจุดสูงสุด
ประมาณบ่าย 3 โมงครึ่งก็มาถึงคาร์ดุงลาพาส (Khardung La Pass) ถนนที่สูงที่สุดในโลกกันอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีรถจอดออกันแบบเมื่อวานที่ผ่านมา จอดเพื่อเก็บรูปแล้วก็ไปต่อครับ
ก่อนจะเข้าตัวเมืองเลห์ เห็นว่าพระราชวังเลห์(Leh Palace) เป็นทางผ่านเลยขอให้คนขับแวะหน่อย แต่ไม่ได้เข้าไปครับ เพราะเก็บเงินค่าเข้า เลยถ่ายรูปบริเวณใกล้เคียงแทน พระราชวังเลห์มี 9 ชั้น จำลองมาจากพระราชวังโปทาลา เมืองลาซา ประเทศทิเบต สร้างโดยกษัตริย์ Sengge Namgyal ในศตวรรษที่ 17
ณ จุดนี้คนขับโทรไปบอกอะไรซาลิมก็ไม่รู้ เหมือนกับว่าให้พามานอกเส้นทางที่ไม่ได้บอกไว้ก่อน ซึ่งมันเล็กน้อยมาก ใจคอจะให้ตามโปรแกรมเป๊ะๆได้ไง เพราะเราเองก็ไม่ได้ไปหลายที่เช่นหมู่บ้านปานามิค มาแวะแค่นี้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก เลยทำให้รู้ว่าซาลิมเองเขี้ยวมากๆ และอีกหลายๆอย่างที่บางคนประทับใจซาลิมแต่สำหรับเราไม่ประทับใจการบริการครับ เดี๋ยวจะมีเล่าในตอนต่อๆไป
วิวเมืองเลห์ที่มองจากด้านบนของพระราชวังเลห์
ใกล้ๆกันกับ Leh Palace ก็มีวัดด้วยนะครับเป็นวัดเล็กๆ ชื่อว่า Gompa Soma
เจ้าหมาตัวนี้เอียงคอสงสัยว่าเราทำอะไร นั่งอยู่บริเวณพระราชวังเลห์ น่ารักจริงๆ
สุดท้ายรถมาส่งเราตอน 6 โมงครึ่ง คืนนี้เราได้ห้องพักใหม่อยู่ริมหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งซึ่งดีกว่าที่พักคืนแรกและคืนที่สอง เพราะฝั่งนั้นได้ยินเสียงน้ำไหลตลอดทั้งคืนหนวกหูมาก มาฝั่งนี้เงียบสงบดี แต่เวลาค่ำๆแบบนี้อากาศเย็นมาก เราถึงห้องก็ล้มตัวลงนอนเพราะเพลียมากๆ แม้แค่เดินทางนั่งรถอย่างเดียวทั้งวันก็ตาม ทำให้งดมื้อเย็นไปโดยปริยาย
ขอจบวันนี้เพียงเท่านี้ แล้วมาชมกันต่อว่าพรุ่งนี้เราจะได้ไปที่ไหนต่อ? ได้ไปทะเลสาบแปงกองหรือไ่ม่?
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น