วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เลห์-ลาดักห์-แคชเมียร์-อักรา ตอน 2 ได้เวลาสำรวจวัด(กอมปา)และพระราชวังเก่าละแวกเมืองเลห์


วันนี้ถือเป็นวันที่ 2 ของเราที่เลห์ หลังจากเมื่อวานมาถึงและเดินสำรวจเมืองกันเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ จนเช้าวันนี้ก็น่าจะปรับตัวกันได้พอควรแล้ว

เมื่อคืนยอมรับว่าอากาศดีเย็นสบาย และหลับปุ๋ยด้วยความเพลีย วันนี้มีพลังมานิดนึง จึงเข้าโปรแกรมเช่ารถจากซาลิมทั้งวันกัน โดยเราเลือกที่จะไปวัดหรือกอมปา และพระราชวังสต็อค ซึ่งจะอยู่ในแถบๆเมืองเลห์นี้แหล่ะ ไม่ไปไกลมาก แพลนสถานที่เราเป็นดังนี้ครับ

Sindhu Ghat – Shey Palace – Thiksey – Hemis – Stakna – Matho – Stock Palace

จะบอกว่าก๊อปปี้จากน้องบุ้งกี๋มาเต็มๆ  มาดูกันซิ ว่าจริงๆแล้วจะไปได้กี่น้ำ


เพื่อให้เข้าใจตำแหน่งสถานที่ต่างๆ ในการไปเที่ยวกอมปาในลาดักห์ จึงทำแผนที่เส้นทางการเดินทางตามโปรแกรมของเราในวันนี้มาให้ด้วย โดยเริ่มจากที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆร้าน Il Forno และไล่ไปเรื่อยๆตามตัวเลข 1-9 โดยสิ้นสุดที่ร้าน Dreamland ครับ (คลิกรูปเพื่อต้องการขยายรูปใหญ่ 100%)


ตื่นเช้ามานัดหมายกับคนขับไปเมื่อวานว่า 9 โมงตรง  เราตื่นและลงมาก่อน 1 ชั่วโมงเพื่อมาทานอาหารเช้าง่ายๆ ก่อนจะออกเดินทาง ยังไม่ถึง 9 โมงดี คนขับรถก็เข้ามาที่โรงแรมแล้ว นั่งรอเราทานอาหารเช้า พอทานเสร็จก็ไปกันเลย

เดินออกมาเล็กน้อยจากตัวโรงแรม รถจอดอยู่ข้างถนนซอยทางเข้าโรงแรม เก่าไปหน่อยแต่ไม่เป็นไร คนพร้อมแล้วไปเลยครับ


ออกเดินทางกันแล้ว ระหว่างทางก็จะเจอกับโชเตนหรือสถูปสวยๆตั้งเรียงราย


ไม่นานก็มาถึง Sindhu Ghat หรือการมารวมกันของแม่น้ำสินธุ เราใช้เวลาไม่นานนักก็เดินทางต่อ


แล้วก็มาถึงพระราชวังเชย์(Shey Palace) ฝั่งตรงข้ามของพระราชวังจะเป็นหนองน้ำ


มีเป็ดมาวนเวียนใกล้ๆ


หนองน้ำนี้มีชื่อว่า Holy Fish pond หรือหนองน้ำปลาศักดิ์สิทธิ์ ด้านหลังเป็นทุ่งหญ้า มีวัวมาแทะเล็มหญ้ากันอย่างเพลินเชียว


ได้เวลาไปเยี่ยมชมพระราชวังเชย์กันแล้ว


เดินขึ้นเนินไปตามทางกันเลย

ส่วนใหญ่ไม่ว่าพระราชวังหรือกอมปาต่างๆ จะอยู่สูงบนเนินเขาแบบนี้หล่ะครับ



ระหว่างทางขึ้นก็หมุนกงล้อมนต์และอธิษฐาน


วิวทางขึ้นพระราชวังเชย์เมื่อมองลงมาด้านล่าง


ตัวอักษรฮินดีระหว่างทางขึ้น


เดินขึ้นเนินอีกสเต็ปหนึ่ง


คราวนี้ทางขึ้นก็จะเป็นบันไดกันแล้ว ค่อยๆเดินเพราะจะเหนื่อยซะก่อน


ขึ้นมาถึงแล้ว ขอชมวิวด้านบนก่อน


เข้าไปภายในก็จะเจอกับพระศากยมุนี องค์ใหญ่โตทีเดียว และอีกพระ 2 องค์ยืนเอียงคอทั้งซ้ายและขวา


ชื่นใจที่ไปวัดในทุกๆที่ของลาดักห์ จะพบเห็นธนบัตรไทยมีรูปในหลวงเด่นเป็นสง่าทุกที่ไป


อีกมุมหนึ่ง


ส่วนใหญ่พระพุทธรูปที่นี่จะองค์ใหญ่โต ความสูงราว 2 ชั้นด้วยกัน จะเห็นว่าหน้าอกลงไปจะเป็นส่วนของชั้นล่าง


เราออกมาด้านนอกเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เกือบจะเดินลงไป


ทันใดนั้น คุณลุงที่ดูแลที่นี่ก็เชิญชวนให้ไปที่ไหนสักที่ ก็เดินตามแกไป ปรากฎว่าแกไปเปิดห้องๆหนึ่ง มืดมาก ภายในมีภาชนะทองเหลืองและทองแดงวางอยู่


นั่นคือการเติมน้ำมันตะเกียงนั่นเอง


จบจากพระราชวังเชย์ เราก็ไปต่อกันเลยที่ Thiksey Monastery

จอดรถเสร็จเราก็เดินขึ้นไป อ้าว...กำลังทำถนนทางเข้ากันอยู่ เหม็นกลิ่นยางมะตอยเอามากๆ ตอนแรกคิดว่าจะปิดซะแล้ว แต่เห็นคนเดินเข้าออก เลยเดินกลั้นใจเข้าไป


ก่อนทางเข้า จ่ายก่อนเลยครับ ค่าเข้าชม พระลามะเป็นคนเก็บเองเลย


เดินมายังด้านหน้า


เข้าไปยังอาคารด้านขวามือเลยครับ ตื่นเต้นๆ ในที่สุดก็ได้มาชมพระศรีอริยเมตไตรยกับตาตัวเอง งดงามมากๆ


พระศรีอริยเมตไตรยแนวตั้งบ้างครับ


มองเฉียงๆ กับพระศรีอริยเมตไตรย


เหมือนกันกับพระศากยะมุนี สูงถึง 2 ชั้น โดยให้ชมชั้นบนที่เห็นพระพักตร์ได้


ออกไปดูอาคารอื่นบ้างครับ เข้ามาภายในค่อนข้างมืดครับ ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลชครับ


โอ...น่ากลัวจริงๆ  ใต้หน้ากากจะมีข้อความขอความร่วมมือกับนักท่องเที่ยวไม่ให้ใช้แฟลชเพราะจะมีผลกับผ้าวาด หรือ ทังกา และปฏิมากรรมที่เคลือบทองไว้


ใส่กรอบให้เทือกเขาซะหน่อย


เดินเข้าไปอีกห้องหนึ่งครับ น่าจะเป็นภาพวาดที่บรรยายถึงนรกภูมิ


มาอีกห้องแคบๆห้องนี้ มุมเงยอย่างเดียว หน้าตาน่ากลัว มีมือ 10 มือ มืดมากๆครับ


หลังจากนั้นก็ลงจาก Thiksey เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านล่าง เหมือนกับเป็นที่เก็บอะไรสักอย่าง


เดินออกจาก Thiksey Monastery ธงมนต์ปลิวไสวเลย


ขอเก็บภาพแนวกว้างที่ Thiksey Monastery อีกครั้ง


เดินทางต่อครับ  อดใจไม่ไหวกับวิวขุนเขาระหว่างทาง มันแปลกตาจริงๆ


ที่อินเดียเนี่ย เขาชอบเขียนข้อความบนเขาจริงๆเลย คนตัวเล็กจิ๊ดเดียว


ตามเส้นทางจะเห็นป้ายเขียนข้อความโดนๆ ตลอด อย่างป้ายนี้

"ทุกอย่างจะคอยคุณอยู่ ก็ยังดีกว่าที่อะไรๆ จะสายเกินไป"


ป้ายเดิม แต่คนละฝั่ง

"เรากำลังอยู่ในดินแดนแห่งกอมปา"

สักพักก่อนจะถึงเมืองคารุก็ต้องเลี้ยวขวาข้ามแม่น้ำสินธุเพื่อไปยัง Hemis Monastery


ขับขึ้นที่สูงไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เขียวขจีเชียว


จอดรถแล้วก็ต้องเดินขึ้นไปอีก เห็นรูปจากปีก่อนๆ ยังไม่มีกงมนต์ทางด้านซ้ายมือนี่เลย


ลามะน้อยเดินผ่าน


เดินไปถามค่าเข้าชม ปรากฎว่าคนละ 100 รูปี เห็นว่าแพงประกอบกับเหนื่อยๆ เลยไม่เข้ากันซะงั้น สุดท้ายพักทานน้ำดื่มเอาแรง และเดินทางกลับไป Stakna ต่อ

ขากลับทางลงเขาโชเตนเก่าๆระหว่างทาง


...

ออกจาก Hemis ก็ใช้เส้นในไม่ได้ย้อนกลับข้ามสะพานเหมือนตอนเข้ามา ผมว่าได้บรรยากาศถนนท่ามกลางธรรมชาติไปอีกแบบ

เสาไฟฟ้าที่เห็นยาวไกลโพ้นทีเดียว


มองไปทางขวา ตรงข้ามฝั่งของถนนใหญ่ น่าจะเป็นฐานทัพของทหารที่มาตั้งแถวนี้ อยู่ในหุบเขาพอดี


เห็น Stakna gompa มาแต่ไกลเลย อยู่ทางขวามือ


รถจอดเสร็จก็ต้องเดินไปตามทางอีก


จากด้านบน Stakna เห็นจุดที่เราได้แวะถ่ายรูปตอนที่กลับออกจาก Thiksey


ขุนเขาสีน้ำตาลแซมดำ แบบนี้ไม่มีในไทย


วิวที่เห็นไกลๆ คือโค้งน้ำสินธุ


หลังจากอิ่มกับบรรยากาศรอบนอกก็เข้าไปภายในกัน มีอยู่ด้วยกัน 3 ชั้น


ภายในมืดมากครับ


โอ้...เห็นธนบัตรไทยอีกแล้ว คราวนี้เรียงกันสวยเชียว เราก็ควักของไทยมาบริจาคเช่นกัน


มาคนเดียวเนี่ยน่ากลัวนะ


อีกห้องหนึ่งครับ มืดอีกเช่นกัน แต่ละองค์มีชื่อเรียกด้วยนะครับ แต่ไม่ได้จดมา


โอ้ๆ ภาพเขียนรูปอะไรละเนี่ย


มายังอีกห้องหนึ่งครับ พระลามะเจ้าของที่นี่ ใจดีเดินเปิดให้ดูทุกห้องเลย เหมือนกับเป็นที่เก็บอะไรสักอย่าง


ก่อนไปที่อื่น ขอชักภาพวิว Thiksey ที่เห็นอยู่ไกลลิบๆ


ไปกันต่อครับ มาถึง Matho gompa ก็เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง


วิวสวยๆอีกแล้ว


ระหว่างทางขึ้นไปด้านบน เสาปูนสีแดงเป็นกรอบให้วิวภูเขาสวยขึ้นทีเดียว


ลานด้านหน้า


ประตูปิด ล็อคกุญแจด้วย จะได้เข้าไปชมมั้ย?


สุดท้าย ท่านลามะก็นำกุญแจมาเปิดให้เรา


วิวบนชั้น 2 ลมพัดโชยมาเย็นสบาย


และเดินลงมาข้างล่าง มีอะไรให้ดูอีกมั้ยน้าาา พระลามะคนเดิมก็มาเปิดประตูห้องนี้ให้ครับ ตามเราเข้ามาเลย


ดูกันใกล้ๆ


มี 3 พระพักตร์


พระลามาะรูปนี้แหล่ะครับที่เปิดประตูห้องต่างๆให้เรา ตอนแรกดูดุๆ แต่พอขอถ่ายรูปแล้วยิ้มมาเชียว


ก่อนลงไป ขอเก็บภาพวิวสวยๆหน่อย


ทางลงผ่านบ้านชาวบ้าน ดอกมัสตาร์ดสวยมากครับ


ระหว่างทางเห็นวิวมัสยิดซ่อนตัวอยู่ พร้อมกับฉากหลังที่เป็น Thiksey Monastery


โชเตนยอดสีแดงเรียงรายก่อนถึงพระราชวังสต็อค


เดินตามเรามาที่ทางเข้าพระราชวังกันเลยครับ

ประวัติ :
ในปี ค.ศ. 1834 กุหลาบ สิงห์ (Gulab Singh) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ราชบุตร บุกตีแคว้นลาดักห์ส่งผลให้ เซเป นัมเกียล (Tshespal Namgyal) กษัตริย์องค์สุดท้ายของลาดักห์ยอมสละบัลลังก์จากเลห์แล้วไปอยู่ที่พระราชวังสต็อค (Stok Palace)


ดูสิครับ โชเตนเต็มไปหมดเลย


เดินเข้ามาภายในแล้ว


เดินออกไปเชิงเขาแล้วถ่ายเข้ามา


โห... มุมนี้ชิวมากๆ นั่งจิบชาร้อนไปชมวิวไป สวรรค์ชัดๆ


ตัดสินใจอยู่นานสองนาน ก่อนจะกลับว่าจะเข้าไปชมภายในพระราชวังดีไม่ดี สุดท้าย....เข้าไปครับ แต่เข้าไปคนเดียวคือผมเอง ค่าเข้า 50 รูปี




เดินไปสำรวจบนดาดฟ้า ฟ้าแจ่มเลย


เดินเข้าไปข้างในอีกที ตรงจุดนี้จะมีเครื่องใช้ไม้สอยของอดีตกษัตริย์แสดงอยู่ แต่ห้ามถ่ายรูปครับ ห้องข้างในถ่ายไม่ได้เลยมีเจ้าหน้าที่คอยดูอยู่ เสร็จจากห้องนี้ผมก็ให้ทางเจ้าหน้าที่เดินไปเปิดดูห้องอื่นๆอีก 2-3 ห้อง น่าเสียดายที่ถ่ายรูปไม่ได้มีผ้าทังกาสวยๆอยู่เยอะเลย แถมมีประวัติและอื่นๆอีกมากมาย ต้องไปชมเองนะครับ


อากาศเย็นลงแล้ว แสงก็ใกล้หมดลง ได้เวลาอำลาพระราชวังสต็อคแล้วครับ


สะพานข้ามแม่น้ำสินธุ(คนละสะพานกับขามา) มีชื่อเรียกว่า Yokma Chuchot Bridge  ดูแล้วน่าจะวิ่งได้แค่เลนเดียว แล้วสวนกันจะทำยังไงเนี่ย


กลับมาถึงเมืองเลห์ก็ให้คนขับมาส่งที่พักก่อน และช่วงค่ำก็ค่อยเดิมาหาอะไรทานกัน


อาหารที่สั่งมาก็จะมีสเต๊กและที่ขาดไม่ได้ โมโม่นั่นเอง มื้อนี้หมดไป 490 รูปี ถูกกว่ามื้อเมื่อวาน 100 รูปี 

ก็ขอจบการเที่ยววัดและพระราชวังแต่เพียงเท่านี้ครับ แล้วติดตามตอนต่อไป 


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น