วันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2560

15 วัน อินเจแปน ตอน 0 ก่อนจะมาเป็นทริปยาวๆบนดินแดนปลาดิบ เน้นฮอกไกโด, เก็บตกโตเกียว และเกาะโอกินาว่า

จุดเริ่มต้นของทริปนี้
ทริปนี้เกิดจากช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ใกล้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เข้ามาแล้ว ช่วงหยุดยาวสิ้นปีต่อปีใหม่ถ้าอยู่กรุงเทพคงเหงาพิลึกน่าดู คงทนไม่ได้ที่จะอยู่กรุงเทพโดยไปได้แต่ห้างใกล้ๆบ้านทุกวัน คิดไปคิดมาเลยวางแผนจะไปต่างประเทศดีกว่า ไปแบบยาวๆมันซะที หลังจากที่ไม่ได้เที่ยวยาวๆนานแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็สามารถทำได้แล้ว ประเทศที่ตั้งใจไว้ไปตกที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะชอบบ้านเมืองและความเจริญต่างๆ การคมนาคม ความปลอดภัย(ถ้าไปคนเดียว) และตัวเองก็ไปมาแล้วถึง 2 ครั้ง เคยมีบางคนบอกว่า "ถ้าได้ไปญี่ปุ่นแล้ว คุณจะอยากกลับไปอีกหลายๆครั้ง" ซึ่งคำพูดนี้มันช่างเป็นคำพูดที่เป็นจริงเอามากๆ ประสบมากับตัวเองเลย ประกอบกับการได้ดูหนัง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว มาก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน(เพิ่งรู้ว่ามีหนังรักสนุกๆเรื่องนี้ด้วย) ซึ่งมันบิ้วด์อารมณ์ให้อยากไปฮอกไกโดเอามากๆ ภาพที่สื่อออกมาจากหนังนั้นสวยงามสุดๆ ถ้าไปญี่ปุ่นครั้งนี้แล้วไม่ไปฮอกไกโดคงไม่ได้จริงๆ


แผนที่เที่ยวทั้ง 15 วัน อินเจแปน ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อจบทริปแล้ว

อีกอย่างที่ตัดสินใจไปฮอกไกโดอย่างไม่ลังเลก็คือ ทาง JR ได้เปิดตัวรถไฟความเร็วสูงชินคันเซ็นสายโตเกียว-ฮอกไกโด(สุดสายสถานีชินฮาโกดาเตะโฮกุโตะ) ในวันที่ 26 มีนาคม 2559 ปีกว่าที่ผ่านมาเองทำให้สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิมเอามากๆถ้าเดินทางมาจากโตเกียว(โดยรถไฟ)โดยใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมง 2 นาทีเท่านั้น! ซึ่งแต่ก่อนรถไฟชินคันเซ็นสุดสายที่สถานี Aomori เมืองตอนบนของเกาะฮอนชูเท่านั้น ถ้าจะไปฮอกไกโดก็ต้องต่อรถไฟ Limited Express เสียเวลาอีกหลายชั่วโมงกันทีเดียว ซึ่งผมเองนั้นชอบนั่งรถไฟมาแต่เด็กแล้ว พอมาเจอแบบนี้ มันจึงลงตัวเอามากๆกับทริปฮอกไกโดทริปนี้ เลยทำให้แพลนที่จะไปทริปยาวๆช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้มีฮอกไกโด ภูมิภาคทางตอนเหนือของญี่ปุ่นบรรจุอยู่ในแผนไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉะนั้น ทริปนี้จะมีฮอกไกโดเป็นสถานที่หลักที่จะไป และเพื่อไม่ให้เหงาเกินไป เลยชวนเพื่อนให้ไปด้วยกัน แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะไม่ไปกัน คนนึงเฉยๆ อีกคนติดธุระงานช่วงสิ้นปี อันนี้เราเข้าใจได้ เลยกลับมาที่สถานะเดิมคือ ไปคนเดียวอีกแล้วววว....ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร...ชินซะแล้ว ไหนๆก็ไปแล้ว งั้นไปยาวๆเลยละกัน เวลาไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ดังนั้นยาวนานสุดของการเข้าประเทศญี่ปุ่นโดยไม่ต้องขอวีซ่าคือ 15+1 วัน(เดี๋ยวจะบอกว่านับวันยังไง) ก็เลยลองๆจัดวันไปวันกลับตามราคาตั๋วเครื่องบินกันก่อนครับ แน่นอนว่าแอร์เอเชียเอ็กซ์อยู่ในลิสท์ของสายการบินที่จะไปญี่ปุ่นด้วย

แผนเที่ยวคร่าวๆในฮอกไกโด
แผนเที่ยวที่ฮอกไกโดแพลนไว้คร่าวๆประมาณ 9-10 วัน โดยเสิร์ชหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ทั้ง BP และบล็อกการเดินทางต่างๆ ว่าถ้าไปฮอกไกโดนั้นเขาไปกันที่ไหนบ้าง? แน่นอนว่าสถานที่จากหนังแฟนเดย์ก็เอามารวมด้วย เพราะเป็นสถานที่ต้องไม่พลาดชมเมื่อไปฮอกไกโด ถ้าอยู่ในฮอกไกโดแบบ 3-4 วัน ส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวซัปโปโร เมืองหลวงของฮอกไกโด, เมืองเล็กๆอย่างโอตารุที่อยู่ห่างจากซัปโปโรไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 30 นาทีนิดๆ,โนโบริเบตสึเมื่องที่อยู่ระหว่างซัปโปโรและฮาโกดาเตะมีหุบเขานรกหรือหุบเขาที่มีกลุ่มก๊าซกำมะถันพวยพุ่งออกมาจากพื้นดินและแหล่งออนเซ็น และทะเลสาบโทยะ, ฮาโกดาเตะ เมืองใหญ่รองลงมาจากซัปโปโรที่มีทิวทัศน์สวยงามจากการที่เมืองอยู่ติดอ่าวติดทะเล ซึ่งเป็นเมืองท่ามีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับต่างชาติมาแต่ช้านาน ซึ่งคนส่วนใหญ่ถ้ามีเวลาเพียงเท่านี้ก็จะได้เที่ยวประมาณนี้ หรืออาจเพิ่มเมืองะซาฮิกาวะแบบเช้าเย็นกลับถ้าไปดูเพนกวินพาเหรดที่สวนสัตว์อะซาฮิยามะ แต่ทริปผมมีแผนเที่ยวหลายวันกว่านั้นก็เลยต้องหาเมืองเพิ่ม ซึ่งก็คือฮอกไกโดทางตอนเหนือกว่าซัปโปโรนั่นเอง โดยจะมีเมืองอะซาฮิกาวะ, อะบาชิริ และคูชิโระ และวนกลับมาซัปโปโรอีกครั้ง ใจจริงอยากไปเมืองวักกะไนทางตอนเหนือสุดของฮอกไกโด แต่ดูท่าแล้วรถไฟเส้นนี้มีวิ่งไม่บ่อยแถมใช้เวลานานด้วย บวกกับหน้าหนาวหิมะตกหนักทางอาจไปไม่ได้เลยล้มเลิกไปก่อน เหลือเฉพาะ 3 เมืองใหญ่ๆแค่นี้ก็อ้วกแล้วครับ

ถามว่าแต่ละเมืองในฮอกไกโดนั้นมีอะไรน่าเที่ยว หรือเขาไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ขอลิสต์คร่าวๆตามนี้ครับ
1.ซัปโปโร - พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร, สวนโอโดริ, หอคอยทีวีซัปโปโร, ศาลาว่าการเก่าฮอกไกโด, หอนาฬิกาซัปโปโร, จุดชมวิวมุมสูงเขาโมอิวะ, ถนนช็อปปิ้งทานุกิโคจิ, ย่านกินดื่มซูซูกิโนะ
2.โอตารุ - พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี, ถนนสายช็อปปิ้ง Sakaimachi, จุดชมวิวคลองโอตารุ และที่ขาดไม่ได้ในทริปนี้ คิโรโระสกีรีสอร์ท
3.โนโบริเบตสึ - หุบเขานรก Jigokudani (Hell Valley)
4.ฮาโกดาเตะ - ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ, สวน Motomachi, อาคารการท่องเที่ยว Hakodate, Old Hakodate Public Hall, Roman Catholic Church, Hakodate Russian Orthodox Church, จุดชมวิว 2 อ่าวบนเขาฮาโกดาเตะ, หอคอยโกเรียวคาคุ (Goryukaku Tower) ป้อมปราการดาว 5 แฉก, สวนพฤษศาสตร์เขตร้อนฮาโกดาเตะ(ลิงออนเซ็น)
ฮอกไกโดเหนือ
5.อะซาฮิกาวะ - ชมเพนกวินพาเหรดและสัตว์หน้าหนาวอื่นๆ ณ สวนสัตว์อะซาฮิยามะ
6.อะบาชิริ - ชม Drift Ice เรือตัดน้ำแข็ง(ตอนไปยังไม่ถึงช่วงเวลา), พิพิธภัณฑ์นักโทษอะบาชิริ, สถานีคีตะฮามะ(สถานีที่มีนามบัตรและการ์ดอื่นๆจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก), ทะเลสาบ Tofutsu ที่มีหงส์
7.คูชิโระ - ชมนกกระเรียนที่เกือบจะสูญพันธุ์ ณ หมู่บ้านซึรูมิได(Tsurumidai), สะพาน Nusamai

เลือกประเภทการเดินทาง
พอได้สถานที่ท่องเที่ยวคร่าวๆที่ฮอกไกโดตามนี้แล้ว ก็มาจัดลงตามวันต่างๆ รวมแล้วอยู่ในฮอกไกโด 10 วันด้วยกัน เนื่องจากช่วงที่ไปฮอกไกโดนั้นมีหิมะตก และคงหนาวสุดๆแน่ๆ ส่วนตัวไปแต่สถานที่ที่มีหิมะตกไปแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ หรือลาดักห์ ไม่เคยเจอที่กำลังตกซึ่งไม่อยากเสี่ยงกับสภาพแวดล้อมที่เราไม่คุ้นเคย ผมเลยตั้งใจที่จะบินไปลงที่นาริตะ โตเกียวก่อน เพื่อเป็นการอบอุ่นร่างกายหรือเรียกว่าปรับสภาพร่างกายก่อนที่จะไปเจออากาศหนาวจริงๆที่ฮอกไกโด โดยพักค้างคืนที่โตเกียว 2 คืนด้วยกัน ก่อนที่ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้ามืดจะนั่งชินคันเซ็นสาย Tokyo - Hokkaido ไปลงฮาโกดาเตะต่อไป ส่วนขากลับจากฮอกไกโด นั่งคิดตั้งนานว่าจะกลับเส้นทางไหนดี ตอนแรกกะจะกลับโดยเครื่องบินจากสนามบิน New Shitose ซัปโปโรมาไทยเลย แต่ดูตั๋วแล้วแพงน่าดูเพราะเป็นช่วงเวลาหลังปีใหม่ไม่นาน เลยเปลี่ยนแผนหาตั๋วจากซัปโปโรมาลงโตเกียวก่อน อ้าว....ยังแพงอีก เลยคิดอีกที แล้วทำไมไม่นั่งชินคันเซ็นแบบเดิมมาลงหล่ะเนี่ย?? งงตัวเองจริงๆ

เป็นอันว่า ทั้งไปและกลับ โตเกียว-ฮอกไกโด นั่งชินคันเซ็นทั้ง 2 ขา คราวนี้เลยต้องหาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพ-นาริตะ ให้ราคาถูกที่สุดโดยมีเงื่อนไขว่า ขาไปจะไปก่อนวันคริสต์มาส เพราะอยากอยู่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ญี่ปุ่น ส่วนขากลับต้องให้วันกลับครอบคลุมวันที่อยู่ในโตเกียวขาไป+วันที่อยู่ในฮอกไกโด 10 วัน+วันที่กลับมาอยู่ในโตเกียวก่อนบินกลับ และไม่เกิน 15+1 วันในการมาอยู่ในญี่ปุ่นด้วย!

เว็บช่วยในการหาตั๋วที่ถูกที่สุด
การหาตั๋วเครื่องบินของผมนั้น ผมใช้บริการ Sky Scanner ซึ่งเราแค่กำหนดเมืองขาไปและเมืองขากลับ ตัวเว็บก็จะหาเส้นทางที่เราพิจารณาเป็นพิเศษ เช่น เส้นทางที่ถูกที่สุด หรือเส้นทางที่เร็วที่สุด ก็แล้วแต่จะเลือกใช้ ผมใช้ถูกที่สุด ปรากฎว่า วันเดินทางไปและกลับไปตกเอาวันที่ 24 ธค. 60 โดยสายการบินแอร์เอเชียเอ๊กซ์ รอบ 10.45 น. ส่วนขากลับเป็นวันที่ 7 มค. 61(รวมแล้ว 15 วัน เกือบครบโควต้า 15+1 วัน แค่วันเดียว)โดย 2 สายการบินคือ Jetstar Japan และ Peach คือต้องแวะทรานสิทไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งระหว่างโอกินาว่า หรือ ไต้หวัน เลือกโอกินาว่าอย่างไม่ต้องลังเลเพราะจะได้เที่ยวอีกครึ่งวันด้วย เพราะเวลาดี ขาออกจากโอกินาว่าห่างจากขามาถึง 10 ชั่วโมงด้วยกัน ได้มีเวลาเที่ยวอีกสถานที่หนึ่งต่างออกไปจากญี่ปุ่นเดิมๆ!

แผนเที่ยวคร่าวๆในโตเกียวและโอกินาว่า
  1. ช่วงวันไปถึงญี่ปุ่นก่อนจะไปฮอกไกโดผมจะมีเวลา 2 คืนกับ 1 วันเต็มๆที่โตเกียว ซึ่งเป็นวันคริสมาสต์พอดี แพลนว่าจะไปมหาวิทยาลัยของน้องที่รู้จักกันโดยน้องเขาจบจาก Tokyo University of Agriculture and Technology จะไปถ่ายรูปมหาวิทยาลัยให้เขาหายคิดถึงพร้อมกับวิดีโอคอลให้น้องเขาเห็นสถานที่จริงๆตอนนั้นเลย เพราะอยู่ในโตเกียวไปทางตะวันตกไม่ไกลมากนักนั่งรถไฟชิลล์ๆ 41 นาที แล้วค่อยกลับมาซื้อของฝากให้น้องอีกคนที่ Gallery Marusan อยู่ที่อูเอโนะพอดี 
  2. ช่วงวันหลังจากจบจากฮอกไกโดผมจะมีเวลา 2 วันครึ่งที่โตเกียว ก็จะไปเก็บภาพมุมมหาชนที่ Chureito Pagoda ที่มีแบ็คกราวน์เป็นภูเขาไฟฟูจิ พร้อมกับมาซ่อมบางสถานที่รอบๆทะเลสาบคาวากูจิโกะ และหารองเท้าและของฝากให้เพื่อนๆที่ฝากมา 
  3. วันสุดท้ายก่อนบินกลับไทย จะไปลงที่โอกินาว่ามีเวลา 6 ชั่วโมงด้วยกันก็จะนั่งรถไฟโมโนเรลไปเที่ยวปราสาทชูริ มรดกโลก ของญี่ปุ่นครับ พร้อมกับเดินเล่นที่ถนนนานาชาติ(Kokusai dori) แพลนโดยรวมทั้ง 15 วันก็จะประมาณนี้ครับ
ดังนั้น สรุปแผนการเดินทางและท่องเที่ยวของทริปยาวๆ 15 วัน อินเจแปน เป็นดังนี้ครับ

แผนการเดินทางและท่องเที่ยวของทริปนี้ ณ วันก่อนบินไปญี่ปุ่น

พาสที่ใช้ในทริปนี้
การที่จะเดินทางไปฮอกไกโดจากโตเกียวด้วยรถไฟชินคันเซ็นนั้น โดยเฉพาะทั้งไปและกลับด้วยแล้ว ต้องมี JR Pass ไว้ไม่งั้นค่ารถไฟบานตะไทยมากๆ โดยพาสที่เหมาะสมกับเงื่อนไขนี้แบบราคาถูกสุดและเป็นพาสใหม่ที่ทำมาต้อนรับรถไฟชินคันเซ็นน้องใหม่ล่าสุดสายโตเกียว-ฮอกไกโดนั้นก็คือ (1)JR East-South Hokkaido Rail Pass โดยเป็นพาสที่น่าใช้มากๆ ใช้ได้ 6 วันใน 14 วันนับแต่วันออกพาสจริงที่ญี่ปุ่นโดยไม่จำเป็นต้องต่อกันทั้ง 6 วัน(Flexible 6 Days Pass) ซึ่งเงื่อนไขแบบนี้ทำให้เราสามารถนั่งชินคันเซ็นจากโตเกียวไปฮอกไกโดในวันเริ่มต้น และอาจใช้พาสไปอีกกี่วันก็แล้วแต่ แล้วมีการหยุดใช้พาส วันก็ยังเหลืออยู่ โดยเอามาใช้ในวันหลังๆเพื่อจะเดินทางกลับจากฮอกไกโดมาโตเกียวก็สะดวกสุดๆ ผมเองใช้พาสนี้แบบนี้ครับ แต่พาสนี้ก็สามารถใช้ได้เพียงแค่เมืองซัปโปโรเท่านั้น(โอตารุยังใช้ได้) เหนือเมืองนี้ขึ้นไป เช่น อะซาฮิกาวะ อะบาชิริ คูชิโระ ใช้ไม่ได้แล้วครับ แต่ผมมีแพลนไปตั้ง 3 เมือง แล้วจะทำยังไงดี?? แต่ถึงแม้จะใช้ได้ มันก็ได้ไม่ครบวันที่ผมเที่ยวในฮอกไกโดอยู่ดี ฮ่าๆๆ หักเดินทางไปและกลับ 2 วันก็จะเหลือใช้ได้อีกแค่ 4 วัน ดังนั้น พาสที่ผมจะต้องซื้อมาเพิ่มเติมนั่นคือ (2)JR Hokkaido Rail Pass 3Days โดยสามารถใช้ได้กับรถไฟ JR บนเกาะฮอกไกโดทั้งหมดทุกเมืองในเวลา 3 วันติดกัน ซึ่งมาเติมเต็ม 3 เมืองที่ผมต้องไปนั่นเองครับ ก็เป็นอันว่ามี JR Pass อยู่ 2 ใบ ครอบคลุมจำนวนวัน 9 วันด้วยกันจาก 10 วันที่อยู่ในฮอกไกโด และ 15 วันที่อยู่ในญี่ปุ่น
แนะนำเอเย่นท์จำหน่ายพาส
(1) JR East-South Hokkaido Rail Pass ซื้อพาสนี้เป็นพาสแรก สืบราคาไปมาหลายเจ้า ไปได้ราคาถูกสุดทีี่เจ้านี้ คุยไปคุยมา อ้าว....เจ้าแรกที่เคยซื้อ JR Pass แบบทั่วภูมิภาคตอนไปญี่ปุ่นครังแรกนี่หน่า Accord Travel นั่นเอง ส่ง EMS มาที่บ้านครับ ด้วยราคา ณ วันที่ 13 ธค. 60 7,395 บาท(26,000Y) อ้อ...โทรไปตามเบอร์นะครับ
http://www.japanonsales.com/FareforJRPass.html

JR East-South Hokkaido Rail Pass (Flexible 6 days from 14 days) แบบ Exchange Order

JR East-South Hokkaido Rail Pass (หน้า-หลัง) ของจริงที่ใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

(2) JR Hokkaido Rail Pass 3Days ตอนแรกไปเห็นที่เว็บ https://www.kkday.com/th/product/11643 ราคาถูกสุด เลยจองไป ปรากฎว่าออกตั๋วให้ช้ามากๆ บอกรอ 3-4 วันถึง มันฉิวเฉียดที่ผมจะบินแล้ว เพราะสนง.ใหญ่อยู่ที่ไต้หวัน สุดท้ายรอไม่ไหวขอยกเลิก แต่ก็ดีครับ ยกเลิกให้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ จุดที่ไม่ดีอีกอย่างคือ ติดต่อยากมากๆ เพราะคนไทยน้อย เลยไปได้อีกเจ้า คือ Wisma Travel โดยให้เมสเซ็นเจอร์ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งห้างบิ๊กซีแถวบ้าน ด้วยราคา ณ วันที่ 19 ธค. 60 4,700 บาท(16500Y)
https://wismatravel.com/jr-hokkaido

Hokkaido Rail Pass แบบ 3 วันต่อเนื่อง แบบ Exchange Order

Hokkaido Rail Pass แบบ 3 วันต่อเนื่อง (หน้า-หลัง) ของจริงที่ใช้งานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งรวม 2 Pass แล้วราคา = 26000+16500 = 42,500 เยน ซึ่งถูกกว่าพาสแบบทุกภูมิภาค 14 วัน ซึ่งราคา 46,390 เยน อยู่ 3,890 เยน ด้วยกัน

การนับวันที่อยู่ในญี่ปุ่น แบบไม่ต้องขอวีซ่า 15 วันด้วยกัน
เป็นที่ถกเถียงและมึนงงกันมากๆว่า ถ้าเข้าประเทศญี่ปุ่นแล้ว 15 วันที่อยู่ได้นั้นนับวันกันอย่างไร ในพันทิปเองก็มีกระทู้นึงที่เถียงกันปานจะตีกัน คนนึงก็เถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องในหัวข้อว่า วันที่ 0 เรียกไม่ได้ โน่นนี่นั่น ซึ่งผลลัพธ์มันให้ค่าเท่ากันคุณจะไปเถียงเพื่ออะไร?? กลับมาเรื่องการนับวันจริงๆครับ เอาเข้าจริงผมเองก็ไม่เคยมีเรื่องพวกนี้อยู่ในหัวเลยเพราะไม่เคยไปต่างประเทศเฉียดๆหรือเกินกำหนดที่เขาให้พำนักในแต่ละประเทศที่เข้าไป พอมาครั้งนี้มีโปรแกรม 14-15 วันด้วยกันมันก็ยิ่งเสียวๆว่าวันที่เรานับนั้นเกินหรือพอดี หรืออย่างไรกันแน่ แต่ผมหาข้อมูลจนแน่ใจก่อนนะครับว่านับวัน 15 วันในญี่ปุ่นนับยังไงก่อนจะจองตั๋วเครื่องบินไปและกลับ เพื่อให้มันแน่ใจและชัวร์จริงๆ เอาหล่ะมาดูรูปตราประทับในพาสปอร์ตเมื่อตอนเข้าประเทศญี่ปุ่นใน 2 ครั้งก่อน และล่าสุดครั้งนี้กันก่อนครับ ว่าเขาให้พำนักในประเทศเขา 15 วันนั้นหมายถึงวันไหนถึงวันไหนกันแน่???

ดูในรูปแรกที่มีตราประทับจากตม.ญี่ปุ่น 2 ครั้งด้วยกัน และรูปที่ 2 เป็นครั้งล่าสุดครั้งนี้ 
  1. ครั้งแรก : ซ้ายสุด อยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้นับจากวันที่ 15 พย. 2014 - 30 พย. 2014  (รวม 16 วัน)
  2. ครั้ง 2 : ตรงกลาง อยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้นับจากวันที่  9 มค. 2016 - 24 มค. 2016  (รวม 16 วัน)
  3. ครั้ง 3 : ขวาสุด อยู่ในประเทศญี่ปุ่นได้นับจากวันที่ 24 ธค. 2017 - 8 มค. 2018  (รวม 16 วัน)
สรุป คือ ตม.ญี่ปุ่นนับวันที่เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นวันแรก เป็นวันเริ่มต้น(วันที่ 0) และนับวันที่ 1 ในวันรุ่งขึ้นจวบจนครบวันที่ 15 ในวันสุดท้ายที่แจ้งในพาสปอร์ต พูดง่ายๆคือ สามารถอยู่ในญี่ปุ่น 16 วัน 15 คืนด้วยกัน!!!

เว็บจองที่นั่งล่วงหน้าของรถไฟ JR
ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นประมาณ 10 กว่าวัน บังเอิญกดไปเรื่อยๆไปเจอเว็บนี้ขึ้นมา โชคดีมากๆ สะดวกขึ้นเยอะเลยและรับประกันว่าเราจะมีที่นั่งได้ 100% แน่ๆก่อนจะเดินทางไปถึงญี่ปุ่นด้วยซ้ำ! เพราะแต่ก่อน ต้องไปถึงที่ญี่ปุ่นก่อน เอา Exchange Order ที่เราได้มาจากในไทย ไปแลกเป็น JR Pass ของจริงก่อน แล้วนำพาสนั้นไปขอให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วจองที่นั่งอีกทีตามขบวนรถไฟที่เราแพลนจะไปนั่ง ซึ่งถ้าไปถึงช่วงเทศกาลเจอแถวยาววและคนเยอะๆ ไปถึงญี่ปุ่นไม่กี่วันก่อนจะจองที่นั่ง เคสแบบนี้มีหวังที่นั่งเต็มก่อน แต่ถ้าใช้เว็บนี้จอง สามารถจองล่วงหน้าได้ถึง 1 เดือนก่อนจะเริ่มเดินทางในขบวนนั้นๆ สะดวกและดีงามมากๆ ส่วนผมจองล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก็ได้ที่นั่งครบทุกขบวน มี 1 ขบวนบางวันที่จะจองเต็มต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางกันให้วุ่นเลยครับ ทำให้ต้องทิ้งทีพักในอะซาฮิกาวะ 1 คืนแบบเสียเงินฟรี เพราะต้องเดินทางในเย็นวันนั้นเลย ไม่พักแล้ว นี่ขนาดจองล่วงหน้าก่อนเดินทางจริง 10 กว่าวันนะเนี่ย! ถ้ารอแบบเก่าไปถึงญี่ปุ่นแล้วค่อยจองมีตายแน่ๆ แผนที่ทำมากระทบได้

||
V
||
V

ถ้ามี login หรือสมัครแล้ว คลิก login ก็จะเจอหน้านี้
||
V

ผมยกตัวอย่างจาก login ของผมนะครับ เข้าไปแล้วจะเจอเคสของตัวเอง ถ้าคนใหม่ก็จะมี 0 ก่อน ส่วนผมมี 17 เคสด้วยกัน คือทั้งจองได้และยกเลิกรวมทั้งหมด 17 เคส

เอาเคสแรกคือวันหลังสุดของการเดินทางมาพิจารณากัน
Application Date: คือวันที่กดจองในเว็บ
Seat Charge: กรณีที่จองโดยตัดบัตรเครดิต หรืออะไรที่ไม่ใช่การจองโดยอ้างอิง JR Pass
Reservation No: คือเลขการจอง
Status: คือสถานะการจอง ณ ขณะนั้น เช่น ถ้ากดจองแล้วแต่ยังไม่ถึงวันรับตั๋วจองก็จะขึ้น Confirmed ส่วนตอนนี้ขึ้น Ticket issued OK คือออกตั๋วและรับตั๋วไปแล้วนั่นเอง
Pass Type: ชื่อพาสที่เราเลือกจะใช้ในการจองที่นั่งเที่ยวนั้นๆ
Credit Card: หมายเลข 4 ตัวหลังของบัตรเครดิตที่ใช้อ้างอิงในการจอง
Refund Application: --ไม่รู้--
Refund Charge: กรณีที่ต้องการยกเลิกการจอง จะมีค่ายกเลิก้ท่าไหร่ แล้วแต่
Reservation Details รายละเอียดการจอง
Departure Date วันที่เดินทางของตั๋วจอง
Service / Passengers ขบวนรถ/สถานีออก(เวลา)/สถานีถึง(เวลา)/ผู้โดยสาร
Seating Option ออปชั่นเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่นั่ง เช่น ขบวนรถแบบไหน ปกติ หรือ กรีนคาร์/ไม่สูบบุหรี่มั้ย/ติดหน้าต่างหรือทางเดิน/ที่นั่งติดกันไม่พอ แยกกลุ่มได้มั้ย
Station Ticket Window สถานีที่ไปรับตั๋วจองที่นั่ง / Pick up Date: วันไปรับตั๋วจองที่นั่ง

ตัวอย่างการจองตั๋วที่นั่งชั้นธรรมดาของรถไฟชินคันเซ็น Hayabusa 1 จากสถานีอูเอโนะไปปลายทางสถานีชินฮาโกดาเตะโฮกุโตะ
เดินทางในวันที่ 26 ธันวาคม 2560 เวลา 06:38 ถึง 10:57 น. โดยไปรับตั๋วจองที่นั่งที่สถานีอูเอโนะ วันรับตั๋วคือวันที่ 25 ธันวาคม 2560
Link สมัครใช้บริการ
http://www.jreast.co.jp/e/ --> Click --> JR-EAST Train Reservation --> Click --> LOGIN --> (>> Membership Register) กรณียังไม่ได้สมัคร

เครือโรงแรม Toyoko-Inn
คือตอนแรกก็กดจองที่พักจาก Booking.com แบบปกติที่เคยทำมานะครับ แต่ลองดูโรงแรม Toyoko-Inn เปรียบเทียบดูในแต่ละสถานที่ที่ไปพัก ปรากฎว่า Toyoko-Inn นั้นราคาไม่ได้แพงอะไรมากเลยเมื่อเทียบกับโรงแรมอิ่นๆ และถ้ายิ่งสมัครสมาชิก(ค่าสมัคร 1500Y)ด้วยแล้ว ราคายิ่งถูกลงไปอีก แถมพัก 10 คืนได้ฟรี 1 คืนซะด้วย คราวนี้เมื่อสมัครสมาชิกราคาต่อคืนถูกกว่าโรงแรมแคปซูลที่จองไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ดีที่กดยกเลิกได้ เลยยกเลิกแคปซูลแล้วไปพัก Toyoko-Inn ที่มีเตียงนุ่มๆนอนสบายๆ ห้องเป็นส่วนตัว และถ้าพักโรงแรมใด 2 คืนขึ้นไป ขอไม่ต้องทำความสะอาดได้ส่วนลดไปอีก 300Y ด้วยนะครับ สรุปแล้ว ผมพักเครือ Toyoko-Inn ในทริปนี้ทั้งสิ้น 7 คืน โดยกดจองโรงแรมทางเน็ตไปก่อนนะครับ แล้วพอไปถึงที่นั่นที่โรงแรมตอนจะเช็คอินให้บอกเขาว่าจะสมัครสมาชิกแล้วจะใช้สิทธิสมาชิกจ่ายค่าห้องเลย ลดไป 5%-20% แค่นี้ก็ได้แล้วครับ โดยเขาจะถ่ายรูปให้ตอนนั้นและรอรับบัตรได้ในวันรุ่งขึ้นหรือตอนกลับมาเข้าห้องในวันนั้นเลยก็แล้วแต่(สำหรับผมไปสมัครสมาชิกตอนเช็คอินที่สาขาฮาโกดาเตะ รับบัตรตอนกลับมาเข้าห้องช่วงบ่าย 4 โมงเย็น)

หน้าเว็บโรงแรม Toyoko-Inn


บัตรสมาชิกคลับ Toyoko-Inn ด้านหน้า

บัตรสมาชิกคลับ Toyoko-Inn ด้านหลัง
Link สมัครสมาชิก
https://www.toyoko-inn.com/login/register/input/index.html?lcl_id=en
Link สิทธิประโยชน์
https://www.toyoko-inn.com/club/index.html?lcl_id=en

การแต่งกายในหน้าหนาวแบบมีหิมะตก
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กังวลใจมากๆสำหรับผม เพราะบอกเลยว่า ไม่เคยมาสถานที่ที่มีหิมะกำลังตกอยู่ในชีวิตเลย อย่างที่บอกไปคือแค่เจอหิมะที่ตกไปเรียบร้อยแล้ว กองสุมแข็งๆอยู่ตรงพื้นตรงเส้นทางเท่านั้น พอจะต้องไปในสถานที่ที่มีหิมะตกแถมบางวันตกหนักซะด้วยสิ เลยกลัวมากๆ แต่ในเมื่อตั้งใจจะไปแล้วก็ต้องเตรียมตัวกันอย่างถึงพริกถึงขิงกันหน่อย หาข้อมูลในเน็ตอยู่นานพร้อมกับทดลองสวมใส่เสื้อผ้าจริงอยู่บ้างในร้านชื่อดังจากญี่ปุ่น จึงเป็นบทสรุปได้ดังนี้
  • เสื้อ การไปประเทศที่มีอุณหภูมิติดลบนั้น การสวมใส่เสื้อที่กันหนาวได้จริงๆและสวมจำนวนชั้นที่พอดีก็จะกันหนาวหรือให้ความอบอุ่นกับเราได้จริงๆครับ โดยทั่วไปจะแบ่งตามนี้ครับ
    • ชั้นในสุด - เสื้อแขนยาวแบบลองจอนที่แนบเนื้อจริงๆอย่าใส่ไซส์ที่หลวมเกินไปนะครับเพราะมันจะมีช่วงว่างทำให้ลมเข้ามาได้และไม่เกิดการกักเก็บความร้อนของร่างกาย ผมใช้ Heattech Ultrawarm size M ของ Uniqlo ซึ่งมันใช้งานได้ดีจริงๆ รับประกัน 100% ! ผมไปซื้อที่ประเทศดั้งเดิมเลยคือญ๊่ปุ่น ที่โตเกียวครับ มีหลายสาขามากๆ ที่ไม่ซื้อในไทยเพราะเปรียบเทียบราคา 2 ประเทศแล้ว ในไทยแพงกว่าคือ 990 บาท แต่ญี่ปุ่นขายเพียง 1990Y+VAT 8% = 645 บาทเท่านั้น!
    • ชั้นที่ 2 - จะเสื้อยืดปกติ หรืออะไรก็แล้วแต่ครับ สามารถใส่ได้ทั้งนั้น หรือไม่ส่แล้วไปใส่ชั้นที่ 3 แทนก็ได้
    • ชั้นที่ 3 - เสื้อ Fleece หรือเสื้อสเวทเตอร์ สำหรับผม เสื้อ Fleece size L 2 ตัว สลับกันใส่จาก Uniqlo เช่นเดิม ซื้อที่ไทยก่อนไป เพราะทั้ง 2 ที่ ราคาพอๆกัน อ้อ...ซื้อตอนลดราคาจาก 790 บาทเหลือตัวละ 590 บาท สำหรับสถานที่ที่มีอุณหภูมิประมาณเลขตัวเดียวแบบไม่คิดลบ เช่น โตเกียว สามารถจบที่ชั้นนี้ได้เลย เพราะยังอุ่นสบายๆ
    • ชั้นนอกสุด - จำเป็นมากๆที่ต้องมีชั้นนี้สวมด้วย เพราะลำพัง 3 ชั้นที่ว่ามามันยังเอาไม่อยู่ครับ ผมเองลองสวนแค่ 3 ชั้นแล้ว ปรากฎว่าหนาวเอามากๆ ไม่สามารถทำได้กับสถานที่ที่ติดลบอย่างซัปโปโร หรือฮาโกดาเตะ ฉะนั้น ชั้นนี้ควรเป็น โอเว่อร์โค้ท หรือเสื้อแจ็คเก็ตแบบขนเป็ดที่มีคุณสมบัติกักเก็บความร้อนในตัวเราได้สบายๆ ผมเลือกใช้ Down Jacket size L จาก Uniqlo อีกเช่นเดิม ฮ่าๆๆ ในตัวนี่เกือบจะ Uniqlo ทั้งตัว โดยช่วงก่อนไปไม่กี่วัน มีลดราคาพอดีจาก 3990 บาท --> 2400 บาท --> 1990 บาท เช็คราคากับโตเกียวแล้ว ในไทยถูกกว่าครับ เลยจัดไป 1 ตัวแล้วก็คุ้มเอามากๆๆๆๆๆ เอาอยู่ทั้งทริปโดยเฉพาะในฮอกไกโดเลยครับ ของเขาแน่จริงๆ แถมด้วยราคาไม่แพง
                    ชั้นในสุด - Heattech Ultra Warm                          ชั้นที่ 2 - เสื้อยืดปกติ

เสื้อฟลีซ

                                   ชั้นที่ 3 เสื้อฟลีซ                                ชั้นนอกสุด - แจ็คเก็ตขนเป็ด
  • กางเกง
    • ชั้นในสุด - กางเกงลองจอนแนบเนื้อ จะค่ายไหนก็ไม่ว่ากัน สำหรับผม Heattech Ultrawarm size L กันหนาวขาได้เหมือนเดินในสถานที่อุณภูมิปกติเลยครับ แน่นอนว่าไปซ์้อที่ญี่ปุ่นเช่นเดียวกับเสื้อ Heattech ราคาเท่ากันเลย
    • ชั้นนอกสุด - Blocktech Extra Warm Pant หรือจะเป็นกางเกงยีนปกติก็ได้ครับ แต่ต้องดูด้วยว่ารูพรุนในยีนส์มันมีเยอะมั้ย เห็นว่าผ้ายีนส์หนาๆใช่ว่าจะกันหนาวได้ดีนะครับ ลมเข้านี่เย็นยะเยือกกันเลยทีเดียว โดยประสบมากับตัว วันที่อยู่ในอะบาชิริ วันนั้นหิมะตกพอควรผมเปลี่ยนมาใส่กางเกงยีนส์บ้าง เพื่อจะไปพิพิธภัณฑ์นักโทษอะบาชิริ ผลปรากฎว่าเย็นๆ หนาวๆขาครับ ซึ่งไม่เกิดขึ้นเมื่อตอนใส่ Blocktech ของ Uniqlo เลย พอกลับมาจากพิพิธภัณฑ์เลยรีบเปลี่ยนกลับมาเป็น Blocktech อย่างเดิม เกือบไปแล้ว ผมซื้อในไทยก่อนไปด้วยราคาลดจาก 990 บาท เหลือ 690 บาท บล็อคลมเย็นได้จริงๆครับ
                     ชั้นในสุด - Heattech Ultra Warm             ชั้นนอกสุด - Blocktech Extra Warm Pant
  • ถุงเท้า อันนี้กังวลใจนิดนึงเพราะเคยไปเมืองหนาวแล้วตอนนอนมันหนาวเท้ามากๆ ต้องตื่นมาใส่ถุงเท้าเพราะทนหนาวไม่ไหว เลยกลัว ซื้อถุงเท้า Heattech 2 คู่ + ถุงเท้าปกติอีก 4 คู่ จาก Uniqlo เช่นเดิม ผมคือไม่ได้รู้สึกหนาวเท้าแล้วครับ เฉยๆ แต่ระหว่าง Heattech กับแบบปกติก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยครับ เหมือนๆกัน เอาไปตัดสินใจกันเอง
  • ถุงมือ เป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับเมืองหนาวที่ต้องมีไว้สวมใส่เสมอ แม้อากาศจะอยู่เลขตัวเดียวไม่ถึงกับติดลบก็ต้องใส่เพราะมันจะเย็นมือเอามากๆ ไม่ต้องพูดถึงอุณหภูมิติดลบเลย ตอนไปเอาไป 1 คู่ของคนอื่น สุดท้ายดันไปลืมไว้ที่ช่องเก็บของหน้าเบาะรถที่กลับจากคิโรโระรีสอร์ท ลงมาแล้วจะขึ้นรถไฟกลับซัปโปโรถึงนึกขึ้นได้จะใส่ อ้าว....หาไม่เจอแล้ว เลยไปซื้ออันใหม่มา เลือกใช้รุ่นแบบปกติจาก Uniqlo ที่ซัปโปโรครับ แต่บอกเลยรำคาญเวลาจะกดมือถือหรือทำอย่างอื่นเอามากๆ ต้องถอดเข้าถอดออกสลับกัน ทำให้หายง่ายด้วยครับ ฉะนั้นต้องเก็บไว้ดีๆ ถอดเสร็จก็ใส่ในเสื้อนอกไว้ จะได้ไม่หาย
  • ผ้าพันคอ อันนี้ใช้ให้อบอุ่นส่วนรอบคอและเป็นแฟชั่นสวยงามไปในตัว เพราะอากาศจะเย็น คออาจไม่ได้รับการปกคลุม แต่ถ้าใครใส่เสื้อที่เป็นแบบคอเต่าแล้ว หรือแจ็คเก็ตมันคลุมมาถึงก็ไม่จำเป็นต้องใช้ หรืออาจจะใช้ Heattech Neck Warmer ก็ได้ครับ 290 บาท ผมใช้อันนี้แทน แต่ปรากฎว่า ใส่แล้วรำคาญดีแท้ พอสวมแจ็คเก็ตดาวน์และใช้ฮู้ด มันจะหนาๆที่คอเหมือนจะหายใจไม่ออกเอา สุดท้ายไม่ได้ใช้ครับ เยอะเกิน ฮ่าๆๆ
  • หมวกคลุมศีรษะ สิ่งนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน ไม่มีไม่ได้ ศีรษะจะหนาวมากๆ ผมเอาหมวกไหมพรมที่พี่คนนึงถักมาให้นานแล้ว แต่ยังไม่เคยใช้เลยเพราะไม่ถึงเวลา มาคราวนี้ได้ใช้จริงๆ สลับกับการไปซื้อใหม่อีก 1 อันที่ญี่ปุ่นด้วย เพื่อนๆ สามารถเลือกเอาที่สวยงามตามสบายที่ชอบเลยครับ ผมไปซื้อที่ร้านเซเว่นที่อูเอโนะ 790Y สามารถใช้สวมศีรษะหรือใส่เป็น Neck Warm ก็ได้ครับ ได้ 2 แบบ  และเวลาสวมศีรษะสามารถดึงลงมาปิดหูได้อีกด้วยเวลาที่อากาศหนาวเย็นเอามากๆ
  • ที่ปิดหู ส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็น น่าจะออกแนวแฟชั่นการแต่งกายซะมากกว่า เพราะลำพังหมวกคลุมศีรษะมันดึงมาปิดหูได้หมดครับ หรือถ้าสวมแจ็คเก็ตขนเป็ดใช้ฮู้ดมันก็จะคลุมไปทั้งหมดของศีรษะได้แล้ว เลยไม่ได้หาซื้อใช้
  • หน้ากากกันฝุ่นกันลม(Mask) ผมเองชอบใส่แมสค์แบบชาวญี่ปุ่นที่เขาใส่กันทั้งเมืองเพราะมันกันฝุ่นหรือเชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อมได้ พร้อมกับไอเย็นๆของอากาศได้อีกด้วย เลยติดใส่แมสค์จนหลายครั้งเวลาไปจ่ายเงินซื้อของ คนหน้าเคาน์เตอร์ชอบคิดว่าผมเป็นคนญ๊่ปุ่นตลอด ฮ่าๆๆ
  • รองเท้า ตอนแรกกังวลเหมือนกันเนื่องจากตอนไปสิกขิมครั้งก่อน เดินบนหิมะบนพื้นแล้วลื่นอยู่หลายๆครั้งกับรองเท้าเดิมคู่นี้ เพราะคิดว่าจะใช้คู่เดิมแน่ๆคงไม่ซื้อใหม่แบบรองเท้าลุยหิมะแต่อย่างใด ใช้แค่ไม่กี่วันเอง พอได้ดูคลิปยูทูปจากท่านนึงแล้วก็เลยตั้งใจจะไปซื้อมาใช้กับรองเท้าเราแน่ๆ เป็นแผ่นยางที่ยืดได้สวมไว้ด้านนอกรองเท้าตรงพื้นรองเท้าเดิม มี 2 size เลือกใช้ size L โดยไปเจอที่ร้าน ABC Mart ที่อูเอโนะ แถมซื้อสเปรย์ฉีดรองเท้าเพื่อกันน้ำและหิมะละลายลงรองเท้าด้วย แต่แพงไป มาซื้อในไทยถูกๆดีกว่า ผลใช้งานได้ดีครับ ยึดเกาะหิมะดีมากๆ ไม่ลื่น แต่สุดท้ายดันไปหาย 1 ข้างขาลงจากด้านบน Love Bell ที่ Kiroro Ski Resort ตอนแรกกะจะซื้อใหม่ แต่ก็แอบแพง เลยใช้ต่อด้วย 1 ข้างแบบนี้ดีกว่า ฮ่าๆๆ แต่มันก็จะไม่สมดุลนะครับ ซื้อใหม่ดีที่สุด เพราะดันไปลื่นมือและเข่ายันพื้นที่สวนสัตว์อะซาฮิยามะ ตอนไปดูเพนกวิ้นพาเหรดครับ ตอนเข่ายันพื้นนี่ คิดว่าจะลุกและเดินไม่ได้แล้ว เพราะกระแทกพอควร บวกกับเป็น AS ด้วย กระดูกกระเดี้ยวไม่ 100% แว้ววว แต่สุดท้ายก็พอยันขึ้นมาได้ เฮ้อ....มีเถอะครับ ชุดเกาะพื้นหิมะและกับการลื่นเวลาเดินบนพื้นหิมะ มันคุ้มเอามากๆ
สตั๊ดกันลื่นจากหิมะ

การเลือกใช้กระเป๋าเดินทาง
การที่จะไปประเทศเมืองหนาวถึงขั้นหิมะตกซึ่งรวมๆแล้ว 15 วันด้วยกันนั้น คงไม่สามารถเอาเป้สะพายหลัง(Backpack bag) ไปได้แบบที่เคยเอาไปเมื่อครั้งก่อน(ญี่ปุ่น ภาค 2) ที่ผ่านมาแน่ๆ เพราะเสื้อผ้าอย่างที่อธิบายไปคือต้องใช้หลายชั้น และเนื้อผ้าเองก็หนามากกว่าปกติอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ปริมาตรเพิ่มขึ้นมาเป็น 2 เท่าอย่างต่ำ เป้สะพายหลังเก็บไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยเงื่อนไขนี้จึงต้องนำเอากระเป๋าใหญ่ 26" แบบล้อลากมาใส่เสื้อผ้าเป็นหลัก และเอากระเป๋าเป้สะพายหลังมาใส่สิ่งของเพิ่มเติม อีกทั้งต้องใส่กระเป๋ากล้องซ้อนเข้าไปอีก เพราะไม่สามารถแบก 2 เป้ไปในคราวเดียวได้แน่ๆ :( แต่ถึงอย่างไรก็พะรุงพะรังน่าดูครับ แต่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ 
โดยกระเป๋าเป้สะพายหลังมีจุดประสงค์อีกประการคือ ตอนที่เดินทางออกจากซัปโปโรไปทางตอนเหนือของฮอกไกโด คือ อะซาฮิกาวะ อะบาชิริ คูริโระ 3 เมืองนี้ ผมจะเอาเสื้อผ้าไปพอประมาณสำหรับ 3 คืนครับ เลยเลือกใช้เป้สะพายหลังอย่างเดียว ไม่เอากระเป๋าล้อลากไปด้วย เพื่อความคล่องตัว โดยจะฝากกระเป๋าล้อลากไว้ที่โรงแรมที่ซัปโปโร คือ Toyoko-Inn เพราะผมจะกลับมาพักอีก 2 คืนด้วยกันหลังจากจบที่คูชิโระ ซึ่งเช็คแล้วเขาก็รับฝากโดยไม่เสียเงินนะครับ เพราะเรายังคงเป็นแขกเขาด้วย การเลือกใช้กระเป๋าเดินทางสำหรับทริปยาวๆก็ประมาณนี้ครับ

กระเป๋าแบบล้อลาก และเป้สะพายหลัง+เป้ใส่กล้อง&เลนส์

การถ่ายรูปในทริปนี้
วันที่ต้องเดินทางยาวๆระหว่างเมืองโดยมีกระเป๋าล้อลากด้วยนั้น ผมจะไม่ใช้กล้องใหญ่ DSLR เพราะจะพะรุงพะรังมากๆ เปลี่ยนไปใช้กล้องจากมือถือถ่ายรูปแทนซึ่งแลกมาด้วยความไม่คมของภาพ แต่ก็ต้องยอมครับ จะคล้องคอ หรือถอดเข้าถอดออกจากเป้มันลำบากจริงๆ ในขณะที่ต้องลากกระเป๋าใบใหญ่+สะพายเป้กลางหลังและรีบเดินไปขึ้นรถไฟชินคันเซ็น ทำโน่นนี่ ฯลฯ  มันไม่สะดวกเอาซะเลย ทริปนี้เลยได้หลายรูปที่สั่นๆจากกล้องมือถือครับ

สิ่งจำเป็นอื่นๆที่ต้องมีไว้ในการเดินทาง
  • ซิมการ์ด Sim2Fly เลือกซื้อครั้งแรก 8 วัน(399 บาท) และอีกครั้งโดยต่ออายุอีก 8 วัน(299 บาท) รวม 16 วันคลอบคลุมวันในทริปนี้ทั้งหมดครับ 
  • Power Bank แบบจุเยอะๆ เช่น 20,000 mAh แต่เกิน 30,000 mAh เอาขึ้นเครื่องไม่ได้นะครับ
  • อื่นๆ หาอ่านได้จากบทความก่อนๆ เช่น ตอน 0 ของทริปญี่ปุ่นครั้งแรก

** ขอฝาก Music Video เพลงฝันลำเอียง ของพี่แจ้ โดยเป็นการประมวลภาพต่างๆที่เกิดขึ้นในฮอกไกโดครั้งนี้ เนื่องจากทริปฮอกไกโดทริปนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก MV เพลงฝันลำเอียงจากหนังแฟนเดย์นั่นเอง ใครยังงงๆ ดู MV นี้อาจเห็นภาพสถานที่คร่าวๆในเกาะฮอกไกโดนี้ที่ผมไปมาได้ดียิ่งขึ้นครับ


โอเคครับ...เรื่องราวการเตรียมตัวในการที่จะไปทริปยาว 15 วัน โดยเฉพาะภูมิภาคฮอกไกโดที่มีหิมะตกแบบนี้ซึ่งต้องเตรียมตัวดีๆ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ถ้ามีอะไรนึกขึ้นได้จะมาเพิ่มเติมทีหลัง และหลังจากบทความนี้ ก็จะเป็นบันทึกเดินทางการเริ่มเดินทางตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายต่อไป กดดูตอน 1 ได้เลยครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น