[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
ผมขึ้นรถไฟจากสถานีซัปโปโร เที่ยวเวลา 6.43 น. ขบวน LTD. EXP SUPER HOKUTO 4 ตามที่ได้จองที่นั่งไว้แล้ว ครั้งนี้ไม่มีรูปสถานีซัปโปโรเพราะพะรุงพะรังและรีบมากๆ ตัดกลับมาที่สถานีโนโบริเบทสึเลยละกัน แล้วก็เอารูปหมีในสถานีจากเมื่อวานนี้มายืมก่อน
จะบอกว่า ขามาลงที่สถานีโนโบริเบทสึ รถไฟมาจอดอีกชานชาลาที่อยู่คนละฝั่งกันตัวสถานีทำให้ต้องแบกกระเป๋าใหญ๋อันหนักขึ้นบันไดสะพานลอยข้ามมาที่ตัวชานชาลาสถานีขาออก เรียกได้ว่าลำบากมากๆ แต่ก็ทำใจไว้แล้วครับ มาเที่ยวไม่มีคำว่าสบาย โดยเฉพาะสถานที่สวยๆล้ำค่า ต้องลำบากนิดนึง
พอมาถึงที่สถานีก็จัดแจงเอากระเป๋าใบใหญ่ฝากไว้ที่ Coin Locker แบบหยอดเหรียญ 500 เยน จริงๆกะจะยัดเป้สะพายหลังด้วย แต่ไม่สามารถครับ ที่ว่างไม่พอ เลยจะฝากกระเป๋าเป้อีกใบใน coin locker ก็ไม่ใหญ่พอจะให้ใส่อีก จนสุดท้ายต้องแบกไปด้วย ลำบากจริงๆ
เที่ยวนี้มีคนไทยไปด้วย 2 คนครับ ด้านซ้ายมือชุดสีดำกับด้านขวามือหมวกสีชมพู
รถขึ้นเขาเล็กน้อยไปตามทางที่คดโค้ง ใช้เวลา 16 นาทีก็มาถึงที่ป้ายรถ Noboribetsu Onsen เป็นป้ายรถสุดท้ายครับ ไม่ต้องกลัวทุกคนต้องลงป้ายนี้
เหลียวไปมองตัวสถานี ตรงนี้เขาทำเป็นรางระบายน้ำจากมิมะและฝนด้วย ดีจริงๆ
เดินตามทางจากตัวป้ายรถมาเรื่อยๆครับ ผมเลือกเดินผ่านโรงแรมโนโบริเบทสึมา หิมะกำลังละลายเลย บอกเลยว่า ช่วงหิมะละลายลำบากกว่าช่วงอื่นๆมากๆ
แล้วก็ตัดถนนมาออกตรงนี้ เห็นป้าย Jigokudani และเหล่าปิศาจชัดเจน จริงๆแวะร้านเซเว่นทานแซนวิชกับกาแฟก่อนครับ
เดินตามเข้ามาครับ ตรงนี้เป็นทางเข้า แปลกมากๆ ไม่เสียเงินค่าเข้า
ตรงนี้เป็นลานกว้างด้านหน้าป้ายหุบเขานรก ฝนก็ตกพรำๆตลอดดดด ในที่สุดก็มาถึงจนได้ แม้เมื่อวานจะพลาดก็ตาม
วิวกับป้ายหุบเขานรก Jigokudani Noboribetsu กันก่อน
มองลงไปดูจากรั้วไม้ จะเห็นทางเดินโค้งไปทางซ้ายมือ
ด้านซ้ายมือคือเดินไปไม่ได้ หิมะน่าจะท่วมและคงอันตรายมาก เลยห้ามคนเข้าใช้เส้นทาง
เดินลงมาอย่างช้าๆสักพักก็จะเป็นทางขึ้นเนิน ก็อย่างที่เห็น หิมะละลายเป็นน้ำแฉะๆ ต้องเอามือจับราวด้วย
บรรยากาศแปลกตาจริงๆครับ
วิวนี้คือมองย้อนกลับไปที่เดินมา มีผู้คนกำลังเดินมากลุ่มนึงพอดี
อีกมุมหนึ่งของหุบเขานรก
อยากได้ร่มบ้าง ณ ตอนนี้ เปียกๆ
มาถึงอีกจุดที่เดินไปทางซ้ายมือไม่ได้อีกแล้วครับ หิมะท่วมเต็ม
งั้นเดินมาทางนี้ จุดเปลี่ยนสีของรั้วไม้สีดำเป็นสีไม้ปกติครับ
เดาว่าตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่พระเอกนางเอกในหนังแฟนเดย์กำลังหยุดยืนคุยเรื่องให้พระเอกมองหน้านางเอกตรงๆโดยไม่หันหน้าไปไหน
เอารูปเจ๊คนจีนมาโชว์ครับ มาคนเดียวให้ผมถ่ายรูปให้ แต่เรื่องมาก มาบอกว่าจะเอามุมใหม่ให้เงยกล้องขึ้นอีก คนจีนนี่เรื่องมากอย่างที่เราเคยเจอมาจริงๆ ถ่ายให้ก็ดีแล้ว คล้ายๆตอนที่ถ่ายให้คนจีน 2 คนที่ Tsurumidai คูชิโระอ่ะครับ แถมเรียกชื่อประเทศเราผิดอีก ก็เป็นมารยาทนะครับที่ถามว่า มาจากไหน? แน่นอนว่า เจ๊แกตอบว่า China แกก็ถามผมกลับ ผมตอบ Thailand เจ๊แกถามซ้ำ เกอแลนด์....??? มันมีซะที่ไหน อิบ้าาาา เสียอารมณ์หมดดด
ตรงนี้มีป้ายปักว่า อันตราย ให้ออกห่างๆ อ้าว....ก็มันเดินไปไม่ได้อยู่แล้วนี่
ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว มีน้ำไหลตามลำธารเล็กๆด้วย น่าจะร้อน
กลับไปมองย้อนทางที่มาอีกครั้ง
สุดปลายทางของเส้นทางนี้ เป็นบ่อน้ำพุร้อนครับ ห้ามโยนเหรียญเข้าไป ชัดเจนดีนะครับ ถ้าเป็นพี่ไทยนี่ เหรียญเยอะมากๆ
นี่ไงน้ำพุร้อน อุณหภูมิ 80 องศา สำรวจรอบๆไม่นานก็เดินวกกลับครับ
เดินกลับมาแล้ว
มาดูคลิปบรรยากาศสดๆ ณ ตอนนั้นดีกว่าครับ ลมแรงมากๆ ฝนก็ตกพรำๆ บางครั้งมีควันออกมาจากมองไม่เห็น สักพักก็จะหายไป เป็นจังหวะแบบนี้ตลอด
เดินกลับๆ
ทางเดินที่เพิ่งเดินลงไป
ซูมไปดูหน่อยละกัน ตอนนี้คนมาเยอะเชียว
แล้วก็เดินลงบันไดมาไหว้พระพุทธรูปครับ ของลัทธิชินโต
แล้วก็เดินขึ้นไปทางขึ้นทางขวามือ อยากรู้ว่ามีอะไร
ขึ้นมาก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เป็นศาลเจ้าให้ไหว้ แล้วก็ลงอีกทางนึง
ได้เวลาเดินกลับแล้วหล่ะครับ อยากรู้จังว่า ที่เป็นพุ่มๆนี้มันคืออะไร น่าจะเป็นต้นไม้อะไรสักอย่าง
ตรงนี้มีทางขึ้นไปอีกนะครับ แต่ไม่มีเวลา เหมาะสำหรับคนที่มาพักที่นี้ค้างคืน จะได้สำรวจได้อย่างเต็มๆ
ดูสภาพตัวเอง
เดินผ่านปิศาจ 2 ตัวที่ดูแลหุบเขานรกนี้ สีฟ้ากับสีแดง เห็นว่ามีความหมาย ไปดูเอาละกันครับว่าคืออะไรบ้าง
อันนี้เป็นลานกว้าง มีเจ้าแท่งๆสีๆ และมีหนามด้วย อย่างกับต้นงิ้วในไทยเลย
เดินผ่านเห็นเจ้ากาตัวนี้มีคนใจดีเอาปลาดิบให้กิน มันกินอย่างเอร็ดอร่อยเลย
แล้วก็เดินมาถึงป้ายรถบัสแล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นแวะซื้อไส้กรอกและกาแฟในร้านเซเว่นทานก่อน ไม่งั้นหิวตายเลย นั่งรอรถในห้องด้านใน สักพักรถบัสก็แล่นมาถึง ได้ขึ้นรถเที่ยว 11.25 น.
แล้วก็มาถึงสถานีรถไฟโนโบริเบทสึในช่วง 11.40 น. เป็นที่น่าเสียดายว่าตั๋วจองที่นั่งในขบวนรถไฟที่จะไปฮาโกดาเตะเต็ม เลยต้องมาลุ้นตู้รถไฟแบบไม่จองว่ามีที่นั่งหรือไม่ แต่คิดว่าคงไม่มีเช่นเคย เตรียมยืนเข้าแถวขึ้นรถไฟครับ ต้องเอากระเป๋าใหญ่ออกมาแล้วรีบยกขึ้นบันไดข้ามสะพานลอยไปอีกครั้ง เดี๋ยวจะไม่ทันเอา รออ่านตอนต่อไปนะครับ จะขึ้นรถไฟกลับฮาโกดาเตะแล้ว พร้อมจะเที่ยวฮาโกดาเตะอีก 2 วันต่อจากนี้ โอ้ว....เหลือวันครึ่งแล้วครับ
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น