วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561

15 วัน อินเจแปน ตอน 9.2 กลับไปซ่อมที่โอตารุอีกครั้ง แต่ขากลับเจอแจ็คพ็อต เส้นทางรถไฟไปซัปโปโรมีอุบัติเหตุ ต้องออกมาขึ้นรถบัสกลับแทน!


หลังจากที่ต้องผิดหวังกับการไปหุบเขานรก(Jigokudani) หรือ Hell Valley ที่โนโบริเบทสึจากตอนก่อน ตอนนี้ก็เลยกลับมาซ่อมสถานที่ท่องเที่ยวในโอตารุอีกครั้ง โดยอย่างที่ทราบ เลือกลงที่สถานี Minami-Otaru ซึ่งจะเป็นสถานีรถไฟที่ถึงก่อนสถานีโอตารุเพียง 1 สถานีเท่านั้น เพื่อจะได้ัเดินไปตามถนนช็อปปิ้งหลักแล้วเดินดูสถานที่สำคัญๆ เช่น พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ(Otaru Music Box Museum), Machen Square, และร้านของกินอื่นๆที่อยู่เรียงรายไปตามถนนช็อปปิ้งนี้ แล้วต่อจากนั้นก็จะเดินตัดไปคลองโอตารุอีกครั้ง เดินเลียบคลองไปออกอีก 4 แยกของถนนที่มีโรงแรม Smile Hotel ที่ผมมาพักครั้งก่อน แล้วเดินกลับสถานีโอตารุ ขึ้นรถไฟกลับซัปโปโรต่อไป แต่สุดท้ายก็เจอแจ็คพ็อตอีกจนได้(ไม่รู้เป็นอะไร ช่วงเช้าก็เจอแจ็คพ็อตรถบัสพาไปลงนอกเมืองแล้ว มาช่วงเย็นยังจะเจออีกไม่จบไม่สิ้น) ไว้ค่อยๆตามอ่านกันครับ


ลงมาที่สถานีมินามิ-โอตารุ(Minami-Otaru) พอเดินออกมาก็เจอกับร้านเซเว่นเลย กำลังหิวพอดี ไม่ได้ทานอะไรมาเลยหนักๆตั้งแต่เช้าแล้ว เลยหาอะไรง่ายๆทาน ไปเจอเจ้านี่ ข้าวทงคัตสึ เมนูที่ติดใจตอนไปที่คูชิโระ เลยจัดมา ก็อร่อยดี นั่งทานที่ม้านั่งรอหน้าสถานีหล่ะครับ


ทานเสร็จค่อยมีแรงทำอะไรต่อ เดินตรงมาเลยจากสถานี ดิ่งไปเหมือนจะเดินไปทะเลตรงหน้านี้ หิมะก็เริ่มละลายเช่นกัน ต้องเดินระวังๆหน่อย


พอเดินมาเจอสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายครับ เดินต่อมา จะเป็นลงเนินนิดๆ เจอชาวญี่ปุ่นจูงหมามาพอดี


ไม่ไหวครับ ฝั่งซ้ายมือมีกองหิมะใหญ่มากๆ บังทางเดิน เดินไม่สะดวกเลย จะลื่นเอา เลยเปลี่ยนมาเดินฝั่งขวามือดีกว่า เหมือนชาวจีน 2 คนที่กำลังเดินอยู่


เดินไปเจอแยกอีกแยก มองไปทางซ้ายมือครับ เห็นเขาลูกนึง เดาว่าเป็นเขาของคิโรโระรีสอร์ทแน่ๆเลย


ไม่นานก็ใกล้จะถึงยังสี่แยก Machen Square ที่มีพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี(Otaru Music Box Museum)ที่มีนาฬิกาไอน้ำอยู่ด้านหน้า และร้านเค้กชีส LeTAO อันโด่งดังอยู่ฝั่งตรงข้าม


มาถึงก็เดินไปข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามเลยครับ จะมาจับภาพคนเดินข้ามถนนบริเวณนี้


คือจริงๆได้ข้อมูลจากหนังแฟนเดย์มาว่า นาฬิกาไอน้ำจะพ่นไอน้ำทุกๆ 15 นาที หรือไงเนี่ยแหล่ะ เลยจะอัดวิดีโอไว้ครับ ปรากฎว่า ไม่มีนี่หน่า....เซ็งเลย
แล้วเข้าไม่ได้ครับ ประตูปิดไม่ให้เข้า หรือจะไปเข้าอีกทางก็ไม่ทราบได้ แต่ไม่เป็นไร ไม่ได้อยากเข้าไปสักเท่าไหร่

ไปดูข้อมูลมา บอกว่าไอน้ำพ่นทุกๆชั่วโมง เอ๊ะ...เราก็มาตอน 16.00 น. ไม่ได้ยินได้ไงหว่า แล้วเสียงดนตรีทุกๆ 15 นาทีนี่ก็ไม่ได้ยินเลยนะครับ แปลกมากๆ


มาชมวิวฝั่งนี้บ้าง 


เบื้องหลังเป็นอาคารของร้านเค้กชีส LeTAO นั่นเอง จริงๆผมก็เพิ่งมารู้นะเนี่ย


กลับมาดูตรงนี้ ด้านซ้ายจะมีคล้ายๆอนุสาวรีย์หิน ที่เรียกว่า 常夜灯 เปิดไฟสวยงามเชียว


Otaru Music Box Museum ในมุมกว้างอีกครั้ง


ร้านนี้อยู่ทางซ้ายมือครับ


แล้วก็ได้เวลาเข้าไปในเจ้าอาคารหลังนี้แล้ว ทำไมดูหรูหราจัง เปิดไฟนี่สวยงามมากๆ


พอเข้าไปข้างใน อ้าววว....เป็นร้านขายชีสเค้กหรอกรึ ผมนี่เข้าไปข้างในยังไม่รู้เลยว่าแบรนด์ LeTAO คือแบรนด์ดังมากๆ กลับมาไทยเพิ่งจะนึกออกจากการมีร้านเล็กๆที่ชื่อว่า LeTAO ในเซ็นทรัล


แล้วก็เดินตามถนนสายนี้ไปเรื่อยๆครับ


เจอร้านไหนสวยๆก็ถ่ายเก็บภาพเข้าไป


le chocolat ร้านส่วนใหญ่จะแนวยุโรปทั้งน้านนนน อ๊า....นี่ผมเพิ่งเห็นว่ามีสัญลักษณ์ LeTAO ด้วย สงสัยสาขาย่อย


ร้าน Pathos อ้าววว....มี LeTAO อีกแล้วววว


เดินไปเรื่อยๆครับ มาสะดุดที่ร้านนี้ อยู่ฝั่งซ้ายมือของถนน ร้าน Japanese Macha Sweets ชอบชาเขียวอยู่แว้ววว งั้นเข้าไปเลย


ต่อแถวซื้อไอศครีมชาเขียวกัน เห็นเมนูมั้ยครับ? ถ้าไอศครีมจะมี 2 แบบ คือ ชาเขียวปกติ 400 เยน กับแบบชาเขียวเข้ม(Rich Green Tea) 500 เยน จัดไป


ได้มาแล้วก็ยืนทานในร้านนี่แหล่ะ ที่นั่งเต็ม อร่อยดี เข้มข้นๆ


Italian Modern Art Glass VENINI


ร้านนี้แปลกมากๆครับ มีสัตว์ คือกบ หรือตัวอะไรแขวนอยู่ด้านหน้าร้าน มันตุ๋นอะไรสักอย่าง


แล้วก็เดินเลี้ยวมาทางขวามือ เพื่อมาตรงนี้อีกครั้ง จุดชมวิว คลองโอตารุนั่นเอง


คนเยอะเป็นปกติ ใช้เวลาไม่นานนักก็เดินเลียบทางคลองโอตารุมาครับ


ช่วงนี้หิมะตกไม่เยอะแล้วครับ ภาพนี้ใสจริงๆ ชอบๆ


แล้วก็เดินมาตามถนนที่ผ่าน Smile Hotel ที่ผมมาพักเมื่อวันก่อน เพื่อไปยังสถานีโอตารุ จะกลับซัปโปโรแล้ว ผมเข้าไปยืนในรถไฟที่จะแล่นแล้วด้วยซ้ำไป แต่เอ....ทำไมไม่ออกจากชานชาลาสักทีนะ.....เป็นเกือบสิบนาที ร้อนก็ร้อนครับ เพราะใส่ขนเป็ดอยู่ ไม่ไหว จะตายเอา เลยออกจากรถไฟลงมาด้านล่าง จะถามเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะหลายคนก็ออกจากรถไฟมาเช่นกัน ผิดปกติครับ

ปรากฎว่า....เจ้าหน้าที่ตอบว่า มีอุบัติเหตุระหว่างเส้นทางจากโอตารุไปซัปโปโร รถไฟทุกขบวนแล่นไประหว่าง 2 เมืองนี้ไม่ได้เลย ต้องรออย่างเดียว ถามต่อว่าอีกนานมั้ย? เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่สามารถตอบได้....

ให้ตายเถอะ!......วันนี้มันวันอะไร? (อย่าตอบนะว่าวันปีใหม่) ช่วงเช้ารถบัสผิดสายก็พาไปหลง 3 ชั่วโมงแล้ว เลยไม่ได้ไปหุบเขานรกเลย พอมาที่นี่จะกลับซัปโปโรสักหน่อย ก็ดันมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรกของรถไฟญี่ปุ่นอีกครับ งงเลย....สงสัยคงยาว....ยืนรอสักพัก(สังเกตคนที่ยืนอยู่ข้างนอกเขาก็ยังไม่ให้เข้ามานะครับ) ไม่คืบหน้า เลยออกมาดีกว่า ไม่เป็นไรใช้พาสเข้าออกกี่ครั้งได้หมด


ผมออกมาเข้าห้องน้ำก่อน แล้วกลับมารอที่ด้านหน้าสถานี แต่รอไปรอมา เห็นท่าว่าจะยาวมากๆ คงไม่ได้แก้เสร็จในไม่กี่นาที เลยตัดสินใจเดินออกจากสถานีรถไฟไปด้อมๆมองๆที่ตรงนี้ครับ นั่นคือท่ารถบัสนั่นเอง เอ้ย....กลับรถบัสก็แล้วกัน แต่โห....แถวยาวมากๆ เพราะคนที่ไปรถไฟไม่ได้ก็จะมาขึ้นรถบัสนั่นเอง มีรถรอบนี้มาแล้ว ตอนนี้ 18.12 น. คงเป็นรอบ 18.20 น. ผมนี่ลุ้นหนักมากว่า ขอให้ได้ขึ้นรอบนี้เถอะนะ....ปรากฎว่า.....ได้ขึ้นเป็นคนสุดท้ายของรอบนี้เลย! 555  ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง


นี่ครับ ที่นั่ง VIP ที่นั่งสำรองแคบๆ พับเบาะออกมาจากเบาะปติ อยู่ตรงกลางทางเดินเลย! เห็นวิวแบบเน้....เอ่อ...นั่งโคตรจะลำบากและทรมานเลยครับ ขอบอก เอาวะ...ทนๆหน่อย เดี๋ยวก็คงถึงซัปโปโรแล้ว


รถเข้ามาในชานเมืองซํปโปโรแล้ว ผมเหลือบเห็น Chocolate Factory คิดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวจากที่อ่านมา และคิดว่าใกล้สถานีซัปโปโรแล้ด้วยสิ เลยกดลงรถมา ค่ารถ 600 เยน ลงมาก็โดนเลย หิมะตกพลั่ก เปียกมะลอกมะแลกกันเลยทีเดียว แต่สุดท้าย มันคือที่ไหนวะเนี่ย...ไกลโพดๆ


งั้นชมมิวสิควิดีโอหิมะโปรยปรายไปก่อนละกันครับ กดข้าวโพดกระป๋องกินก่อนดีกว่า


สุดท้าย หาทางกลับโรงแรมไม่เจอ... เลยใช้บริการแท็กซี่อีกครั้ง ฮือๆ หิมะก็ตก เปียกก็เปียก ภาวะจำยอม นึกในใจ ตูลงจากรถมาทำไมวะเนี่ย??
แท็กซี่เองก็ไม่รู้จักโรงแรมที่ผมให้ดูนะครับ แต่เราก็ดู Google Map ไปด้วย บอกว่าขับไปสถานีซัปโปโรก่อน แกก็ขับไป จนมาถึงสถานีซัปโปโรก็ค่อยบอกทางซ้ายขวาไปโรงแรมอีกทีครับ สุดท้ายแกก็ขับมาส่งที่โรงแรมจนได้ ค่าแท็กซี่ 2670 เยน โอเค...ถูกกว่าค่าแท็กซี่ขากลับจากหมู่บ้าน Tsurumidai มาสถานีคูชิโระแล้วกัน อิอิ

พอเข้าห้องเช็ดเนื้อเช็ดตัว ร่างกายอบอุ่นขึ้น นึกขึ้นได้ ยังไม่ได้ไปเก็บภาพหอนาฬิกาซัปโปโรนี่หน่า ไม่ไปตอนนี้ก็ไม่ได้ไปแล้ว เพราะพรุ่งนี้ก็ต้องลาซัปโปโรกลับฮาโกดาเตะแล้วครับ งั้นทนเจ็บขาและเข่า ออกจากโรงแรมมาอีกครั้ง

มาดูประติมากรรมชิ้นนี้ไปก่อนพลางๆ ณ ตอน 21.56 น. อยู่ในสถานีซัปโปโร ผมขอเติมเงินในบัตรพาสโมก่อน แล้วก็ออกเดินไปหาหอนาฬิกา


อ่า.....เดินมาเจอแว้วววว หอนาฬิกาซัปโปโร(Sapporo Clock Tower) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซัปโปโรเลย สร้างในปี 1878 และได้ซื้อนาฬิกามาจากบอสตัน ติดตั้งในปี 1881
ค่าเข้าชมคนละ 200 เยน ถ้าเป็นกรุ๊ปคนละ 180 เยน(20 8นขึ้นไป) เด็กและนักเรียนไฮสกูลไม่เสียค่าเข้าชม
เปิดให้เข้าชมทุกวัน(ยกเว้นวันที่ 1-3 มกราคม ของทุกปี) เวลา 8.45 - 17.10 น. ก่อนเวลาปิด 10 นาที
ถึงผมมาเวลาปกติก็เข้าไปชมข้างในไม่ได้อยู่ดี


ข้ามไปถ่ายใกล้ๆบ้าง แต่จะได้แค่แนวตั้ง ไม่งั้นเก็บไม่หมด ถือว่าได้ทำตามที่ตั้งใจไว้หมดแล้วครับสำหรับเมืองซํปโปโรในครั้งนี้ แล้วก็เดินกลับโรงแรมอีกครั้ง


ผมจำได้ว่า มันรู้สึกสบายๆตัวยังไงไม่รู้ช่วงนี้ เลย Live จากเฟสบุคตัวเองให้เพื่อนๆชมถึงสถานีรถไฟซัปโปโรครับ ถ้าไม่ลืมจะนำคลิปนั้นมาโพสต์ด้วย

ดึกยามนี้จะมีอะไรดีไปกว่าทานอาหารญี่ปุ่นแบบหมี่ผัด+หมูชุบแป้งทอด(ทงคัตสึ) พร้อมกับเบียร์ซัปโปโรเย็นๆ อร่อยดีครับ งั้นขอตัวลาไปก่อนสำหรับคืนนี้ที่อะไรๆก็ไม่เป็นใจเอาซะเล้ยยย 

พรุ่งนี้ตามแพลนคือโบกมือลาซัปโปโรแห่งนี้กลับฮาโกดาเตะแล้วครับ แต่จะเสียเวลาแวะหุบเขานรกที่พลาดไปในวันนี้ ก่อนหรือไม่นั้นมารอลุ่นกันในวันพรุ่งนี้ครับ 


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น