[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
แพลนของวันนี้คือ จะต้องตื่นเช้ามืด เพราะมีไฟล์ทบินไปลงโอกินาว่า ด้วยสายการบิน Jetstar Japan เที่ยวบิน 303 โดยเวลาออกจากสนามบินนาริตะ 7.40 น.ที่เทอร์มินอล 3 ซึ่งจะต้องเช็คอินก่อน 1 ชม. ทำให้ต้องตื่นเวลา 5.00 น. เพราะต้องเสียเวลานั่งรถบัสระหว่างเทอร์มินอลไป พอไปถึงสนามบินนะฮะ Naha Airport (สนามบินกระเทย อิอิ) ก็จะต้องนั่งรถไฟโมโนเรลไปเที่ยวปราสาทชูริ มรดกโลกของญี่ปุ่นในเมืองโอกินาว่า ซึ่งสามารถนั่งรถไฟโมโนเรลไปกลับได้ ทำให้ไม่เสียเวลาดี สถานที่สำคัญอื่นๆในโอกินาว่าจะอยู่ไกลออกไปเดินทางเป็นชั่วโมง ไม่สามารถไปกลับได้ หรือถ้าได้ก็จะรีบเร่งและเหนื่อยมากๆ จึงลงตัวที่ปราสาทชูริด้วยประการทั้งปวงครับ
พอหลังจากชมปราสาทชูริ มรดกโลกเสร็จแล้วก็ปลีกเวลาไปเดินถนนช็อปปิ้งที่ถนนนานาชาติ(Kokusai dori) ตามลายแทงที่หามา สุดท้ายเดินหาเสื้อฮีทเทคในร้าน Uniqlo ให้ได้อีกหนึ่งหรือ 2 ตัวตามที่มีคนสั่งซื้อมา ก็เป็นอันจบทริปสมบูรณ์แบบ ได้เวลากลับสนามบินนะฮะโดยรถไฟโมโนเรล รอไฟล์ท 989 สายการบิน Peach Aviation กลับไทยที่สนามบินสุวรรณภูมโดยสวัสดิภาพ
ปล.วันนี้แบ่งเป็น 2 ตอนนะครับ
ออกจากโรงแรม Nine Hours Narita Airport ก็ลากกระเป๋ามาที่ป้ายรถบัสที่เมื่อคืนได้เดินมาดูตำแหน่งแล้ว ต้องบอกว่า ลากไปลุ้นไปว่าจะทันรถบัสคันตรงหน้าหรือไม่ เพราะคนเยอะพอควรที่จะไปเทอร์มินอล 3 สุดท้ายทันได้ขึ้ยรถเที่ยวนี้ครับ แล้วรถก็แล่นไปเรื่อยๆ ไปจอดที่หน้าทางเข้า T3 แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนต่อข้ามฝั่งถนน ก็ได้มีเวลากดชัตเตอร์จากกล้องมือถืออีกครั้งก็ตามรูปนี้เลย บอกเลยว่าฉุกละหุกมากๆครับ เทอร์มินอล 3 เนี่ย
แล้วก็ลงบันไดเลื่อนอีกครั้ง ไปหาเคาน์เตอร์เช็คอินของ Jetstar Japan เจอแล้ว แต้พอชั่งน้ำหนักกระเป๋า ได้ 16.2 kg. เกินมา 1.2 โลครับ แล้วเขาไม่ยอมอ่ะ แต่ก็ยังดีจะให้ผมเอาของจากกระเป๋าใหญ่ที่จะโหลดย้ายมาที่กระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง ซึ่งผมมิงว่ามันจะเสียเวลามาก เลยยอมเสียค่าปรับไปครับ 800 เยน พอทน
คราวนี้สบายๆ เดินแบกเป้อย่างเดียวตัวปลิว เพราะโดยปรับไป 800 เยน 555 ไปหาเกต 174 ด้านซ้ายมือ
นี่ไง ลำที่ผมจะขึ้น จอดรอบอร์ดดิ้งแล้ววว จะว่าไป Jetstar นี่ขึ้นครั้งแรกที่มาญี่ปุ่นเลยนะครับ แต่เป็น Jetstar Asia ที่บินมาจากสิงคโปร์แล้วมาทรานสิทที่สุวรรณภูมิก่อนไปฟุกุโอกะ
ขึ้นนั่งในเครื่องแล้ว
ที่นั่งไฟล์ทนี้ว่างครับ สบายๆ
ไม่น่าเชื่อนะครับ จากนาริตะ โตเกียว มาโอกินาว่า ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเชียว ไกลไม่ใช่เล่นเลย กำลังแลนดิ้งลงสนามบินครับ
ลงบันไดที่มีหลังคาคลุมด้วย เพราะฝนตก
แล้วก็ขึ้นรถบัสไปตัวอาคารอีกที
รอรับสัมภาระโน่นนี่ ก็ออกมาด้านผู้โดยสารขาเข้าครับ ยินดีต้องรับสู่สนามบินนะฮะ สนามบินกระเทย อิอิ
โดยเราต้องไปขึ้นรถไฟโมโนเรล ตามป้ายคือไปทางขวามือครับ แต่ก่อนจะขึ้นรถไฟไป อันดับแรกที่ต้องทำคือ หา Coin Locker ฝากกระเป๋าลากไว้ก่อนครับ เอาไปด้วยตายเลย แต่ในสนามบินนี้มี Coin Locker ก็จริง แต่ไซส์ขนาดใหญ่สำหรับกระเป๋าของผมมันเต็มหมดแล้ว มีไซส์นี้น้อยครับ เหลือแต่ไซส์เล็กๆที่ว่าง เป็นอันว่า ฝากที่สนามบินไม่ได้ครับ เซ็งเลย อันดับต่อไปคือ หา Coin Locker ที่สถานีรถไฟต่อไปครับ
แล้วก็ออกมาตรงจุดนี้ เดินข้ามทางเชื่อมไปสถานีรถไฟ Naha-Kuko Station สถานีรถไฟต้นทางเลยจร้าาา รถไฟโมโนเรลสายนี้มีชื่อว่า Yuri Rail อ้อ....บัตรพาสโม่ Suica รู้สึกจะใช้ไม่ได้นะครับ ผมเลือกซ์้อตั๋วรถไฟแบบ 1 day pass 800 เยน เพราะคิดว่าใช้ขึ้นลงบ่อยในครั้งนี้ น่าจะคุ้มสุดแล้ว ซึ่งตอนหลังจะมาเฉลยว่าคุ้มมั้ยนะครับ ซื้อเสร็จก็มองหา Coin Locker หาไม่เจอจนต้องไปถามเจ้าหน้าที่ เขาก็ชี้ไป พอไปดู โห....มีไม่กี่ตู้และก็ไซส์เล็กทั้งนั้นครับ ใส่ไม่ได้ ชวดเป็นครั้งที่่ 2 แล้ว ในใจคิด ตกลงจะมีที่ฝากมั้ย ไม่มีนี่เดินทางไปไหนตายเลยนะครับ ลุ้นๆไปหาสถานีอื่นอีกดีกว่า แทนที่จะยิงยาวไปสถานีชูริ(Shuri Station) เลย
ดูจาก Google map เห็นมีห้างอิออนที่มีร้าน Uniqlo อยู่ด้วย และอยู่ตามทางของโมโนเรล ห่างไป 2 สถานีจากสนามบินเอง เลยตัดสินใจเลือกลงสถานีนี้ ไปลุ้นที่เก็บกระเป๋าและไปหาร้าน Uniqlo ด้วย ชื่อสถานีคือ Oroku เห็นห้างอิออนมั้ยครับ??
ออกมาจากเกตสถานีลงมาชั้นล่างนี่ลุ้นหลักมากขอให้มีไซส์ใหญ่ นั่นแน่....มีจริงๆด้วย เยๆ ดีใจมากๆ ถ่ายให้เห็นก่อนยัดกระเป๋าเข้าไปว่า ไซส์ที่ต้องการคือขนาดเท่าใด หายากจริงๆ ไม่ก็เต็มหมด ค่า Coin Locker คือ 600 เยน คราวนี้เดินตัวปลิวแล้ว อ้อ แต่จะมีเป้สะพายหลังอีกหนึ่งใบหนักพอประมาณ
เข้ามาในห้างอิออน ไปดูของในร้าน Uniqlo ก่อนครับ ปรากฏว่ามีของ แต่ยังไม่ซื้อ ไว้กลับมาก่อน เลยรีบหาอะไรทานก่อน ไปเจอร้านเบเกอรี่ร้านนี้ ราคาไม่แพง
จัดไปครับ ขนมปัง 2 ชิ้นกับกาแฟสดร้อนแก้วนึง ราคารวม 390 เยน
ได้เวลาขึ้นรถไฟต่อ คราวนี้ยาวไปลงสถานีปลายทาง Shuri Station เลย
13.07 น. ถึงแล้ว กำลังจะออกจากตัวรถไฟ
ลงมาด้านล่าง ฝนก็ตกพรำๆ เปียกๆกันไป ว่าจะหารถบัสไปลงหน้าตัวปราสาทชูริ พอสักครู่มีคนอีก 2 คนผู้หญิงยืนรออยู่เหมือนกัน แกถามผมว่าจะไปปราสาทชูริใช่มั้ย ผมก็ตอบใช่ครับ สักพักแกก็เดินไปถามรถแท็กซี่ที่จอดด้านหน้าโน่น สีขาวๆอ่ะครับ แล้วกลับมาบอกผมว่า เขาคิด 450 เยน ไปด้วยกันมั้ย เขา 2 คน รวมผมเป็น 3 คน หารกันตกคนละ 150 เยน เออ ไม่แพงแฮะ ก็เลยตอบตกลงไป ใจง่ายจัง อิอิ
ระหว่างทางก็คุยกันครับ เขาทั้ง 2 เป็นคนจีน พูดภาษาอังกฤษได้ แถมพูดญี่ปุ่นได้เฉยเลย ไอ้เราก็คิดว่าเป็นคนญี่ปุ่น เพราะเห็นสนทนากับแท็กซี่เป็นภาษาญี่ปุ่นคล่องเลย แกบอกมาทำงานในญี่ปุ่นนี้หลายปีแล้ว ถามผมว่ามาจากไหน ก็บอกไปมาจากประเทศไทย เขาก็รู้จัก และบอกว่าครั้งนี้มาญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว สนุกดี ชอบๆ ดีนะครับ การเดินทางก็จะได้เพื่อนร่วมทางต่างเชื้อชาติระหว่างทาง แถมได้ช่วยเหลือกันด้วย ถ้าไม่ซวยเจอคนไม่ดีไปซะก่อน อิอิ
10 นาทีเองก็มาถึงแล้ว เขาบอกลงตรงนี้แล้วเดินเข้าไปเลย โอเคงั้นแยกกันที่ตรงนี้ ผมเดินเข้าไปก่อน
ดูแผนที่ภาพโดยรวมก่อนครับ แต่ดูไม่ออกหรอก 555 ไปๆตามเขานี่ดีที่สุดแล้ว
ทางเข้าประตูแรกครับ มีชื่อว่า Shureimon
อันนี้ป้ายหินแสดงว่านี่คือมรดกโลก World Heritage
ไปทางไหนดี ก็ไปทางขวามือที่เขาเดินไปเยอะๆหล่ะครับ แต่จริงๆถ้าไปทางซ้ายก็ไปได้นะครับ มาบรรจบกัน
ก่อนจะเข้าไปประตูข้างหน้า มาชมรายละเอียดกันก่อน บอกว่า ประตูด้านหน้านี้ชื่อว่า Kankaimon เป็นประตูหน้าสุดของปราสาทชูริ ชื่อมีความหมายถึงการยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่นของราชทูตที่จะเข้ามารับตำแหน่งซึ่งเป็นตัวแทนจากจักรวรรดิจีนในสมัยนั้น รูปปั้นสิงโตทั้ง 2 ข้างบ่งบอกถึงการกำจัดปิศาจให้พ้นไป โดยประตูนี้ได้สร้างขึ้นตอนปี ค.ศ. 1500 และได้โดนเผาไหม้ลงในช่วงสงครามโอกินาว่า 1945 และได้บูรณะใหม่ในปี 1974
นี่ครับ ประตู Kankaimon ที่ว่า
แล้วก็เดินเลี้ยวขวาผ่านประตู Zuisenmon
มาตรงจุดนี้ ชมวิวพานอรามากันก่อนดีกว่า
ส่วนรูปนี้ถือถ่ายด้วยกล้องมาเปรียบเทียบ ไวด์ได้แค่นี้ ประตูที่เห็นตรงหน้านั้นคือประตู Kyukeimon ซึ่งถ้าเดินทางซ้ายมาจากที่เคยบอกไปก็จะสามารถเข้าประตูนี้แล้วขึ้นมาได้เช่นกันครับ
แล้วก็ได้เวลาเดินเข้าประตูนี้ ประตู Koufukumon
มาซื้อตั๋วเข้าชมภายในปราสาทกันก่อน ดีนะที่อ่านป้ายก่อนซื้อตั๋วเข้าปราสาท เพราะมีแจ้งไว้ว่า บัตร 1 Day Pass ของรถไฟโมโนเรลสามารถเป็นส่วนลดได้ จากราคาเข้าปกติผู้ใหญ่ 820 เยน ลดเหลือ 660 เยน ลดไป 160 เยนด้วยกัน ไม่น้อยเลยนะครับ ใครจะซื้อตั๋วเข้าถ้ามีบัตร 1 Day Pass ก็นำมาใช้ด้วยครับ
อ่า...ไปต่อครับ คราวนี้จะเข้าไปตัวปราสาทชูริกันด้านในสุดแล้วนะครับ
เดินผ่านประตู Houshinmon มาก็จะเห็นภาพนี้ ฝนกำลังพรำๆเลย แต่ทางเข้าจะอยู่ด้านขวามือนะครับ เดินไปทางขวามือ ซึ่งภายในไม่ให้ถ่ายรูป จนผ่านจุดหนึ่งมา ก็มีป้ายเขียนว่าสามารถถ่ายได้
นี่ครับ จุดแรกที่สามารถถ่ายรูปมาได้ คือ Usasuku - the upper royal throne room หรือบัลลังก์ที่ประทับของกษัตริย์นั่นเอง เป็นของกษัตริย์โชชิน(King Sho Shin) ในรัชสมัย 1477 ถึง 1526
ศิลปะของที่นี่จะออกแนวจีนนะครับ เพราะจักรวรรดิ์จีนได้เข้ามายึดครอง
ตราประทับที่ใช้ในราชการในสมัยก่อนครับ
โมเดลจำลองของโถงปราสาทด้านหน้า ทำด้วยไม้ล้วนๆ สวยงามมากๆ
เดินมาตรงนี้ เขาทำพื้นให้เห็นลงไปถึงพื้นชั้นล่าง เป็นอะไรสักอย่างลึกลงไป
แล้วก็ออกมาตรงจุดที่จะขายของที่ระลึกแล้ว อันนี้เป็นโมลเดลจำลองภายในลานปราสาทชูริ มีพิธีอะไรสักอย่าง จำไม่ได้แล้วครับ
ส่วนนี้ก็เช่นกัน แต่คนละเวลากัน เป็นพิธีกรรมแต่งตั้งราชทูตจากจีนเป็นกษัตริย์ โดยมีข้อความบางส่วนว่า จักรพรรดิ์จีนได้แต่งตั้งกษัตริย์แห่งชาวริวกิว(โอกินาว่า) โดยมีการอ่านประกาศเป็นภาษาจีนในตอนนั้นว่า
ข้าฯขอแต่งตั้งเจ้าเป็นกษัตริย์แห่งริวกิว (I hereby make you the king of Ryukyus)
อันนี้เป็นประมวลรูปภาพที่ครั้งหนึ่ง กรกฎาคม ปี 2010 ทางญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม G8 ที่ฟุกุโอกะ และโอกินาว่า โดยได้มาเลี้ยงอาหารค่ำที่โอกินาว่า และถ่ายรูปร่วมกันที่หน้าปราสาทชูริดังภาพ
ก่อนกลับขอเข้าห้องน้ำก่อนครับ ก็อกน้ำทำเป็นหัวสิงโตซะด้วย
แล้วก็ออกมาเจอเขาเล่นงิ้วกันหรือไม่??? แต่งหน้ากันจัดมากๆ
แล้วก็ดันเดินกลับไปอีกเส้นทางนึง เข้าไปที่ร้านอาหาร และไปเก็บแท่นหินนี้มา ก่อนจะหาทางกลับออกมาอย่างงงๆ
เดินไปตามถนนครับ ดูจาก Google Map แล้ว ก็เดินข้ามฝั่งถนนไปยืนรอรถที่ป้ายรถบัส รอสักพักไม่มีท่าทีว่าจะมา ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ ทางกลับไปที่สถานีชูริ ก็ไม่ได้ไกลสักเท่าไหร่ ฝนพอหยุดตกแล้ว เดินได้อยู่
นี่เลย กำลังหิวอยู่พอดี ไปเจอร้านสะดวกซื้อ Family Mart จัดโอเด้งในน้ำซุปมาและไก่อบเผ็ดๆ กับกาแฟสดร้อนๆ รวม 550 เยน ประทังชีวิตไปได้ 1 มื้อ ก่อนจะเริ่มเดินทางต่อ ไว้ตามต่อในตอนต่อไปครับ ตอนสุดท้ายแล้ว
[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 2.1] [ตอน 2.2] [ตอน 3.1] [ตอน 3.2] [ตอน 4.1] [ตอน 4.2] [ตอน 4.3] [ตอน 4.4] [ตอน 4.5] [ตอน 5.1] [ตอน 5.2] [ตอน 6.1] [ตอน 6.2] [ตอน 6.3] [ตอน 7.1] [ตอน 7.2] [ตอน 7.3] [ตอน 7.4] [ตอน 8.1] [ตอน 8.2] [ตอน 9.1] [ตอน 9.2] [ตอน 10.1] [ตอน 10.2] [ตอน 11.1] [ตอน 11.2] [ตอน 11.3] [ตอน 12.1] [ตอน 12.2] [ตอน 13.1] [ตอน 13.2] [ตอน 14.1] [ตอน 14.2] [ตอน 15.1] [ตอน 15.2]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น