วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559

ญี่ปุ่น ภาค 2 ตะลุยเดี่ยว เที่ยวโตเกียว ตอน 1 บินลัดฟ้าไปหาอากาศหนาว สู่มหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลก "โตเกียว"


ทริปญี่ปุ่นทริปนี้เป็นทริปที่เรียกได้ว่าตัดสินใจจองตั๋วล่วงหน้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ไม่ถึง 5 วันด้วยซ้ำ!! เนื่องจากได้รับทราบเรื่องที่น่ายินดี กำลังลุ้นๆเฝ้าคอยอยู่ หลังจากที่ไม่เคยเฝ้ารออะไรแบบนี้มานานมากแล้วครับ พอผมได้รับทราบข้อความเรื่องยินดีจากทางโทรศัพท์ในวันอังคารที่ 5 มกราคม 2559 ตอนช่วงบ่ายก็ไปฉลองให้ตัวเองที่ร้านสตาร์บัคส์ซะหน่อย สั่งอะไรเย็นๆปั่นๆ พร้อมกับหาตั๋วเดินทางไปญี่ปุ่นจาก Galaxy Tab 10.1 ที่ซื้อมาตอนก่อนไปญี่ปุ่นครั้งแรก เพราะตั้งใจไว้นานแล้วว่าจะกลับไปญี่ปุ่นอีก จริงๆตอนเมษายน 58 ผมก็จองตั๋วไปญี่ปุ่นด้วย แต่ด้วยสาเหตุปัญหาส่วนตัวเลยต้องยกเลิกกลางครัน รอให้พร้อมก่อน นั่นก็คือตอนนี้ ซึ่งพร้อมแล้ว พร้อมไปชาร์จแบตอีกครั้งก่อนกลับมาทำงาน

ครั้งนี้ไปคนเดียวลุยเดียวบ้าง คงได้บรรยากาศแปลกไปอีกแบบ จะว่าไปผมก็เคยไปเที่ยวคนเดียวอยู่หลายครั้งนะครับ ถ้าให้นึกก็ตอนไปพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม ไปหลีเป๊ะครั้งที่ 3 ตอนไปทบทวนความทรงจำที่ดี และไปเชียงของ ตอนเรื่อยเปื่อยที่เชียงของ ทุกครั้งสาเหตุเหมือนกันหมดเลย 555

เอาหล่ะกลับมาที่ทริปนี้อีกครั้ง หลังจากหาตั๋วได้แล้ว นั่นคือผมเลือกจองไปญี่ปุ่น โดยลงที่โตเกียว สนามบินนาริตะ จาก Thai Airasia X ซึ่งไม่เคยเดินทางกับเส้นทางนี้มาก่อนเลยครับ ครั้งแรกกับ Thai Airasia X จริงๆ เวลาไปก็จะมี 2 เวลาด้วยกัน คือขึ้นเครื่องประมาณ 5 ทุ่มกว่า และไปเช้าที่นั่น และอีกเวลาคือ ขึ้นเครื่อง 10 โมงกว่าๆ ไปถึงค่ำๆ ที่นั่น ถ้าถามคนร้อยคนก็คงอยากไปเช้าที่นั่นจะได้เที่ยวต่อเลย ไม่เสียเวลาจองที่พักอีก ผมก็เช่นกันครับ แต่พอดูราคาแล้วก็ต้องทำใจจองแบบไปค่ำที่นั่นดีกว่า เพราะราคาต่างกันเกือบ 3 พันบาท เอาเงินส่วนนี้ไปจองที่พักได้เลยนะครับ ตกลงผมเลือกเดินทางออก 10.45 น. ไปถึง 19.00 น.ที่โตเกียว เลือกไป 7 วันไม่มากไม่น้อยครับ ไปวันเสาร์ที่ 9 มกราคม 59 กลับไทย วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 59 และจองที่พักในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยเลย ไม่งั้นมีตั๋วแต่ไม่มีที่พักนี่เซ็งแย่เลย หาดูอยู่นาน ไปได้ที่ 1泊1980円ホテル  หรือ 1 night 1980 hostel เป็นโรงแรมแบบแคปซูลมี 2 ชั้นบนล่าง ทั้งหมด 8 ชั้น ตั้งอยู่ที่แถวสถานีรถไฟใต้ดิน Iriya อุเอโนะ โตเกียว จริงๆมีหลายโรงแรมแบบแคปซูลที่อยู่แถวๆตลาดอุเอโนะ ใกล้สถานีรถไฟอุเอโนะเลย แต่มันอาบน้ำรวมแบบออนเซ็นครับ ใจไม่กล้าพอ เลยมาเอาที่นี่ซึ่งเป็นห้องน้ำรวมแบบแยกห้องครับ และอีกเรื่องนึงคือราคาครับ ชื่อโรงแรมก็บอกไว้ว่าคืนละ 1980 เยน หรือประมาณ 600 บาทขั้นต่ำเท่านั้น!! ผมเลือกแบบ deluxe ราคาก็อัพมาคืนละ 742 บาท/คืน ซึ่งไม่แพงเลยถ้านับว่าอยู่ในโตเกียวนะครับ

เอาหล่ะ มีตั๋วมีที่พัก ขาดคือโปรแกรมเที่ยวและเรื่องเล็กๆน้อยๆ เดี๋ยวจะค่อยๆทะยอยเล่าไปนะครับ งั้นมาตามไปตะลุยโตเกียวด้วยกันเลยครับ

แผนการเดินทางมีดังนี้
DAY1 (9 มกราคม  2559) : BKK - NARITA - Ueno Station - Iriya Station - 1 night 1980yen Hostel - ทานอิชิรัน ราเมง [ตอน 1]
DAY2 (10  มกราคม  2559) : วัดอาซากุสะ (โคมแดงยักษ์) [ตอน 2.1] - โตเกียวสกายทรี [ตอน 2.2] - โอไดบะ [ตอน 2.3] - 5 แยกชิบูย่า(รูปปั้นน้องหมาฮาจิโกะ) [ตอน 2.4]
DAY3 (11  มกราคม  2559) : สวนสาธารณะอุเอโนะ+พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ [ตอน 3.1] - พระราชวังอิมพีเรียล(สะพานนิจูบาชิ"สะพานแว่น") [ตอน 3.2] - ศาลเจ้าเมจิจิงจู(ประตูโทริอิ 100 ปี) [ตอน 3.3] - ฮาราจุกุ [ตอน 3.4] - ชินจูกุ [ตอน 3.5] - ตึกสูงเมโทรโปลิแตน(ที่ว่าการกรุงโตเกียว) [ตอน 3.6]-หอคอยโตเกียว(Tokyo Tower)+สถานีรถไฟโตเกียว [ตอน 3.7]
DAY4 (12  มกราคม  2559) : ชมตลาดปลา Tsukiji-ทาน Sushi/ข้าวหน้าปลาดิบ [ตอน 4.1] - วัด Engaku-ji เมืองคามาคุระ [ตอน 4.2]ไหว้พระใหญ่ไดบุตสึ เมืองคามาคูระ [ตอน 4.3] - วัดฮาเสะเดระ วัดเจ้าแม่กวนอิม เมืองคามาคุระ [ตอน 4.4]
DAY5 (13 มกราคม  2559) : เดินทางจากอูเอโนะไปฮาโกเน่ [ตอน 5.1] - ล่องทะเลสาบอะชิที่ฮาโกเน่ [ตอน 5.2] - เดินชมแสงสีของหอคอยโตเกียวสกายทรีและย่านอาซากุสะ [ตอน 5.3]
DAY6 (14 มกราคม 2559) : ไปชมพิพิธภัณฑ์รถไฟ (Railway Museum) Part I [ตอน 6.1] - Part II [ตอน 6.2] - เก็บตกโตเกียวย่าน Akihabara [ตอน 6.3] - ย่าน Ginza + แวะซื้อแก้วสตาร์บัคส์ [ตอน 6.4] - ตลาด Ameyoko
DAY7 (15 มกราคม 2559) : Hotel - Keisei Ueno Station - Narita International Airport Terminal 2 - Don Muang Internaltional Airport [ตอน 7]

ปล. ทริปญี่ปุ่น ภาค 3 ภาคล่าสุด กำลังโพสต์ครับ
15 วัน อินเจแปน ตอน 1 เริ่มต้นเดินทางสู่ดินแดนปลาดิบ ปรับสภาพร่างกาย ณ กรุงโตเกียว ก่อนจะไปผจญหิมะที่ฮอกไกโด

ปล. ญี่ปุ่นภาคแรก ใบไม้เปลี่ยนสี เชิญเพื่อนๆทัศนาได้ตามอัธยาศัยครับ
ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 1 บินไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก ณ เมืองฟุกุโอกะ เกาะคิวชู, ทานราเมง เดินทางไปศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ชิมโมจิไส้ถั่วแดง ตบท้ายด้วยกาแฟสตาร์บัคส์ดีไซน์เก๋ๆ


ไปญี่ปุ่นต้องพึ่งตัวเองมากๆครับ เคยบอกไว้ตอนภาคแรกแล้ว ฉะนั้นข้อมูลอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ครั้งก่อนได้เช่า Pocket WiFi ไป เพราะใช้ 4 คน ครั้งนี้ไปคนเดียวไม่คุ้มครับ งั้นหาอะไรใช้ดีหล่ะ ไปเจอนี่มาเลยครับ คนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ ซิมการ์ดนั่นเอง มีหลายเจ้านะครับ ผมไปเจอกับเจ้านี้ด้วยราคาและฟีดแบ็คจากคนใช้เหมือนจะโอเคสุดแล้วเลยลองดูครับ เป็น Prepaid 4G LTE Japan Sim ใช้ได้ 7 วันพอดีเลย ข้อมูลก็ 200 MB/วัน ถ้าใช้เกินก็ยังใช้ได้แต่ความเร็วลดลงเหลือ 384 kbps ซึ่งก็เหมือนๆแพ็คเกจในบ้านเรา ดูจากในเว็บไซท์เห็นว่าออฟฟิศอยู่ใกล้บ้าน เลยขับรถไปซื้อถึงออฟฟิศเลยครับ ราคา 800 บาท บริการดีนะครับ แต่ประสิทธิภาพเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไปครับ


เรื่องโปรแกรมเที่ยว อย่างที่บอกไปครับ ผมเคยจองไปช่วงเมษายนปีที่แล้ว เลยเคยทำโปรแกรมเที่ยวไว้แล้ว ก็เลยนำมาปัดฝุ่นเล็กน้อย เพราะตอนนั้นแพลนไปหลายที่ไม่เฉพาะโตเกียว เลยต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมบ้าง แต่ก็ไม่ยากเย็นอะไรนัก อ้อ..ผมบันทึกใน EverNote ใช้ได้ดีครับ ส่วนเรื่องแลกเงินเยนนั้น ครั้งนี้ผมไม่ไปไกลถึง Superrich ราชดำริแล้ว ธนิยะก็ไม่ได้ไป เอาใกล้ๆบ้านถือสุดสาย BTS ที่อ่อนนุช คือร้าน http://www.k79exchange.com rate ดีเหมือนกัน ผมแลกเงินถึง 2 ครั้ง เพราะคำนวณไม่ถูกว่าจะใช้เท่าไหร่ดี เลยไปแลกอีกครั้งเผื่อใช้เยอะจะได้มีพอ เหลือดีกว่าขาดจ้า

พอถึงวันเดินทางก็ไปถึงสนามบินแบบไม่เร่ง ผมเช็คอินทางเน็ตมาแล้ว และก็ไม่โหลดของใต้ท้องเครื่องด้วย แต่เสียวๆเรื่องสัมภาระที่ต้องมี DSLR ไปด้วย แถมพกเลนส์ไวด์ไปอีกเลนส์ ชั่งน้ำหนักก่อนจะไปก็เฉียดๆ ไม่เกิน 7 กก. เป้หลัง 1 ใบ(ซื้อมาตอนจะไปบาหลี กค. 48) กล้อง DSLR 1 ตัวคล้องคอไปด้วย ผ่านตม.มาข้างใน ก็ถึงร้าน duty free ชอบแสงสีของร้านสวยดีครับ


ผมยังไม่เดินไปที่เกทที่เครื่องบินออกเพราะยังอีกนาน เลยไปฝั่งเกทอื่นที่มีขายอาหารครับ มุมนี้ก็เก็บภาพเครื่องบินที่จอดที่หลุมจอดกันก่อน ไม่รู้บินไปไหนกันบ้าง มีทั้งแอร์เอเชียและไลอ้อนแอร์


ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เลยแวะซื้อชุดข้าวไก่เทอริยากิ ร้านเชสเตอร์กริลล์(หาร้านนี้กินยากมากเพราะทะยอยปิดไปทีละร้าน น่าเสียดาย) สนนราคา 139 บาท รสชาติอร่อยเหมือนเดิม ไม่เสียดายเงินครับ


พอได้เวลาเรียกเข้าเกท ก็เดินเข้าไปแบบคนอื่นเขา แต่พอถึงคิวผมที่ต้องตรวจเช็คตั๋ว เจ้าหน้าที่ให้ผมยืนรอก่อน แล้วถามผมว่ามีตั๋วกลับมั้ย? พร้อมกับขอดูพาสปอร์ต ไอ้เราก็เสียวๆ มีอะไรผิดปกติหว่า ก็หยิบเอาตั๋วกลับมาให้ดู เจ้าหน้าที่ก็ดูแล้วสักพักก็ให้ผ่านเข้ามา เฮ้ย...อะไรวะ ก็ทำถูกต้องนี่หว่า ไม่มีของโหลดและเช็คอินทางเน็ตมาแล้วก็ให้ไปที่ตม.โดยตรงเลย เล่นเอาเสียเซลฟ์เลยนะเนี่ย

โอ้ววว....นั่งรอสักพัก ก็มีเสียงเครื่องบินไอพ่นกระแทกอากาศ หันไปดูที่กระจก มีเครื่องบิน F-16 หรือเปล่า แล่นโชว์ไปมา อ๋อ วันนี้วันเด็กนั่นเอง มีการแสดงของทางทหารอากาศให้เด็กๆชมกัน (ผมเคยเข้ามาชมการแสดงเครื่องบิน F-16 ตอนเรียน Military Science ตอนปี 3 ครับ ไปทั้งกำแพงแสนและดอนเมือง แถมตอนเย็นมีงานเลี้ยงด้วยนะครับ)


ได้เวลาบอร์ดดิ้งแล้ว ขึ้นเครื่องไปพวกแรกๆ เพราะได้ที่นั่ง 51H หลังสุดเลย 555 เดินไปช่วงสุดท้ายกำลังยกกล้องถ่ายรูป เจอแอร์สาวพูดมาว่าถ่ายรูปเหรอค่ะ ขอถ่ายด้วย แล้วเดินมา ผมตกใจคิดว่าห้ามถ่ายซะอีก แอร์สาวคนนี้พูดเก่งยิ้มเก่งอัธยาสัยดีครับ บริการลูกค้าตลอด


ถึงที่นั่งตัวเองแล้ว 51H ได้นั่งฝั่งทางเดิน แถวหลังๆจะเป็น 2 ที่นั่งเพราะมันแคบลงตามตัวของเครื่องบิน ดีมากเลยจะได้ไม่อึดอัด แถมด้านหลังเป็นห้องน้ำด้วย โชคดีจริงๆ จะได้เข้าแบบไม่ต้องเดินไปไกล อิอิ


ดูระยะระหว่างแถวสิครับ ผมว่ากว้างมากเลยนะ ไม่นึกว่า Thai AirasiaX จะกว้างขวางขนาดนี้ นั่งสบายมากๆแม้ที่นั่งแบบประหยัด อันนี้ต้องขอชมเชยครับ แถมเพื่อนร่วมเดินทางที่นั่งทางขวามือก็เป็นคนญี่ปุ่นขี้เกรงใจไม่เข้าออกบ่อย โดยรวมการเดินทางขาไปนี้ดีมากๆครับ


นั่งไปหลับไปเพราะไฟล์ยาวถึง 6 ชม. 17.23 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ญี่ปุ่นแสงก็จะหายไปแล้ว ณ ตอนนี้แสงทไวท์ไลท์สวยมากๆครับ


18.46 น. เครื่องก็ลงจอดที่สนามบินนาริตะอย่างปลอดภัย ถือว่าเร็วมากครับ ในใจคิดว่าค่ำกว่านี้อีก เริ่มเดินออกจากเครื่องไปตามทางซึ่งยาวมาก เดินกันจนเหนื่อยเลย แต่ไม่เป็นไรมีทางเลื่อนให้พักขากันเป็นระยะๆ


มาถึงฮอลล์ขาเข้าแล้ว ผ่านตม.แบบต่อแถวกันเยอะมากครับ นักท่องเที่ยวมาช่วงเวลานี้เยอะพอสมควร แต่ก็ผ่านตม.แบบปกติไม่ได้ถามอะไรมาก อาจเพราะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ครั้งแรกก็ไม่ถามนะครับ อ้อ...มาถึงก็เลี้ยวขวาลงไปชั้นล่างตามป้าย Train เลยครับ ถ้าจะนั่งรถไฟเข้าเมือง


ลงมาเสร็จก็นี่เลย อยู่ทางซ้ายมือ ถ้าใครต้องการขึ้นรถไฟแบบด่วน 44 นาทีถึงอูเอโนะ ด้วยรถไฟของ Keisei Skyliner ตอนที่ไปมีโปรโมชั่น ตั๋วไปกลับสนามบินนาริตะ-อูเอโนะ + 3 days pass Tokyo Metro & Toei subway ราคา 5400 เยน ผมว่าคุ้มนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของแต่ละคนครับ


เจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วผมงงๆไปตอนที่กำลังกดเครื่องให้ครับ สงสัยมีอะไร error อยู่แน่ๆ แต่แกแก้ไขปัญหาไม่ได้ ดีนะที่มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาดูจอและบอกให้ ไม่งั้นผมคงรอยาว ซื้อเสร็จเจ้าหน้าที่บอกว่าเวลาที่รถไฟขบวนเราออกคือ 19.41 น. ตอนนี้ 19.25 น. ยังมีเวลาทัน ก็รีบเดินไปเลยครับ เดินมาฝั่งตรงข้ามกับที่ซื้อ ทางซ้ายมือจะมีป้ายบอก สีเหลืองแสบตานั่นแหล่ะใช่เลย เดินเข้าไปแล้วลงบันได้เลื่อนอีกชั้น


ลงมาก็มารอรถไฟครับ คนเยอะพอตัว แต่สักพักก็จะหายไป เพราะรถไฟมีหลายขบวนมาก ระบบรถไฟของญี่ปุ่นเขาดีมากขนคนเยอะๆไปได้กมดในพริบตาเดียว


อันนี้หน้าตาตั๋วที่ผมซื้อมาครับ เราจะได้มาทั้งขาไปและขากลับ พร้อมกับบัตรแข็ง 3 days pass ของรถไฟใต้ดินโตเกียวทั้ง 2 เจ้า
ตั๋วบอกวันที่ 9มกราคม 206 เวลารถออก 19.41 น. ถึงสุดสายที่อูเอโนะ 20.22 น. ขบวนรถที่ 48 ตู้ 7 ที่นั่ง 11D


มีรถไฟขบวน 3056 มาแล้วครับ แต่ยังไม่ใช่ขบวนเรา ออก 19.37 น. เรารออรกขบวน หมายเลข 48 ออก 19.41 น. ตามป้ายครับ ไม่ต้องกลัวหลง


สักพักรถไฟขบวนเราก็มาถึงแล้วครับ เดินเข้าไปเลย


เป็นที่นั่งแบบหันหน้าไปทางเดียว แถวละ 4 ที่นั่งซ้าย 2 ขวา 2 ที่นั่ง


วิดีโอภายในรถไฟครับ


โล่งมาก เพราะมันราคาสูงกว่าขบวนอื่นๆ คนเลยขึ้นแบบหวานเย็นกันไป ใจจริงก็อยากขึ้นแบบหวานเย็นแต่กลัวถึงดึกไปเดี๋ยวหลงเพราะไปฌตเกียวครั้งแรกด้วย ช่วงแรกสัญญาณจากซิมการ์ดที่ซื้อมายังใช้ไม่ได้ ไม่มีสัญญาณเลย คิดในใจโดนเข้าซะแล้ว หรือมือถือเราไม่รองรับนะ แต่พอรถไฟแล่นไปเรื่อยๆ สัญญาณก็มา เฮ้ย...สงสัยบางช่วงมันบ้านนอกไม่มีสัญญาณใกล้สนามบินนะเนี่ย ค่อยยังชั่วสบายใจได้แล้ว


เวลา 20.22 น. รถไฟขบวน Skyliner ก็มาจอดส่งคนเป็นที่เรียบร้อยที่สถานีอูเอโนะ ตามนาฬิกาที่แจ้งไว้ ตรงเวลาจริงๆ


เดินหาทางออกกันไปครับ แบกเป้ 1 ใบสบายๆ ไม่ต้องลากกระเป๋าหนักๆไปด้วย ก็มาเจอทางออกตรงนี้แล้ว


พอออกมานอกสถานี โห...อากาศเย็นๆพัดเข้ามา รู้สึกสดชื่นเลยครับ แต่ก็แอบหนาวนะ พร้อมกับอุทานในใจว่า ไปทางไหนต่อดีวะ งง มองป้าย JR Ueno Station ไปทางซ้าย งั้นเดินไปทางซ้ายก่อนละกัน


ใช้ Google Map ในมือถือก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะไปทางไหน มองหาแต่สถานีรถไฟใต้ดินอูเอโนะ แต่เจอแต่ JR Ueno Station ง่ะ ไม่มี Ueno Subway Station เลย ฮือๆ(ขนาดเคยมาญี่ปุ่นแล้วนะเนี่ย)


เดินไปๆมาๆ ถ่ายรูปแก้เขินไปด้วย สุดท้ายก็ข้ามถนนไปตามคนเยอะๆที่ข้ามไปสถานี JR Station ก่อนครับ


เดินเข้าสถานี JR ก็แล้วกัน แต่ก็ต้องเดินออกมา แต่สุดท้าย สายตามาเหลือบเห็นป้ายเล็กๆที่เขียนว่า Tokyo Metro Ueno Sta. ใช่แล้ววววว ดีใจขนานใหญ่ รอดตายแล้วเว้ยยยย
ปล.ญี่ปุ่นก็มีด้านมืดที่คนไปพ่นสเปรย์สีดำที่ป้ายเหมือนกันนะ


คือป้ายมันไม่เด่นเอามากๆเลยครับ หาตั้งนาน แล้วก็เดินลงทางใต้ดินไป จุดหมายถือสถานีอูเอโนะ สาย Hibiya สีเทาครับ


พอถึงทางเข้าสถานี คราวนี้ก็กังวลอีกครั้ง ซื้อตั๋วเที่ยวยังไงหว่า สิ่งที่ดูมาจำไม่ได้แล้ว ลืมไปหมด มาครั้งแรกที่ญี่ปุ่นใช้ JR Pass ซะด้วยไม่ค่อยได้ซื้อจากเครื่อง สักพักเห็นหญฺงชาวญี่ปุ่นเดินผ่านมา เลยบอกไปว่า "Hello Hello" ตอนแรกดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน เดินไป แต่สุดท้ายเขาก็หันกลับมา โอ้ว...โชคดีมาก เลยถามเป็นภาษาอังกฤษว่า How can I buy a ticket from this station to Iriya station และก็ย้ำว่า Iriya เขาก็ดีมากครับ หาสถานีอิริยะ แล้วบอกกับเราว่า 170 เยน แล้วก็สอนให้หยอดเหรียญเข้าไป แล้วกดที่ปุ่ม  170 เยน สุดท้ายได้ตั๋วเล็กๆมา 1 ใบ รอดตายไปอีกครั้ง อิอิ

ที่ไม่ได้ใช้พาสที่ซื้อมาเพราจะหมดวันแล้ว ไม่คุ้มนะครับ เลยต้องมาจ่ายเองแบบนี้ คราวนี้ หลังจากที่ใช้พาส 3 วันก็จะต้องใช้เงินสดซื้อตั๋ว ที่แนะนำกันเพื่อง่ายในการซื้อตั๋วหรือผ่านรถไฟใต้ดินและ JR หรือรถไฟอื่นๆ ให้ซื้อบัตรเงินสด หรือเรียกว่า IC card ครับ จะ PASMO หรือ Suica ก็แล้วแต่ชอบครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาซื้อที่เครื่องและคอยดูว่าราคาเท่าไหร่ในแต่ละครั้งบ่อยๆ งั้นกดซื้อเลยด้วยตัวเอง จากหน้าจอด้านบน กด English ที่มุมขวาบนก่อนเลยครับ แล้วค่อยมากดปุ่มสีชมพูที่เขียนว่า PASMO ทางด้านซ้ายมือ แล้วก็จะมีมาให้เลือกว่าราคาเท่าไหร่ 1000, 2000, 3000 เยน ผมกดไป 3000 เยนครับ จะโดนหักไป 500 เยนค่ามัดจำก่อน คงเหลือมูลค่าในบัตร 2500 เยน แต่จะได้คืนเมือนำบัตรมาคืนครับ


หน้าตาบัตรพาสโม PASMO และพาสแบบ 3 วันสำหรับรถไฟใต้ดินในโตเกียวเป็นแบบนี้ โอเค ตั๋วก็ได้มาละ บัตรพาสโมก็ได้มาครอบครองแล้ว งั้นเดินเข้าสถานีข้างในกัน


ใครจะมาเที่ยวโตเกียวต้องอ่านมาเจอเจ้าแผนผังรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro และสาย Toei line กันครั้งแรกทั้งนั้น ผมก็คนหนึ่งที่เห็นแล้วเวียนเฮ้ดเลยครับ แต่ถ้าเราตั้งสติแล้วดูดีๆ ก็ไม่ยากนะครับ ดูตามสีเส้นทาง และตัวอักษรสถานี ค่อยๆทำความเข้าใจกันไปครับ ยิ่งถ้าใช้พร้อมแอ๊พด้านล่างด้วยแล้วก็จะง่ายขึ้นมากๆ 


ส่วนด้านบนเป็นแผนที่สถานีรถไฟยอดฮิตพร้อมกับสถานที่สำคัญๆในเมืองโตเกียว ว่าถ้าจะไปแหล่งไหนต้องไปลงสถานีอะไรใกล้สุด


ข้างในเป็นแบบนี้ครับ เก่าๆ ดูน่ากลัวๆยังไงไม่รู้แฮะ อ้อ...ดูฝั่งให้ดีด้วยนะครับว่าต้องขึ้นฝั่งไหน เพราะขึ้นผิดฝั่งก็ผิดที่เลย อย่างของผมจาก Ueno ไป Iriya ให้ดูสุดสายที่ Kita-senju ครับ




แต่ถ้ามีแอ๊พอันนี้ก็หายห่วง ไม่หลงช่วยได้มากๆ ชื่อว่า Tokyo Subway Navigation ดาวน์โหลดไปได้เลยครับ ตัวแอ๊พจะบอกเส้นทางว่าต่อสายอะไร ราคา,  พร้อมระยะเวลา


รถไฟใต้ดินมาทุก 2-3 นาทีครับ ไม่ต้องรอนานแบบในไทยเรา เข้ามาก็อุ่นขึ้น คนญี่ปุ่นก็ก้มหน้าเช่นคนำทยนะครับ ไม่ต้องห่วง 555


ไม่ถึง 3 นาทีก็ถึงสถานี Iriya แล้วครับ อยู่ไม่ไกล แค่สถานีเดียวเอง แต่ให้เดินไม่ไหวแน่ๆ ออกมาจากสถานีก้งงอีกแล้ว ไปทางไหนต่อ Google Map ช่วยท่านได้ครับ เดินไปตามทางเลียบถนนนี้แหล่ะ(ออกจากสถานีดังรูปแล้วกลับหลังหันเดินตามถนนใหญ่ไปเรื่อยๆ)


ข้อมูลที่พักบอก 5 นาทีจากสถานี Iriya ผมเดินเรื่อยๆ มันมากกว่า 5 นาทีนะผมว่า


พอถึงใกล้ๆตำแหน่งตามที่ Google Map บอกเราแล้วก็หากันครับ แต่หาไม่เจอ เพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ เลยใช้ปากถามทางอีกแล้ว เจอผู้หญิงชาวญี่ปุ่นเดินผ่านมาเลยถามว่า 1980 yen hostel นี้อยู่ตรงไหนพร้อมกับโชว์ Voucher ที่พักที่พิมพ์มาจาก Agoda ให้ดูด้วย เขาก็ใจดีเดินตามหาอ้อมไปด้านหลัง จนเจอป้ายตามที่แสดงนี้ครับ โห..ขอบคุณกันไปครับ คนญี่ปุ่นใจดีเสมอ


เช็คอินที่หน้าเคาน์เตอร์ แล้วก็ได้รับกุญแจพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุผ้าขนหนูและสบู่เหลวและอื่นๆมาครับ ผมได้พักชั้น 8 ชั้นบนสุด หมายเลข 805A พอเปิดประตูมาก็เป็นแบบนี้


ที่พักผมอยู่ทางซ้ายมือตรงที่ประตูเก็บสัมภาระเปิดอ้าอยู่ครับ


นี่ไง ไว้เก็บของ เป้ 1 ใบ ถุงกระดาษสีน้ำตาล และแขวนเสื้อกันหนาว


แหม...อุตส่าห์เลือกแบบ deluxe ดันได้ที่นอนชั้นบน ลำบากจริงๆ โดยเฉพาะวันต่อๆไปเพราะปวดขาและหลังมาก(ผมเป็น AS เดินขึ้นลงลำบากเวลาปวกเข่าเมื่อเดินมากๆ) แต่โดยรวมก็สะอาดดีนะครับ ให้ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนมา แต่ผมไม่เคยปูและสวมผ้าห่มก่อนเลยเพราะมันเสียเวลามากครับ


เก็บข้าวของเสร็จก็ได้เวลากลับออกไปข้างนอก ไปหาอะไรทานครับ กดซ์้อตั๋วเที่ยว 170 เยนตามเดินที่สถานี Iriya ขาเข้าอูเอโนะคนน้อยดีจัง ได้นั่งสบายๆ มองสาวๆไปด้วย อิอิ


มาครั้งนี้ตั้งใจจะมาทานราเม็งข้อสอบ หรือ Ichiran Ramen ใกล้สุดก็สาขาอูเอโนะ เส้นทางคือ ลงที่สถานีอูเอโนะก็เริ่มมองหาป้าย Yamashita Exit แล้วเดินผ่านร้านสตาร์บัคส์ จนเจอทางออกไปข้างนอกแล้วเลี้ยวขวา ร้านจะอยู่ทางขวามือ สีแดงๆแบบนี้หล่ะครับ ถ้าเจอคนยืนออกันเยอะๆก็ใช่แน่ๆ ผมออกมาก็เจอคนยืนต่อแถวกันแบบนี้ เยอะโครต ไม่ชอบรอซะด้วยสิ เลยเดินไปหาร้านอื่นก่อน เดินไปเดินมาก็ยังไม่เจอร้านถูกใจ สุดท้ายก็เดินกลับมาตายรัง ผลปรากฎว่า คนยืนรอลดลงครับ เลยไปต่อแถวกับเขา


ตอนต่อแถวเพื่อไม่ให้เสียเวลา ก็จะมีคนมาให้กรอกว่าจะเอาแบบไหนเช่น น้ำซุปเข้มระดับไหน ที่เราเรียกกันว่าข้อสอบนั่นเอง ทำให้เวลาไปนั่งก็ไม่ต้องไปกรอกทำข้อมสอบอีกครับ ตรงนี้พอเข้ามาในร้านแล้วก็จะเจอกับตู้อัตโนมัติแบบนี้ ผมไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ในตอนแรกๆ(เพราะกดไม่ค่อยเป็นนั่นเอง) แต่สุดท้ายก็กดเป็นได้เองในที่สุด เพราะยังไงซะถ้าคุณอยู่ในญี่ปุ่นคุณหนีไม่พ้นตู้อัตโนมัติแน่ๆ ผมเลือกแบบ 910 เยน เมนูด้านบนซ้ายที่มีไข่พ่วงมาด้วย เลือกๆตามเขาไปหน่ะครับ แพงใช่เล่นเลย :(


แล้วก็มานั่งรอชามที่ตัวเองสั่งไปครับ จะสังเกตเห็นม่านยังเปิดอยู่ คนครัวข้างในจะมารับใบที่เราได้จากตู้อัตโนมัติ เพื่อเอาไปทำให้ตามที่เราสั่ง+กับรายการที่เราติ๊กเลือกไว้ในตอนแรก(ไม่ได้ถ่ายมา)


สุดท้ายพอทำเสร็จก็เอามาเสิร์ฟพร้อมกับปิดม่านให้ น้ำเปล่ากดได้ฟรีครับ มีแก้วเปล่าให้ ก๊อกกดด้านซ้ายมือ โดยรวมแล้วก็งั้นๆนะ 555 เพราะเราไม่รู้ว่ารสชาติที่อร่อยสุดนั้นต้องแบบไหน ตอนเลือกเองก็เลยออกมาไม่อร่อยสุด เลยเฉยๆครับ แถมแพงด้วยนะสิ เฮ้อ แต่อิ่มไปหนึ่งมื้อในญี่ปุ่น


วิวมุมกว้างที่ตู้กดซื้อตั๋วอัตโนมัติครับ วิวด้านบนสวยเชียวครับ


เดินเล่นเล็กน้อยก่อนจะกลับมานั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พักอีกครั้ง คราวนี้คนเยอะอีกแล้ว สงสัยเลิกงานและเลิกพบปะสังสรรค์กันกับเพื่อน


แล้วก็ถึงที่พัก อ้อ...มีตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติหน้าโรงแรมเลย เลยกดกาแฟร้อนกระป๋องมา 1 กระป๋อง เอาไว้ทานก่อนนอน ร้อนดีจริงๆพอให้หายหนาวไปได้


ขึ้นมาถึงที่พักชั้น 8 ก็เริ่มสำรวจห้องน้ำห้องท่ากัน ห้องสุขาจะมีทุกชั้นๆละ 2-3 ห้อง ส่วนห้องอาบน้ำจะมีเฉพาะที่ชั้น 8 ชั้นเดียว เข้ามาที่ห้องสุขาก็จะเจอกับโถปัสสาวะแบบนี้


ทางขวามือก็จะเป็นห้องปลดทุกข์ ชั้น 8 นี้มี 2 ห้องด้วยกัน น้อยกว่าชั้นอื่นที่มี 3 ห้อง เพราะโดนห้องอาบน้ำกินเนื้อที่


เข้ามาสำรวจห้องอาบน้ำกันต่อ อยู่ติดกันกับห้องสุขาครับ เข้ามาก็จะเจอกับอ่างล้างหน้าแปรงฟัน มีกระจกและไดร์เป่าผม สีฟ้าๆที่เห็นเป็นที่ทิ้งผ้าเช็ดตัวที่ใช้แล้วครับ เอาไปซักใหม่


เดินเข้ามาแล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอกับห้องอาบน้ำ 7 ห้องด้วยกัน ห้องแรกเสียปิดตาย เหลือใช้งานได้ 6 ห้อง เข้าไปในห้องอาบน้ำจะเจอช่วงแรกที่ยังไม่เปียก มีตระกร้าพลาสติกวางบนพื้นคาดว่าน่าจะให้ใส่อุปกรณ์อาบน้ำ แต่คิดว่าไม่ค่อยดีเพราะวางบนพื้นห้องน้ำเลย ส่วนห้องเปียกนั้นจะมีประตูเปิดปิด ข้างในก็มีเพียงฝักบัวปรับน้ำร้อนเย็น แต่ละห้องแคบมาก ไม่สะดวกเลย แต่อย่างว่า ราคาไม่แพงก็ต้องยอม วันนี้อาบน้ำเสร็จเกือบเที่ยงคืน รีบขึ้นเตียงชั้นบนนอนพักเอาแรง เพราะพรุ่งนี้มีโปรแกรมไปเที่ยววันแรก แล้วเจอกันในรุ่งขึ้น เริ่มแผนเที่ยวโตเกียวจริงจังพรุ่งนี้ครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น