วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 5.75 จากนารากลับโอซาก้า แวะย่านโดทงโบริ (Dotonbori) ถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะ และทานมื้อค่ำที่ร้านปูยักษ์


หลังจากไปเที่ยวสถานที่สำคัญทางศาสนาซึ่งขึ้นชื่อเป็นมรดกโลกของเมืองนาราถึง 3 แห่งด้วยกัน มาถึงบัดนี้ก็ได้เวลาจากลาเมืองนารา เมืองเก่าแก่ทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น และเมืองแห่งกวางกลับสู่เมืองโอซาก้า เมืองที่เราจะพักกันต่อที่นี่ถึง 2 คืนด้วยกัน แต่ก่อนที่เราจะกลับที่พัก เราจะแวะย่านโดทงโบริย่านดังของเมืองโอซาก้ากันก่อน โดยจะหาอาหารมื้อค่ำทานกันที่นี่ครับ ซึ่งในใจก็มีแล้วคือ จะมาทานเมนูปูยักษ์ของร้านดั้งเดิมของที่นี่กัน โดยไม่พลาดที่จะมาเก็บภาพป้ายไฟกูลิโกะที่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของย่านนี้ครับ ใครมาแล้วไม่ได้ถ่ายป้ายกูลิโกะก็อาจจะมาไม่ถึงก็เป็นได้ :)


เกือบๆ 5 โมงเย็น หลังจากที่ลงรถบัสที่สถานีรถไฟนารา เราก็เดินต่อขึ้นมายังสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟ JR ท้องถิ่น สาย JR Yamatoji Rapid Service เพื่อไปลงที่สถานีรถไฟ JR-Namba ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดที่จะสามารถเดินไปย่านโดทงโบริได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะต้องต่อรถไฟใต้ดิน subway เพื่อไปลงให้ใกล้ที่สุดแต่ก็จะเสียเงินเพิ่มครับ เพราะไม่ใช่สายของ JR แล้ว


ประมาณ 45 นาทีก็มาถึงที่สถานี JR-Namba แล้วครับ


ออกจากสถานีให้มองหาป้ายที่เขียนว่า "Namba Walk" ในที่นี่ป้ายชี้ให้เดินไปข้างหน้า เราก็เดินตามไปครับ


จะเห็นทางเดินลักษณะนี้นะครับ ด้านซ้ายมือเป็นทางเลื่อน ส่วนขวามือเป็นทางเดินเท้าปกติ ชอบแบบไหนก็เดินแบบนั้นเลย


พอเดินมาสักพักก็จะเจอแบบนี้ ก็ให้เดินชิดซ้ายไปเหมือนตอนแรกครับ ป้ายอื่นๆจะบอกทางไปสถานีรถไฟใต้ดิน subway ครับ


ตรงนี้จะเขียนว่า walk ซึ่งเดินไม่ผิดแน่ๆ


แล้วก็มาโผล่ที่ทางเดินโล่งๆแบบนี้ จะออกแนวยุโรปแบบโรมันนิดหน่อย มีงานศิลปะแสดงอยู่ 2 ข้างทาง


แล้วก็มาโผล่ทางออกตรงนี้แล้วครับ โผล่ออกมางงมากๆ ตรงไหนหว่า ถนนอะไรก็ไม่รู้ แต่มีข้อสังเกตคือ มีร้าน Step ป้ายสีเหลืองฝั่งตรงข้าม กับป้ายปูยักษ์ที่อยู่ด้านขวามือฝั่งตรงข้ามเช่นกัน อย่างนี้ไม่ผิดแน่ ให้รอข้ามถนนไปฝั่งโน้นเลยครับ


ข้ามถนนมาก็จะเป็นย่านโดทงโบริ Dotonbori แล้วหล่ะครับ เห็นป้ายปูยักษ์เด่นมาเลย ร้านนี้แหล่ะที่เราจะมาทานกัน


ตรงนี้เป็นร้านทาโกยากิครับ แต่เราไม่ได้เข้าไปหรอก


และในที่สุด เราก็มาถ่ายกับป้ายกูลิโกะอันโด่งดังของย่ายโดทงโบริกันแล้ว ต้องเดินเลี้ยวซ้ายเพื่อเดินไปทางคลองก่อน แล้วจากสะพานข้ามคลองก็ให้หันหน้ากลับมา เพราะป้ายจะอยู่ฝั่งคลองครับ


มาแล้วก็ต้องชักภาพกันหน่อยจ้าาา


เพิ่งสังเกตว่ามันสามารถเดินลงไปอีกฝั่งคลองแล้วถ่ายรูปป้ายกูลิโกะแบบตรงๆได้ นั่นสิ ทำไมต้องถ่ายแบบเฉียงๆนะ


มีที่นั่งให้นั่งชมวิว และมีเรือท่องเที่ยวแล่นผ่านมาด้วย


ป้ายกูลิโกะจะเปลี่ยนแบล็กกราวนด์ไปเรื่อยครับ ขณะนี้จะเป็นทะเลทรายที่อิยิปต์ มีสฟิงซ์และอูฐด้วย


อีกรูปก่อนเดินต่อไปที่อื่น ตอนนี้แบล็กกราวนด์เป็นทางวิ่งสีชมพูเลยครับ


มาถึงที่หน้าร้าน ป้ายปูยักษ์สัญลักษณ์ของร้าน


จองคิวไว้ก่อนครับ คิวยาวมาก เจ้าหน้าที่บอกกับเราว่าอีก 1.5 ชม. จ้า งั้นก็เอาเวลาไปเดินเล่นที่อื่นก่อน


เดินต่อไปเรื่อยๆตามทางเดิน


ป้ายร้านเมจิ ใหญ่มากๆ


แล้วเราก็มาหยุดยืนตรงนี้เพื่อให้กล้องจับภาพทั้งสามคนไปปรากฎด้านบน เย้....ขึ้นมาแล้ว อิอิ


ด้านซ้ายมือเป็นร้านเกี๊ยวซ่ายักษ์ครับ ใหญ่มากๆ ที่นี่เขากลัวคนจะมองอะไรไม่เห็นเลยต้องทำป้ายอะไรก็แล้วแต่ใหญ่ๆ


แล้วเราก็ลองเข้าไปทานกัน สั่งได้เลยไม่มีแถว


ได้มาแล้ว 2 จาน จำราคาไม่ได้แล้วครับ แต่ไม่แพง


มาชิมด้วยกันเลยค่ะ รสชาติก็โอเคเลยครับ ร้อนๆ อร่อยดี


และก็เดินกันต่อไป มีร้านปลาปักเป้าอยู่ข้างหน้าด้วยแฮะ


ตรงนี้เป็นร้านทาโกะยากิอีกร้านหนึ่ง


ปลาหมึกหน้าร้านตัวใหญ่มากๆ


ส่วนร้านนี้ ร้านซูชิ ซูชิขนาดใหญ่มหึมาอีกเช่นกัน


ส่วนร้านนี้เป็นร้านซูชิซันไม Sushizanmai ซึ่งเราทานมาแล้วตอนไป Shimotori street มาวันนี้เลยไม่ได้เข้า


ร้านอะไรหว่า ป้ายน่ากลัวจัง


ดูสิครับ หน้าตาเหมือนจะไม่ต้อนรับลูกค้าเลย 555 รู้สึกจะเป็นร้านพวกทอดๆนะครับ 


มาเจออีกร้าน ปูยักษ์เหมือนกัน


ร้านนี้น่าจะเป็นร้านบะหมี่ มีมังกรคาบลูกแก้วด้านบนด้วย


ด้านซ้ายมือเป็นร้านโอโกโนมิยากิ และด้านขวาน่าจะเป็นร้านที่ขายเกี่ยวกับเนื่อวัวแน่ๆ เพราะมีรูปปั้นวัวตัวใหญ่ยืนอยู่ด้านบนเลย


ได้เวลาเดินกลับแล้ว เพราะมาสุดทางของถนน มีรถจักรยานจอดอยู่เรียงรายเลยครับ


สนใจหอยนางรมย่างมั้ยครับ ?? หอมๆเลย


ฝาท่อระบายน้ำที่นี่ครับ ในรูปน่าจะเป็นปราสาทโอซาก้าหรือเปล่านะ??


ตรงนี้ก็เป็นอีกร้านที่ขายปูยักษ์ครับ แต่คนหายไปไหนหมดเนี่ย??


ตรงนี้จี้มากครับ ศิลปะบนผนังอาคารของญี่ปุ่นเลย ผมซูมเข้าไปถ่าย 555 ไม่รู้ต้องการล้อเลียนใคร


อีกร้าน มีเจ้าวัวกำลังดื่มไวน์แดงหน้าร้าน ทำนองเชื้อเชิญลูกค้าเข้าไปด้านใน น่าจะเป็นร้านสเต๊กหรือเปล่าครับ


ยังไม่ถึงเวลาที่เข้าไปที่ร้านปูยักษ์ เราเลยเดินไปด้านหลังที่มีคลองครับ


ตรงนี้เป็นด้านหน้าร้าน Tax free shop ญี่ปุ่นเขาชอบทำอะไรใหญ่โตจริงๆ


เรือนักท่องเที่ยวแล่นผ่านไปอีกแระ สังเกตคลองเขาสะอาดสะอ้านมากๆ และไม่ยอมให้มีร้านค้าริมคลองเลยนะครับ จัดเป็นที่เดินสำหรับคนทั่วๆไป


ได้เวลา 2 ทุ่มแล้ว เดินกลับไปที่ร้านปูยักษ์ที่จองไว้ ถึงคิวเราพอดี ตรงนี้เป็นปูยักษ์ที่โชว์ไว้ชั้นล่าง ส่วนห้องอาหารที่จะเข้าไปทานนั้นอยู่ชั้น 3 ครับ


ต้องขึ้นลิฟท์มาชั้น 3 แล้วก็เดินมาเลือกโต๊ะ ติดริมหน้าต่างชมวิวข้างนอกได้ด้วย


ทางร้านให้ tablet มาให้เลือกเมนูครับ ขอบอกว่ามีภาษาไทยด้วย แสดงว่าคนไทยมาทานบ่อย เลยต้องทำภาษาไทยมา กดเลือกคอร์สตามรูปเลยครับ


พอเลือกคอร์สก็จะมีบอกว่าราคาเท่าไหร่ และประกอบด้วยอะไรบ้างครับ


นี่ครับที่เราเลือก รอสักพักก็มาเสริฟ ชุดแรกเป็นปูสดซาชิมิ และซุปปูครับ ร้อนๆ


ดูกันใกล้ๆ ซาชิมิปูยักษ์


และซุปปูครับ จะเห็นปูเป็นเส้นๆ ร้อนๆ อร่อยดี


ได้เวลาจิ้มซอสและทดลองกันแล้ว สุโค้ยยยย


และก็มาเสริฟปูย่างกันต่อ


ส่วนเมนูนี้เป็นปูเทมปุระ ชุบแป้งทอดครับ


ซูชิไส้ต่างๆก็มาเสริฟด้วย


น่าทานมั้ยครับ??


อาหย่อยๆ


สุดท้ายก็เป็นของหวานครับ เป็นผลไม้รวม แต่น้อยมาก ต้องแบ่งกันกิน 4 คน


ได้เวลาลงจากลิฟท์แล้ว


ได้เวลากลับแล้วครับ เราเดินผ่านฝาท่อระบายน้ำอีกจุดหนึ่ง คราวนี้ฝาท่อมีสีสันด้วย ในรูปน่าจะเป็นปราสาทโอซาก้า และมีดอกซากุระแซมด้านข้าง


เห็นชาวญี่ปุ่นมายืนทานบะหมี่ร้านข้างทาง แล้วก็อยากทานบ้างจัง แต่อิ่มมากๆแล้วฮะ


เดินกลับทางเดินตอนที่เดินมาครั้งแรกครับ


รูปนี้ดูครั้งแรกคิดว่าเป็นในประเทศไทยเราซะอีก แต่ไม่ใช่


สักพักใหญ่ๆก็มาถึงทางเข้าสถานีรถไฟ JR แล้ว เดินเข้าไปเลย


ครั้งนี้เราต้องนั่งรถไฟ JR ท้องถิ่นจากสถานี JR-Namba ไปลงที่สถานี Shin-Osaka ก่อน เพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ coin locker แล้วค่อยกลับมาที่สถานีอีกครั้ง


พอถึงสถานี Shin-Osaka ก็ใช้บริการรถไฟ JR ท้องถิ่น สาย JR Kyoto Line Local ไปลงสถานีรถไฟ Kishibe ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 3 สถานีจากสถานี Shin-Osaka


รถไฟใช้เวลาเพียง 7 นาทีก็ถึงสถานี Kishibe ที่ที่โรงแรมเราอยู่บริเวณนี้


เดินออกมาจากสถานีก็เจอด้านหน้าโรงแรมที่เราจองไว้เลยครับ Kishibe Station Hotel ใกล้มากๆ ตามที่ดูรีวิวมา


เข้าไปเช็คอินก็เล็งๆกระเป๋าของเราเอง 2 ใบที่ใช้บริการแมวดำ ส่งกระเป๋ามา แล้วก็ส่งมาถึงจริงๆด้วย อิอิ ดีใจๆ ครับ คิดว่าจะหายซะอีก


เจ้าหน้าที่เช็คอินก็พูดจาภาษาอังกฤษดีครับ สื่อสารได้ เราเลือกยาสระผมไปใช้ในห้องครับ มีหลายแบบเลย


ถึงแล้วครับห้องพัก พอเข้ามาก็เหม็นควันบุหรี่กันเลย นี่คือข้อเสียของห้องพักแบบ Smoke ครับ ซึ่งแบบ non-smoke มันไม่มีจริงๆ ก็ต้องเลือกแบบนี้มา


อีกมุมหนึ่งตรงกันข้ามกัน แคบๆ นอนอย่างเดียวครับ


มาชมภายในห้องน้ำกันบ้าง สะอาดตามแบบฉบับโรงแรมญี่ปุ่น


อุปกรณ์ครบครัน ที่ขาดไม่ได้คือโถชักโครกแบบอัตโนมัติครับ


ลากันไปในวันที่ 5 นี้ ด้วยแผนที่ท่องเที่ยวละแวกนี้ ซึ่งสามารถเดินทางเป็นวงกลมทั้งไปที่โอซาก้าและเกียวโตครับ

แล้วมาติดตามกันต่อในวันรุ่งขึ้น โดยเรามีแพลนไปเที่ยวเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นครับ

[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 1.5] [ตอน 2] [ตอน 2.25] [ตอน 2.5] [ตอน 2.75] [ตอน 3] [ตอน 3.3] [ตอน 3.6] [ตอน 4] [ตอน 4.3] [ตอน 4.6] [ตอน 5] [ตอน 5.25] [ตอน 5.5] [ตอน 5.75] [ตอน 6] [ตอน 6.25] [ตอน 6.5] [ตอน 6.75] [ตอน 7] [ตอน 7.5] [ตอน 8] [ตอน 8.5] [ตอน 9]

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น