วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 2.75 ไปเดินถนนคนเดินที่ Shimotori Shopping Street เพื่อหาร้านซ่อมกระเป๋าเดินทาง และทานอาหารค่ำก่อนกลับที่พักเมืองคุรูเมะ


เรามาต่อกันเลยครับ หลังจากตอนก่อนเราพาไปปราสาทคุมาโมโตะ/คุมาโมโต้ ตอนนี้เราจะไปต่อที่ถนนคนเดินที่ Shimotori Shopping Arcade ซึ่งที่นี่ถือได้ว่า เป็นถนนคนเดิน หรือแหล่งช๊อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดคุมาโมโตะ และใหญ่สุดของประเทศญี่ปุ่นฝั่งตะวันตกเลยนะครับ มีนักท่องเที่ยวและคนทั่วๆไปมาเดินกันที่นี่ถึง 60,000 คนต่อสุดสัปดาห์เลยครับ โอ้โห....เยอะมากๆ

เรามาที่นี่เพื่อมาหาอะไรอร่อยๆทานตามลายแทงที่มีอยู่ทั่วไปจากอินเตอร์เน็ต พร้อมกับมาหาร้านซ่อมกระเป๋าเดินทางด้วย เพราะมีกระเป๋าของน้องอยู่ใบที่เมื่อคืนเปิดกระเป๋าไม่ออกแม้ใช้รหัสตรงแล้ว สงสัยเพราะลากไปมากลไกของตัวล็อคเลยมีปัญหา ถ้าเสร็จภาระกิจก็จะกลับที่พักเมืองคุรูเมะช่วงค่ำๆไปถึงดึกครับ


ออกจากปราสาทคุมาโมโตะเราก็เดินกลับทางเดิมในตอนขามา แล้วมารอรถรางที่สถานีเดิมคือ ป้ายหมายเลข 10 Kumamoto Castle City Hall รถรางมาแล้วก็ขึ้นเลยครับ ช่วงเวลาเย็นๆ แบบนี้คนเยอะมาก เพราะเลิกเรียนเลิกทำงานกัน แต่เอ๊ะ วันนี้วันอาทิตย์นะเนี่ย


นั่งแค่ 1 ป้ายก็ถึงแล้ว ลงที่ป้ายหมายเลข 11 Torichosuji เดินข้ามทางม้าลายไปที่ฝั่งขวามือเลยครับ



ถึงแล้วครับ Shimotori Shopping Arcade/Street  เดินตามมาเลยค้าาา


คนเดินเยอะมาก ร้านค้าก็เยอะตามไปด้วยครับ เดี๋ยวเราจะพาไปชมร้านแต่ละร้านกัน


ร้านแรกอยู่ต้นทาง ร้าน Parco มีขายป๊อปคอร์นหน้าร้านด้วย


ฝั่งขวามือ ร้าน Doutor ขายโดนัทและกาแฟครับ เป็นร้านดั้งเดิมของญี่ปุ่นเขาเลย คล้ายๆร้านดังกิ้นโดนัท


มาทางซ้ายบ้าง ร้าน Choco Cro ร้านขายเบเกอรี่ ครัวซอง ขนมปัง ไอศครีม และกาแฟ


ร้านนี้ ใครๆก็รู้จัก ร้าน KFC นั่นเอง


และก็มาถึงร้านแม็คโดนัลด์ ร้านแฟรนไชส์สัญชาติอเมริกัน


มาฝั่งขวาบ้าง ร้าน The Emorium ร้านขายเสื้อผ้า


ด้านซ้ายมือ ร้านขายของจิปาถะ


อีกร้าน ขายผลไม้สดๆ น่าซ์้อมาทานจังเลย


ร้าน Swiss ขายเค้กและเบเกอรี่


ด้านขวามือ ร้าน Vito ไอศครีมสัญชาติอิตาเลี่ยน


ยังเดินไม่ถึงครึ่งทางเลยครับ ป้ายเจ้าหมีคุมาม่อน สัญลักษณ์ของเมืองคุมาโมโตะ


ส่วนร้านนี้อยู่ทางขวามือ ร้านคาราโอเกะ แสงสีดึงดูดผู้คนมากๆเลยทีเดียวครับ


มองย้อนกลับไปบ้าง จักรยานก็เอาเข้ามาได้ แต่ยกเว้นมอเตอร์ไซด์และรถยนต์ครับ


เดินมาถึงครึ่งทาง ต้องรอสัญญาณไฟจราจร


ตรงนี้เป็นร้านไอศครีมบาสกิ้น รอบบิ้น น่าสนๆ


ข้างในเป็นร้านขายของที่ระลึกครับ เดี๋ยว่างๆจะกลับมาดูอีกครั้ง


และแล้วก็มาเจอร้านนี้ทางด้านขวามือ ร้านซูชิซันไม Sushi Zanmai อันโด่งดังเช่นกันครับ คนมายืนรอคิวอยู่บ้าง แต่เดี๋ยวก่อน ไว้มายืนรอบ้างนะ


เราเดินสักพักก็ออกไปหาห้างที่อยู่ใกล้ๆ ไปสอบถามเจ้าหน้าที่บริการข้อมูลของห้างเรื่องเปิดกระเป๋าเดินทางไม่ได้ ซึ่งคือผู้หญิงทางขวามือนั่นเอง แล้วเขาก็โทรไปหาอีกคนหนึ่งคือผู้หญิงทางซ้ายมือครับ เข้ามาช่วยลองเปิดกันยกใหญ่ จนเราประทับใจมากๆ ทั้งที่เราไม่ได้มาซื้อของสักชิ้นที่ห้างนี้เลย ลองเปิดกันอยู่นานพอควรเลย ก็เปิดไม่ได้ เลยคิดว่าให้เราไปร้านกุญแจที่อยู่ชั้นใต้ดินครับ พร้อมกับให้แผนที่ร้านเรามา แต่....


สุดท้ายเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนซ้ายมือก็ถืออาสาจะเดินพาเราไปร้านด้วยกัน โอ้โห...เหมือนกับที่เคยฟังเรื่องราวความมีน้ำใจของคนญี่ปุ่นมาบ้าง ไม่เชื่อว่าจะเจอกับตัว เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะครับ แต่ก็อาสาเดินมาด้วย ต้องลงลิฟท์ไปชั้น B1 และเดินอ้อมอีก


อ้อมมาตรงจุดที่มีประกวดภาพระบายสีของเด็กๆญี่ปุ่น ถ้าเดินมาเองอาจจะใช้เวลานานหน่อยเพราะหายาก


สุดท้ายก็มาถึงครับ ร้านี้เอง ชื่อว่าร้าน Mister Minit เจ้าหน้าที่ผู้หญิงก้อุตส่าห์ช่วยยกช่วยให้ทางช่างที่ร้านดูว่าตรงไหน นับถือน้ำใจจริงๆครับ สุดท้ายเปิดไม่ได้จริงๆก็ให้เขาตัดก้านกุญแจครับ เพื่อให้สามารถเปิดใช้งานได้ก่อน แล้วก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆด้วย ต้องขอบคุณมากๆ มา ณ ที่นี้


แต่ยังไม่จบเท่านี้ครับ ทางเจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็ถามเราว่าจะไปไหนต่อ เราบอกว่าจะไปเดินที่ถนนคนเดิน แกก็อุตส่าห์เดินมาส่งถึงที่ให้เราอีก โอ้วววว....สุดยอด เราผ่านร้าน Daiso ที่ดังในไทยเรา


พอมาถึงที่ถนนคนเดิน Shimotori Shopping Street ก็เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครับ ขอบคุณน้ำใจเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนี้และคนที่อยู่ที่ Information ที่เราเข้าไปสอบถามครั้งแรกด้วยใจจริงครับ ทำให้เราประทับใจคนญี่ปุ่นไปอีกนานเลย


กลับมาเดินที่ถนนคนเดินกันต่อ ภาระกิจแรกเสร็จไปแล้ว ภาระกิจต่อไปคือหาร้านอาหารทานกัน อิอิ ร้านนี้เป็นร้าน Happy 1 ขายข้าวหน้าหมู, หน้าไก่ทอดกับขนมปัง ดูรูปแล้วก็น่าทานอีกเช่นกัน แต่ยังไม่ใช่จุดหมายเราครับ


จุดหมายของเราคือร้านนี้ครับ ร้านบะหมี่จอมพลัง(อยู่ด้านซ้ายมือ) แบบให้มาเยอะมาก เจอเป้าหมายแล้วก็เข้าไปเลยจ้าา


บรรยากาศภายในร้าน เราเลือกโต๊ะด้านซ็ายมือโน่นเลย


จะทานอะไรเลือกดูตามเมนูได้ครับ ทั้งบะหมีทั้งข้าวแกงกระหรี่ มีให้เลือกหมด


สุดท้ายชุดที่เลือกไปมาเสริฟแว้วววว นี่เลยของผม บะหมี่หน้าเนื้อไข่ออนเซ็น ราคา 820 เยน



ของเอ๋ชุดบะหมี่เย็นเสริฟกับกุ้งและผักเทมปุระ ราคา 780 เยน



ที่เหลือก็บะหมี่น้ำเสริฟพร้อมกุ้งและผักเทมปุระ อย่างละ 810 กับ 660 เยน



ที่เมืองคุมาโมโตะก็เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่น ที่สารธารณะจะสามารถใช้ Free WiFi ได้ตลอดครับ เลยถ่ายรูปมาให้ดูกันว่าลักษณะเป็นอย่างไร แต่ลงทะเบียน email address ก็ได้ใช้แล้วครับ สำหรับคนที่ไม่ได้พก Pocket WiFi มา แบบนี้ก็สามารถใช้ได้ แต่ไม่ต้องกลัว เลือกภาษาอังกฤษได้ครับ


ทานบะหมี่เสร็จก็อิ่มไปตามๆกัน แต่ค่ำคืนนี้ยังไม่จบง่ายๆนะ เราเดินมาจนสุดถนนอาเขด จะเห็นกับร้านสตาร์บัคส์ที่อยู่ฝั่งถนนด้านซ้ายมือ แต่มันไกลเกินไปแล้ว เลยเดินกลับทางเดิม ไปหาอะไรทานอีกละกัน อิอิ


กลับมาร้านนี้ ร้านที่เราบอกแต่ต้นว่าถ้ามีเวลาจะกลับมาดูอีกครั้ง เราก็เดินเข้ามาดูในร้านซึ่งด้านในเป็นร้านขายพวกซูชิปิ้งย่างด้วยนะครับ ส่วนด้านหน้าขายของที่ระลึกต่างๆ เราเองดูเฉยๆยังไม่ได้ซ์้อมาสักชิ้นเลย เพราะทริปนี้ยังอีกยาวไกล เดี๋ยวจะหนักกระเป๋าซะเปล่าๆ


ในที่สุดก็กลับมาเข้าคิวต่อแถวร้าน SushiZenmai ร้านซูชิดังแถบนี้ รอตั้ง 20 นาทีกว่าแหน่ะ ระหว่างรอก็ดูชุดที่สนใจตามป้ายไฟนี้ไปก่อน จะได้เข้าไปสั่งได้เลยเมื่อได้ที่นั่งแล้ว เราเล็งๆไว้คือเมนูชุดด้านขวามือครับ เพราะน่าจะคุ้มสุดแล้ว


ได้เวลาเข้าไปด้านในกันแล้วนะ ตามเข้าไปด้วยกันเลยครับ คนอย่างเยอะอ่ะ


อันดับแรกคือเบียร์ท้องถิ่นของญี่ปุ่นเขาเลย Kirin คร้าบบบบ จิบเย็นๆก่อนนะ แต่เอ๊ะ...อากาศมันก็เย็นอยู่แล้วนะ คริคริ


ไม่นานก็มาเสริฟจานแรกแล้วครับ ชุดนี้ในรูปราคา 1,580 เยนครับผม


แล้วซูชิที่เลือกๆไปก็เสริฟตามมาครับ มีหอยมีปลาและไข่หวาน


แล้วซูชิจานที่ 3 ก็มาเสริฟ อิ่มเอมไปตามๆกันกับอาหารและเครื่องดื่มเบียร์ญี่ปุ่นแบบต้นตำหรับเดิมๆของแท้ครับ มื้อนี้ที่ร้านซูชิหมดไป 3,188 + vat 255 เยน


ได้เวลาเดินท้าอากาศหนาวเย็นกลับกันแล้วครับ ผ่านสิ่งก่อสร้างที่ดูแล้วต้องอมยิ้มให้ครับ น่าจะเอาไอเดียนี้มาทำในเมืองไทยบ้างนะ แต่ขอบอกว่า อาหารทั้ง 2 ร้านที่ไปทานจุกมากๆ ผมจะอ๊วกออกหลายครั้งหลายคราแล้ว ฮือๆ ไม่น่ากินเยอะเลยเรา ToT


กลับไปป้ายรถรางเดิม พอรถมาเราก็ไม่ดูอะไรทั้งนั้น เดินขึ้นไปนั่งเฉยเลย ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับขบวนรถรางคันนี้ รอดูกันต่อไป


นั่งประมาณ 17 นาทีรถรางคันที่ขึ้นมาก็มาจอดสุดสาย ผมเดินไปถามก่อนลงว่าใช่สถานี Kumamoto หรือไม่ เพราะมันไม่คุ้นเลยอ่ะ คนขับแกก็ชี้นิ้วไปที่ป้ายสถานีว่าสุดสายแล้ว ดับเครื่องแล้ว คนลงหมดแล้ว อั๊ยยะ....มันไม่ใช่สถานีเดิมที่เรานั่งมาตอนออกจากสถานีรถไฟ JR Kumamoto นี่หน่า ซวยแล้ว ที่ไหนเนี่ย ???

เรามาลองสังเกตดูตัวอักษรที่ด้านหน้ารถรางกันดีๆอีกครั้งนะครับ สังเกตมั้ยมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ B ทั้งด้านบนป้ายไฟคู่กับชื่อสถานีกับด้านล่างที่ทาสีขาวบนพื้นสีน้ำเงิน ผมเองก็เพิ่งทราบตอนเอารูปมาดูนี่หล่ะครับ เพราะตอนขึ้นรถรางคันนี้เราขึ้นจากด้านหลังเพราะรถรางมาจอดรอตั้งนานแล้ว เราเลยไม่ได้เห็นตัวอักษร B ดังกล่าวครับ ไม่ทราบว่ามีด้านหลังตัยรถหรือไม่ เพื่อนๆคนไหนที่จะไปขึ้นขากลับก็ดูดีๆด้วยครับ ต้องสาย A เท่านั้น!!!


ลงจากรถรางแล้วผมงงเอามากๆ เพราะเงียบและไม่คุ้นเลย ลืมนึกไปว่ามี 2 เส้นทาง ตอนแรกหลงเดินเลยไปตั้งหลายร้อยเมตรครับ อุตส่าห์ใช้ Google map ก็ช่วยไม่ค่อยได้เลย สุดท้ายต้องเดินย้อนกลับมาอีกครั้งเพราะเห็นนักเรียนญี่ปุ่นเดินเข้าไปตรงทางเข้าที่ป้ายไฟนี้ (ก็ใครจะไปคิดหล่ะครับว่าตรงนี้คือทางเข้าสถานีรถไฟแต่สายท้องถิ่น ไม่ใช่ชินคันเซ็น)


ตอนแรกผมจะเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งสถานีรถไฟ JR Kumamoto ชินคันเซ็นด้วยซ้ำไป แต่ด้วยการสื่อสารไม่รู้เรื่องทั้งเราและคนขับแท็กซี่เลยไม่ได้ใช้บริการ แต่เหมือนกับคนขับแท็กซี่จะบอกในทำนองว่า ทำไมไม่นั่งรถไฟไปหล่ะ ถ้านั่งแท็กซี่ต้องเสียค่ากลางคืนด้วยนะ เพราะเขาชี้ไปที่นาฬิกา

แต่สุดท้าย ไปๆมาๆ เราก็กลับเข้าไปที่สถานีนี้อีกครั้ง คุยกับเจ้าหน้าที่สถานีก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก เซ็งเลย เลยงัด Note 10.1 เข้า Hyperdia.com หาเวลาเดินรถ และรอครับ ได้ข้อมูลว่าต้องไปลงอีก 1 สถานีจากนี้ แล้วค่อยต่อชินคันเซ็นไปอีกครั้ง สถานีนี้มีชื่อว่า Kami-Kumamoto คล้ายกับสถานี Kumamoto มากๆ แค่มีชื่อ Kami เพิ่มมาแค่นั้นเอง ป้ายบอกอีก 1 สถานีเท่านั้นครับ รอๆๆๆๆ


ในที่สุดรถไฟสายท้องถิ่นก็มาถึงจนได้ แต่ถ้าจังหวะไม่ดีก็อาจต้องรอนานถึง 30 นาที ถึง 1 ช,ใเลยนะครับ


ได้เข้าไปนั่งรถไฟอุ่นๆสักที หนาวจะแย่อยู่แล้ว สังเกตว่าใต้เบาะนั่งจะมีรูลมร้อนๆจากฮีตเตอร์ปล่อยออกมาเพื่อทำความอบอุ่นครับ บางขบวนดันร้อนเกินไปอีกนะ


แค่ 5 นาทีจากสถานี Kami-Kumamoto ก็มาถึงสถานี Kumamoto เราก็เลยขึ้นมารอที่ waiting room ของขบวนรถไฟชินคันเซ็น หนาวๆ ต้องอยู่ในห้องที่อุ่นๆหน่อย


ได้เวลาขึ้นรถไฟชินคันเซ็นกลับที่พักแล้ว คราวนี้ขบวนที่เราจองที่นั่งไปก็ไม่ได้นั่งเพราะผิดแผน 555 เลยมานั่งโบกี้ที่เขียนว่า Non-Reserved แทน ซึ่งดึกๆแบบ 22.24 น. อย่างนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีที่นั่งนะครับ ว่างมากๆ แต่สังเกตว่าที่นั่งแบบ Non-Reserved จะเป็นแบบ 3-2 นะครับ ไม่ใช่ 2-2 แบบ reserved เหมือนเดิม ก็เพราะว่าไว้รองรับกับคนเยอะๆนั่นเองครับ ส่วนแบบ reserved ก็นั่งสบายๆ ไม่เบียดกัน


ชินคันเซ็นใช้เวลาประมาณ 29 นาทีก็แล่นมาถึงสถานีคุรูเมะแล้ว ช่วงนี้เงียบเหงาจริงๆเพราะดึกมากแล้วครับ


ก่อนที่เราจะออกจากสถานีคุรูเมะ ภายในสถานีนี้จะมีเจ้าตัวการ์ตูนกบสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ครับ เห็นติดเต็มไปหมด พูดก็พูดญี่ปุ่นเขาต้องมีตัวมาสค็อตมาเป็นตัวแทนเมืองต่างๆนะครับ ที่คุมาโมโตะก็มีหมีคุมาม่อน 

ต่อจากนั้น เราก็เรียกแท็กซี่กลับโรงแรมที่พักตามเดิมครับ วันรุ่งขึ้นเราจะเช็คเอาท์ออกจากที่พักแล้วไปเที่ยวเบบปุ เมืองน้ำพุร้อน ต่อจากนั้นจึงไปพักที่หมู่บ้านน่ารักอีกที่หนึ่ง ยูฟูอิน หมู่บ้าน OTOP ดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นที่ไทยเราเอามาเป็นต้นแบบครับ ยังไงฝากติดตามชมกันต่อในวันที่ 3 นะครับ สวัสดีครับ

สรุปค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ารถไฟ JR ถ้าจ่ายเงินเอง เพื่อเก็บไว้เปรียบเทียบกับ JR Pass ที่ซื้อมาครับ

ค่ารถไฟ JR ประจำวันแรก
1. ขบวน SHINKANSEN TSUBAME 311 จาก KURUME --> KUMAMOTO
2. ขบวน LTD. EXP KYUSHU ODAN TOKKYU 2 จาก KUMAMOTO --> ASO(KUMAMOTO)
ค่าใช้จ่ายรวม = ค่าตั๋วรถไฟ + ค่าที่นั่ง(จอง)ขบวนแรก + ค่าที่นั่ง(ไม่ได้จอง)ขบวนสอง
                = 2480 + 2250 + 620 = 5,350 เยน
3. ขบวน LTD. EXP ASO BOY 102 จาก ASO(KUMAMOTO) --> KUMAMOTO
ค่าใช้จ่ายรวม = ค่าตั๋วรถไฟ + ค่าที่นั่ง(จอง)
                = 1110 + 1130 = 2,240 เยน
4. ขบวน SHINKANSEN TSUBAME 354 จาก KUMAMOTO --> KURUME
ค่าใช้จ่ายรวม = ค่าตั๋วรถไฟ + ค่าที่นั่ง(จอง)
                = 1650 + 1730 = 3,380 เยน
รวมค่าใช้จ่ายรถไฟ JR = 10,970 เยน <--- นี่เฉพาะวันแรกนะครับ ยังไงๆซื้อ JR Pass คุ้มสุดๆอยู่แล้ว


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น