วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 4.6 ร่วมรำลึก Atomic Bomb Dome, สวนสันติภาพฮิโรชิม่า, อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ และเดินชมแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองฮิโรชิม่า


ตอนย่อยนี้จะพาเพื่อนๆเข้าเมืองฮิโรชิม่า ไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆในเมืองนี้กัน หลังจากตอนย่อยที่แล้วได้ไปเที่ยวเกาะมิยาจิม่ากันแล้ว ด้วยที่เราใช้เวลาในเกาะมิยาจิม่ากันนานพอสมควรเลย ทำให้เราเหลือเวลาอีกน้อยนิดจริงๆก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ซึ่งทำให้หลายๆสถานที่ที่เคยแพลนไว้ว่าจะมาชมเมื่อมาถึงตัวเมืองฮิโรชิม่านี้ต้องยกเลิกไปโดยปริยายครับ เพราะทั้งไกลและปิดก่อนที่เราจะไปถึงด้วย เราเลยทำได้เพียงถ่ายภาพเก็บเอาไว้และชมเพียงข้างนอก ใครไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือใบไม้เปลี่ยนสีต้องแพลนเวลาดีๆครับ เพราะบ่าย 3 โมงครึ่งก็เริ่มมืดแล้วครับ แต่เราก็ได้มีอีกสิ่งมาทดแทนนั่นคือ มีโอกาสเดินชมแสงไฟ หรือ Illumination แทน ที่เปิดให้ชมช่วงที่ไปนี้ในช่วงค่ำคืน ณ ถนนย่านฮอนโดริ (Hondori) แพลนที่เราได้ปรับเมื่อมาถึงเมืองฮิโรชิม่าเป็นดังนี้ครับ

Chisun Hotel checkin - Take tram to Genbakudome-mae - Atomic Bomb Dome - Children's Peace Monument(อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ) - Hirishima Peace Memorial Park - Hirishima Peace Memorial Museum - Illumination along main road - Okonomiyaki Dinner at Okonomi-Mura (Hondori)  No time to Hiroshima Castle


ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่งเราเพิ่งมาถึงสถานีฮิโรชิม่าเอง ไม่รอช้าเดินเข้าไปถามข้อมูลที่ Information Center ที่อยู่ชั้นล่างของสถานีฮิโรชิม่า ตอนแรกว่าจะซื้อ Pass นั่งรถราง(Tram) แต่พอเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิง(เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย) เขาบอกว่าเมืองฮิโรชิม่าเล็ก สามารถเดินเที่ยวได้ไม่จำเป็นต้องเสียค่าพาสในการนั่งรถราง และบอกด้วยว่า ณ ตอนนี้ก็ตอนเย็นแล้ว ถึงซื้อไปก็ไม่คุ้มอยู่ดี ขอบคุรมากๆครับที่ไม่ได้อยากขายอย่างเดียว เราโชคดีเจอแบบนี้ 2 ครั้งแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อพาสมาครับ สงสัยถ้าเป็นในไทยก็ต้องเสียเงินค่าพาสแบบไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แน่ๆ แต่ถ้าใครมาถึงเช้าๆผมว่าก็สมควรซื้อนะครับ ไปหลายที่ก็คุ้มแน่ๆ


เดินออกจากสถานีรถไฟฮิโรชิม่าฝั่งใต้(South Exit) สักแป๊ปก็มาเจอสถานีรถราง(ซึ่งที่ญี่ปุ่นเขาจะเรียกภาษาอังกฤษว่า Streetcar ไม่ใช่ Tram อ่ะครับ งงเหมือนกัน) ของเมืองฮิโรชิม่าครับ สังเกตจะมี 2 ป้ายให้ขึ้นตามรูปนะครับ ซึ่งจะแยกกันตามสายของรถราง โดยรถรางในเมืองฮิโรชิม่าจะมีอยู่ 8 สายด้วยกันตามแผนที่ด้านล่าง สายที่ไปโรงแรมชิซุนที่เราพักจะต้องนั่งสาย 2 หรือ 6 ซึ่งต้องเดินมาขึ้นที่ป้ายที่มีเลข 1 2 6 กำกับ


แผนที่รถราง(Streetcar) ในเมืองฮิโรชิม่า(เว็บไซต์รถราง http://www.hiroden.co.jp/en/s-routemap.htmldownload แผนที่แบบ pdf


แถมสถานที่สำคัญๆในเมืองฮิโรชิม่าและเส้นทางที่สามารถเดินทางโดยรถรางไปได้ครับ


เดิมทีแพลนว่าจะไปที่ Atommic Bomb Dome หรืออาคารโดมที่โดนระเบิดปรมาณูช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย แต่ด้วยสภาพหลายคนในทีมอยากเข้าพักเก็บของที่โรงแรมก่อน เลยต้องมารอรถรางเพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมเก็บสัมภาระก่อนครับ เนื่องด้วยเรามีประสบการณ์ขึ้นรถรางที่เมืองคุมาโมโตะมาแล้ว การใช้บริการรถรางที่เมืองฮิโรชิม่าก็ไม่ยากอะไรนัก แต่ต้องดูดีๆกว่าเดิมนิด เพราะที่นี่มีหลายสายครับ ตามป้ายด้านบน เราต้องขึ้นรถรางสาย 2 หรือ 6 เลยต้องเดินมารอที่ป้ายนี้ ป้ายที่ 2 ครับ สังเกตง่ายๆก็ดูที่เขียนว่า "For Atomic Bomb Dome" ครับ


2 ขบวนหน้าตาโบราญนี้ยังไม่ใช่นะจ๊ะ รอก่อนๆ


แล้วขบวนรถรางที่เราจะขึ้นก็มาพอดี ขบวนนี้หน้าตาทันสมัยหน่อย สาย 2 ไปสุดสายสถานีมิยาจิม่ากูชิ นั่นคือสถานีที่นั่งเรือข้ามฟากไปเกาะมิยาจิม่านั่นเอง


ภายในรถรางครับ ทันสมัยมากๆ ใครมีบัตร Suica แตะได้เลยครับทั้งตอนขึ้นและลง ราคาเป็นแบบเหมาคือ คนละ 160 เยน ไม่ขึ้นกับสถานี แต่ทั้งนี้ต้องไม่ไปสถานีที่เลยแม่น้ำไปออกสายที่ไปมิยาจิม่ากูชินะครับ ถ้าเลยไปจะคิดเพิ่มตามระยะทาง แต่ถ้าอยู่ในเมืองฮิโรชิม่าก็ราคาเดียว 160 เยน


ไม่นานก็ถึงโรงแรม Chisun แล้วครับ ลงที่ป้าย Kanayamacho แล้วเดินข้ามถนนมาก็เจอพอดีเลย ทำเลดีมากๆ แถมราคาไม่แพงอีกด้วย อันนี้แนะนำมากๆครับ


เข้าเช็คอินกันก่อนครับ ยื่น voucher ที่จองทาง booking.com แล้วค่อยจ่ายเงินทั้งหมดที่นี่ เลือกจ่ายได้ด้วยว่าจะเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิต ผมเลือกบัตรเครดิตครับ


ได้เป็น keycard เพื่อเปิดห้องพักครับ โรงแรมนี้ทันสมัยมากๆ สภาพห้องนอนก็เป็นปกติของห้องพักในญี่ปุ่นคือแคบนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการนอนพักไม่กี่ชั่วโมงเนอะ


สภาพห้องพักสะอาด มีทีวี โตะทำงาน และมีชุดยูกาตะให้ด้วยครับ


มาชมภายในห้องน้ำกันบ้าง ทุกที่ต้องยกพื้นจากพื้นห้องปกติเสมอ คนปวดขาแบบผมแย่มากๆครับ


ไม่ขาดเลยที่ชักโครกเป็นแบบอัตโนมัติ ทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็น เลือกความแรงและอุณหภูมิได้หมด มาที่ญี่ปุ่นเข้าห้องน้ำมีความสุขที่สุดแล้วครับ 555


เก็บของสัมภาระเสร็จก็ลงมาด้านล่าง ภายในลิฟท์ก็ทันสมัย จอชั้นเป็น LED ยี่ห้อ Hitachi


อย่างที่บอกโรงแรมส่วนใหญ่จะรับฝากและส่งสัมภาระโดยบริการแมวดำ หรือ TA-Q-BIN กระเป๋าที่มีตาข่ายสีเขียวคลุมน่าจะส่งมาจากโรงแรมอื่นเพื่อรอเจ้าของมารับไปครับ เห็นแล้วก็ยังหวังว่าคงจะมีกระเป่าของเราไปรอที่โรงแรมในโอซาก้าในเย็นวันพรุ่งนี้ที่เราไปเช็คอินบ้างนะครับ ไม่งั้นไม่มีชุดใส่แน่ๆเลย ฮือๆ


เดินสำรวจบริเวณล๊อบบี้โรงแรมหน่อย ตอนมาเช็คอินไม่มีเวลา ด้านซ้ายมือเป็นบันไดขึ้นชั้นบน 2 ครับ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหมือนกัน ส่วนตัวล๊อบบี้ที่เราเช็คอินอยู่ข้างในชั้นล่างไกลๆโน่นนน


เข้าห้องน้ำชายก็ดูดี สะอาดครับ อย่างที่บอกแนะนำโรงแรมนี้เลยถ้ามาที่ฮิโรชิม่า


ออกจากโรงแรมก็เจอถนนใหญ่ แล้วเราก็ต้องข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามที่ลงรถรางขามาจากสถานีฮิโรชิม่าเพื่อขึ้นรถรางต่อไป


ประมาณ 10 นาทีก็มาถึงป้าย Genbakudome-mae ลงแล้วก็ข้ามถนนไปฝั่งซ้ายมือนะครับ ค่าโดยสารคนละ 160 เยน ตามเดิม



ข้ามฝั่งมาก็จะเห็นหินก้อนหนึ่งที่มีอักษรภาษาญี่ปุ่นหน้าอาคารโดมที่โดนระเบิดปรมาณูครับ


เจอแล้วครับ อาคารโดมที่โดนระเบิดปรมาณู หรือ Atomic Bomb Dome หรือ อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า ณ เวลานี้ได้แสง Twilight พอดีครับ สวยมากๆ


เดินต่อมาริมแม่น้ำ จะเจอกับรูปปั้นชายด้านซ้ายมือ และเด็กชายหญิงด้านขวามือ


เดินมาด้านข้างของโดม จะเห็นชาวญี่ปุ่นกำลังขี่จักรยานมาพอดีเลย เมืองนี้เป็นอีกเมืองของญี่ปุ่นที่มีคนขี่จักรยานสัญจรไปมาเยอะแยะ


เราเลือกเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเพื่อไปชมวิว A-Bomb Dome ระยะไกลๆ


ข้ามมาแล้ว มองเห็นโดมกับแสงไฟที่ทอดลงไปที่แม่น้ำสวยไปอีกแบบ


ตรงฝั่งนี้เป็นสวนสาธารธแล้วครับ เงียบสงบดี แต่อากาศก็เย็นลงๆ


อีกมุมหนึ่งของ A-Bomb Dome


ใครเดินมาเหนื่อยอยากนั่งพักแล้วชมอดีตของอนุสรณ์สันติภาพนี้ก็ย่อมได้ครับ มีต้นไม้ที่ใบกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดีเลยครับ สยมากๆ


มาดูประวัติกันบ้างครับ
อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า (ญี่ปุ่น: 広島平和記念碑 Hiroshimaheiwakinenhi ?; อังกฤษ: Hiroshima Peace Memorial) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า โดมปรมาณู (ญี่ปุ่น: 原爆ドーム Gembakudōmu ?; อังกฤษ: Atomic Bomb Dome) ตั้งอยู่ในเมืองฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ในอาณาเขตของสวนสันติภาพฮิโระชิมะได้รับการก่อตั้งเป็นอนุสรณ์ในปี พ.ศ. 2539 และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีเดียวกัน[1]

อนุสรณ์สันติภาพฮิโระชิมะเป็นอาคารที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางการระเบิดมากที่สุดในบรรดาอาคารที่ยังตั้งทนต่อแรงระเบิด[2] ตัวอาคารได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพหลังจากถูกระเบิด ปัจจุบันได้กลายเป็นอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงพลังทำลายล้างของระเบิดปรมาณู และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังในสันติภาพและการต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณู
เครดิต : Wikipedia


โดมปรมาณู(Atomic Bomb Dome) เดิมก่อสร้างเป็น ศูนย์การประชุมพาณิชยกรรมแห่งฮิโรชิม่า (ญี่ปุ่น: 広島県物産陳列館) เพื่อพัฒนาการตลาดของผลิตภัณฑ์ของเมืองฮิโระชิมะ ซึ่งเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองสงคราม เพราะเป็นที่ตั้งของศูนย์บัญชาการในสมัยสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง

จังหวัดฮิโรชิม่าอนุมัติการก่อสร้างใน พ.ศ. 2453 และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2457 ตัวอาคารเดิมออกแบบโดยสถาปนิกชาวเชกชื่อว่า Jan Letzel สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2458 เปิดใช้งานในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2464 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์จัดแสดงสินค้าแห่งฮิโระชิมะ (ญี่ปุ่น: 広島県商品陳列所) และในปี พ.ศ. 2476 เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น ศูนย์ประชาสัมพันธ์เชิงอุตสาหกรรมแห่งฮิโระชิมะ (ญี่ปุ่น: 広島県産業奨励館) ภายในศูนย์แห่งนี้มีการแสดงและวางขายสินค้าที่ผลิตในฮิโรชิม่า รวมทั้งแสดงงานศิลปะต่าง ๆ แต่เมื่อสงครามเริ่มทวีความรุนแรง การแสดงสินค้าก็ลดลงจนเลิกไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2487

ระเบิดปรมาณู
ในวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เวลา 8 นาฬิกา 15 นาที ระเบิดปรมาณูลิตเติลบอยระเบิดห่างจากโดมปรมาณูทางทิศตะวันออก 150 เมตร และสูงเหนือพื้นดิน 580 เมตร สันนิษฐานว่า 1 วินาทีหลังจากที่ลิตเติลบอยระเบิดอาคารก็พังทลาย แม้ว่าส่วนอาคารทั้ง 3 ชั้นจะพังทลายเกือบทั้งหมด แต่ส่วนโดมตรงกลางและกำแพงโดยรอบกลับรอดมาได้ เพราะแรงระเบิดนั้นเกิดขึ้นเหนืออาคารพอดี คาดว่าเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 คนที่อยู่ในอาคารเสียชีวิตทั้งหมด


เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอกับ Children's Peace Monument หรือ อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ


ประวัติ
ซะดาโกะ ซาซากิ (ญี่ปุ่น: 佐々木 禎子 Sasaki Sadako) (7 ม.ค. พ.ศ. 2486 - 25 ต.ค. พ.ศ. 2498) เป็นเด็กหญิงชาวญี่ปุ่น ที่อาศัยอยู่ใกล้กับสะพานมิซาสะในจังหวัดฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น เธอมีอายุได้เพียงสองปี เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกทิ้งลงที่ฮิโรชิม่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พ.ศ. 2488 แต่เธอรอดมาได้ ซาดาโกะเป็นเด็กที่แข็งแรงรวมทั้งเป็นนักกีฬา ในปี พ.ศ. 2497 เมื่อมีอายุได้ 11 ปี ในขณะที่กำลังซ้อมวิ่งอยู่นั้น เธอรู้สึกมึนหัวแล้วล้มลง หลังเข้ารับการตรวจก็พบว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผลสืบเนื่องจากระเบิดนิวเคลียร์

เพื่อนของซาดาโกะได้เล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับตำนานที่ว่า ถ้าใครพับนกกระดาษได้ครบหนึ่งพันตัว จะได้สิ่งที่ตนต้องการ ซกดาโกะหวังว่านี่อาจช่วยให้เธอหายป่วยและกับมาวิ่งได้อีกครั้ง เธอใช้เวลา 14 เดือนในโรงพยาบาล และพับนกมากกว่า 1,300 ตัว ก่อนที่จะเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 12 ปี (ในเรื่องเล่าที่ค่อนข้างแพร่หลายกล่าวว่าเธอพับนกได้แค่ 644 ตัวก่อนจะเสียชีวิต และเพื่อนของเธอพับนกให้เธอจนครบหนึ่งพันตัว และฝังนกเหล่านั้นพร้อมกับร่างของเธอ) ปัจจุบันที่ฐานอนุสาวรีย์ของเธอในบริเวณอนุสรณ์สถานสันติภาพ ฮิโรชิม่า ผู้คนจากทั่วโลกยังคงแวะเวียน นำพวงมาลัยนกกระเรียนกระดาษมาวางเพื่อระลึกถึงเธอ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม
เครดิต : Wikipedia

11 ปีหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซาดาโกะได้เกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและสลบในห้องเรียน ภายหลังจึงได้รู้ว่าเป็นโรคลูคิเมียหรือโรคมะเร็งในเม็ดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่ส่งผลมาจากปรมาณูในสงครามโลก ชิซูโกะเพื่อนสนิทได้มาเยี่ยมซาดาโกะที่โรงพยาบาลพร้อมได้นำ โอะริงะมิ มาพร้อมเล่าตำนานนกกระเรียน หรือ "สึรุ" ให้ฟัง โดยนกกระเรียนเป็นนกศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ความหวัง ความโชคดีและความสุข นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเจ็บป่วยได้ด้วย ถ้าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ถึง 1,000 ตัว แล้วผู้นั้นจะมีอาการดีขึ้น หลังจากนั้นซาดาโกะได้พับนกกระดาษพร้อมเขียนคำว่า "สันติภาพ" และเมื่อพับได้ 500 ตัว อาการก็ดีขึ้นและได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่ภายหลังอาการของซาดาโกะได้ทรุดหนักลงจนกระทั่งเสียชีวิต เพื่อนของเธอจึงได้ร่วมพับนกจนครบ 1,000 ตัว และใส่ไปในโลงศพ

เมื่อเรื่องราวของซาดาโกะแพร่หลายออกไป ก็ได้มีการบริจาคเงินสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงซาดาโกะ และเด็กๆ อีกหลายคนที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณู และตั้งที่ใจกลางสวนสาธารณะสันติภาพฮิโรชิม่า โดยอนุสาวรีย์นี้เป็นรูปของซาดาโกะกำลังยืนและยื่นมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟ้า ที่มือของเธอถือนกกระเรียนสีทองไว้
เครดิต : Wikipedia


น่าสงสารเธอนะครับ สงครามนี่ไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ความสูญเสียทั้งตัวคนที่เสียชีวิตและญาติมิตรพี่น้องของเขา


หลังจากได้รำลึกที่อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ เราก็เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง ชมอาคารพิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิโรชิม่า(Hirishima Peace Memorial Museum) เนื่องจากปิดไปแล้ว เข้าไปดูไม่ทัน ฮือๆ แต่เขาเปิดไฟได้สวยงามดีมากเลยครับ


หันกลับมาที่ The Memorial Cenotaph ทรงโค้งคล้ายเกาะกำบังโดยเบื้องล่างเป็นรายชื่อของเหยื่อที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูครั้งนี้


The Memorial Cenotaph นี้จะทำแนวตรงกับไฟสันติภาพ และอนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิม่า อย่างที่เห็นกัน ภาษาญี่ปุ่น "安らかに眠って下さい 過ちは 繰返しませぬから" เขียนไว้น่าจะแปลความได้ว่า "โปรดพักผ่อนอย่างสงบ เรา/เขา จะไม่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดอีกแล้ว"


เดินลอดผ่านอาคารพิพิธภัณฑ์ก็จะเจอกับน้ำพุ เรารอตั้งนานกว่าน้ำพุจะกลับมาเปิดต่อ คิดว่าจะปิดตอนเราไปถึงซะแล้วสิ


น้ำพุเคลื่อนไหวสวยงามครับ ด้านหลังเป็นถนน


ได้เวลาเดินกลับกันแล้ว ตรงนี้เป็นริมแม่น้ำที่ต่อมาจากอาคารโดมครับ เปิดแสงไฟสวยงามบ้างแล้วแฮะ


แล้วเราก็เดินข้ามสะพานไปตามถนนที่ตรงไปย่านฮอนโดริ(Hondori) เปิดไฟกันแล้วอย่างสวยงามครับ


ไฟที่เปิดบริเวณนี้เหมือนจะเน้นรูปหัวใจยังไงไม่รู้แฮะ อิอิ


งั้นก็ถ่ายซะเลยค่าาาา


มีกล่องของขวัญด้วยแฮะ


จะบอกว่าโชคดีจังเลยที่มีงานเปิดแสดงไฟ Illumination ช่วงที่เราไป อากาศเย็นๆ เดินไปชมไฟสวยๆไป ได้บรรยากาศมากๆครับ


โพสต์ไม่เบื่อ คนก็ไม่เยอะมากครับ


รูปนี้เหมือนอะไรครับเนี่ย นางฟ้ากำลังเป่าแตร?


ขอถ่ายกับไฟหัวใจดวงนี้ก่อนค่ะ


งั้นขอผมถ่ายด้วยสิ อิอิ


นางฟ้ากำลังเป่าแตรอีกแล้ว


บรรยากาศโดยรวม ชาวญี่ปุ่นก็มาเดินชมกับพอประมาณ ไม่แออัดมาก


ขอรูปคู่กับโดมไฟด้านหลังครับ


มาขึ้นบอลลูนกันค่ะ


เข้าไปในโดมแล้วแหงนมองด้านบน


ตรงนี้ก็มีบอลลูนเล็กๆสีม่วง


มาเดินชมสวนดอกไม้(ไฟ LED) กัน สวยงามไปอีกแบบแฮะ


คฤหาสน์หรูๆของเจ้าหญิง


รถม้าฟักทองมารอรับเจ้าหญิงซิลเดอริลล่า ใครจะขึ้นบ้าง?


ชมไฟเสร็จก็เริ่มหิวข้าวกันแล้ว เขาบอกว่ามาที่ฮิโรชิม่า ต้องมาทานโอโกโนมิยากิ(Okonomiyaki) หรือบางคนเรียกว่าพิซซ่าญี่ปุ่น จริงหรือเปล่าหว่า เลยเดินตามแผนที่ไปที่ Okonomi-Mura ตามที่มาร์กไว้


หาไม่ยากครับ แต่พอมาถึงแล้วงง ว่ามันคือชื่อร้านหรือคืออะไร แถมมีหลายชั้นด้วยสิ สุดท้ายก็หาๆร้านที่คิดว่าน่าทาน ก็นั่งเลยละกันครับ
ในรูปเป็นวิธีการผัดตั้งแต่เริ่มต้นครับ ใส่ผักใส่เครื่องใส่เนื้อสัตว์ตามที่เลือก อ้อ....มาแล้วต้องสั่ง 1 จานต่อ 1 คนด้วยนะครับ สั่งแค่จานเดียวทาน 2 คนไม่ได้อีก...เฮ้อ


พอได้ที่ก็เอาแป้งมาโปะๆ


ผ่านไป 15-20 นาที ก็เสร็จพร้อมทานครับ หน้าตาเป็นแบบนี้ ต้องสารภาพเลยว่าทาน Okonomiyaki ครั้งแรกเลย และน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย 555


จะเข้าปากแล้วน้าาาา ก็อิ่มกันไปครับ ทั้งหมด 2 จาน 2,376 เยน ราคาเอาเรื่องเลยครับ


ทานเสร็จก็เดินออกมาตามถนนเส้นหนึ่ง พอดีมันไม่มีชื่อถนนภาษาอังกฤษซะด้วย เลยบอกไม่ได้ครับ ถนนเส้นนี้มีร้านขายของเยอะมากๆ น่ากินด้วยครับ รู้อย่างนี้ไม่ไปกิน Okonomiyaki แพงๆหรอกครับ เสียดายๆ


ซื้อขนมปังอบรูปปลาไส้ชาเขียวก่อนนะ


ทาโกะยากิร้อนๆ น่าทานมั้ยครับ??


ร้านนี้น่าจะขายหมูหรือเนื้อย่างนะครับ


เล่นตักปลากัน


บาบีคิวร้อนๆครับ


ฝั่งตรงกันข้ามป้าย Kirin Beer อย่างใหญ่เลย วันนี้อดทานเบียร์ครับ


เดินต่อมาอะไรเอ่ย ควันฉุยเลย คล้ายๆซาลาเปาอ่ะครับ


อันนี้ช้อนอะไรกันหว่า เป็นลูกกลมๆสีๆ


ปลาหมึกย่างและทอด


เราเดินกลับโรงแรมครับ เดินเรื่อยๆ ไม่ต้องขึ้นรถรางเหมือนที่ทางเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเรา ชอบที่ล็อคจักรยานแบบนี้จัง


มาถึงโรงแรมแล้วครับ อันนี้เป็นตู้กดน้ำฟรีที่ล็อบบี้ มีชาเขียว, ชาข้าว, และกาแฟ ไม่เสียเงินชอบจัง หาไม่ได้นะครับที่ญี่ปุ่น ที่มีให้กดน้ำแบบกาแฟและชาฟรีๆ


ก่อนจากลากันไปในวันที่ 4 ของเมืองฮิโรชิม่า ที่โรงแรมจะมีไม้ไว้ดันส้นเท้าให้เข้าในรองเท้าอยู่หลายๆโรงแรมเลยนะครับ มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือครับ แปลกใจ แต่ผมก็ใช้นะครับ สะดวกดี

ค่ารถไฟ JR ประจำวันที่ 3
1. ขบวน JR Kyudai Line จาก YUFUIN --> OITA
2. ขบวน LTD. EXP SONIC 18 จาก OITA --> KOKURA
3. ขบวน SHINKANSEN SAKURA 546 จาก KOKURA --> HIROSHIMA
4. ขบวน JR Sanyo Line จาก HIROSHIMA --> MIYAJIMAGUCHI
ค่าใช้จ่ายรวม = ค่าตั๋วรถไฟ + ค่าที่นั่ง(จอง)
                = 7020 + 5200 = 12,220 เยน
5. ขบวน JR Sanyo Line จาก MIYAJIMAGUCHI --> HIROSHIMA
ค่าใช้จ่ายรวม = ค่าตั๋วรถไฟ + ค่าที่นั่ง(จอง)
                = 410 + 0 = 410 เยน
รวมค่าใช้จ่ายรถไฟ JR = 12,630 เยน 
6.ค่าเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเกาะมิยาจิม่า ไป-กลับ = 360 เยน
รวมค่าใช้จ่าย JR วันนี้ ทั้งรถไฟและเรือเฟอร์รี่ = 12,630 + 360 = 12,990 เยน

รวมค่าใช้จ่ายรถไฟ JR (3 วัน) และ JR Ferry = 33,850 เยน <--- 3 วันแรกค่าตั๋วรถไฟ+เรือเฟอร์รี่ JR ก็เกินราคา JR Pass แล้วครับ ถือว่าคุ้มสุดๆ แล้ว
แล้วไว้ติดตามกันต่อในวันรุ่งขึ้น โดยเราจะออกจากฮิโรชิม่าไปนารากันครับ click เพื่อชมตอนต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น