วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 3.3 นั่งรถไฟขบวนพิเศษ Limited Express Yufu 4 จากเบปปุไปยูฟูอิน(Yufuin) หมู่บ้านโอท็อป(OTOP) ดั้งเดิมของญี่ปุ่น


มาต่อกันในตอนย่อย 3.3 ครับ หลังจากที่ตอนก่อนเราไปทัวร์นรกที่เบปปุ หรืออาจจะเรียกว่าชะโงกทัวร์ก็ไม่ปานเพราะไปดูแค่ 1 บ่อน้ำพุร้อนเท่านั้น เนื่องจากเวลาอันน้อยนิดและเราก็ต้องการเอาเวลาไปใช้ที่ยูฟูอินมากกว่า เพราะใครๆเขาก็บอกว่าที่ยูฟูอินหมู่บ้านโอท็อปดั้งเดิมของญี่ปุ่นนั้นเป็นหมู่บ้านชนบทที่เรียบง่าย เงียบสงบ ใครได้ไปจะต้องติดใจ ซึ่งแค่นี้เราก็เทใจให้กับยูฟูอินไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นตอนย่อยนี้เราจะพาเพื่อนๆไปนั่งรถไฟขบวนพิเศษ(อีกแล้ว) มีชื่อว่า Limited Express Yufu 4 ซึ่งเราได้จองที่นั่งมาเช่นเดิม พอถึงยูฟูอินเราก็จะเช็คอินเข้าที่โรงแรม Hotel Big Bear เก็บข้าวของแล้วออกมาเดินถนนคนเดินกัน ซึ่งมีรายละเอียดของร้านค้าอยู่มาก ผมเลยขอแบ่งอีกส่วนไปตอนต่อไปครับ งั้นเรามาเที่ยวยูฟูอิน(Yufuin) ด้วยกันเลยครับ


หลังจากช๊อปซื้อของฝากเล็กๆน้อยน้อยที่ร้านค้าในสถานีเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินขึ้นมารอรถไฟด้านบนกันเลย แทร็ค/ชานชลา/แพล็ตฟอร์ม ที่จะออกไปยูฟูอินคือหมายเลข 3 ชื่อขบวนรถไฟคือ Limited Express Yufu 4 มี 3 โบกี้ ออกเวลา 13.12 น. มีเวลาอีกประมาณ 10 กว่านาที


งั้นไปเดินหามุมถ่ายรูปกับรถไฟขบวนพิเศษนี้กันครับ กับป้าย 185 ASO YUFU EXPRESS โบกี้นี้เป็นโบกี้ 1 แบบ Reserved


เดินไปถ่ายด้านหน้าขบวนรถไฟนี้กันบ้าง


ได้เวลาเข้าไปภายในขบวนรถไฟกันแล้ว การตกแต่งภายในคล้ายกับขบวนพิเศษที่นั่งจากสถานีคุมาโมโตะไปสถานีอะโสะ เมื่อวานนี้นะครับ สีออกโทนไม้คลาสสิคสวยงาม


ขบวนนี้ยังคงแล่นเลียบทะเลเช่นเดิม ก่อนจะผ่านเมืองโออิตะ(Oita) ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดโออิตะ แล้วแล่นคดเคี้ยวเข้าไปในพื้นที่ชนบท


บางช่วงแสงจากท้องฟ้าสวยงามมากๆครับ อดใจไม่ไหวต้องหยิบกล้องมาเก็บภาพไว้


โอ้วววว....ขบวนรถไฟเราได้จอดรอที่สถานีใดสถานีหนึ่ง แล้วสวนกับขบวนพิเศษอีกขบวนหนึ่งที่เราไม่ได้ขึ้นเพราะเวลาไม่อำนวยมากๆ นั่นคือขบวน Yufuin no Mori ไม่แน่ใจว่ากำลังจะแล่นกลับฮากาตะหรือเปล่า แต่คิดว่าใช่นะครับ


ระหว่างทางที่เป็นชนบท วิวท้องทุ่งเห็นแล้วสบายตาจริงๆครับ อากาศคงสดชื่นไร้สารพิษน่าดู


ใกล้จะถึงสถานียูฟูอินแล้วครับ รถไฟลดความเร็วแล้ว วิวที่เห็นไกลๆโน้นเป็นสะพานข้ามช่องเขา หรือจะเป็นสะพานรถไฟขบวนที่เรามาหรือเปล่านะ


ได้เวลาลงรถไฟกันแล้ว แน่นอนว่านักท่องเที่ยวลงกันเกือบจะหมดขบวนกันเลยมั้งครับ เพราะเยอะมาก สงสัยไม่ค่อยมีใครไปฮากาตะด้วยชบวนนี้หรอก เพราะเสียเวลามาก


ออกมาจากสถานีก็จะเจอกับสามแยก ฝั่งตรงกันข้ามเป็นถนนเข้าหมู่บ้านยูฟูอินมีแบล็คกราวน์เป็นภูเขา อยากจะบอกว่าบรรยากาศสุดยอดมากกก สมกับที่ใครๆร่ำลือ อากาศก็เย็น อะไรๆดูดีไปหมดเลย อิอิ

เราสามารถเดินไปตามถนนเส้นนี้ได้เลยครับ ไม่มีหลงแน่ๆ


ก่อนจะเดินไปหาโรงแรมหันหลังกลับ 180 องศา เพื่อถ่ายด้านหน้าสถานีกันก่อนครับ ภายในสถานียูฟูอินจะมีภูเขาจำลองโชว์อยู่ มีคนถ่ายรูปกันเยอะแยะเลย


ได้เวลาเดินไปตามทางเพื่อหาโรงแรมเข้าเช็คอินกันครับ จะเดินฝั่งซ้ายหรือขวาก็ตามสบายครับ แต่เราเดินฝั่งซ้ายมือกัน และเห็นคนอื่นๆก็จะเดินกันฝั่งนี้


ฝั่งตรงกันข้ามมีร่มมาแสดงหน้าร้านด้วยแฮะ มองๆไปแล้วผมว่าคล้ายๆร่มที่บ่อสร้าง จ.เชียงใหม่เลยนะครับ น่าซื้อไปใช้บ้างแต่ไม่รู้ราคาจะแพงขนาดไหนนะ


เดินไปเรื่อยๆ กระเป๋าใบใหญ่ก็ไม่มีแล้วเพราะส่งไปโอซาก้าโดยบริการแมวดำ สัก 10 นาทีก็มาถึงหน้าทางเข้าโรงแรมที่จองไว้ครับ (ตอนแรกจองแบบเรียวกังที่คนไทยไปกันเยอะๆด้วย แต่พอเปลี่ยนวันเดินทาง ที่พักเดิมเลยเต็ม เลยไม่ได้จองได้ที่นี่แทนครับ)


ด้านหน้าทางเข้าตัวโรงแรม มีตุ๊กตาหมีตัวหย่ายๆ มาต้อนรับหน้าประตูด้วย เจ้านี่มันนั่งหรือนอนเนี่ย สงกะสัย ??


เช็คอินง่ายมากครับ ยื่นใบจองที่พิมพ์มาพร้อมกับพาสปอร์ตทุกคน ลงชื่อในแบบฟอร์ม แล้วรอรับกุญแจห้องได้เลย เย้ๆ ได้กุญแจแล้ว


เข้าไปเก็บของในห้องพักกันได้เลยครับ เราได้ห้อง 306 ช่วงแรกจะเป็นส่วนของห้องอาบน้ำ(ซ้ายมือ) และห้องส้วม(ขวามือ) ก่อนจะถึงอีกส่วนที่เป็นห้องนอน


ในส่วนของห้องนอน มี 2 เตียง กับอีก 1 โซฟาพร้อมโต๊ะวางของ มีทีวี น้ำร้อนและชาให้ต้มดื่มครับ


มาชมกันอีกมุมหนึ่ง ด้านซ้ายมือจะเป็นหน้าต่าง มองเห็นทางเดินที่เราเดินมา


มาสำรวจห้องอาบน้ำกันบ้าง ที่นี่จะแยกห้องอาบน้ำกับห้องส้วมออกจากกัน ก็ดีไปอีกแบบ จะได้ใช้งานไม่รอกัน


ฝั่งนี้เป็นห้องส้วม หรือห้องขับถ่ายครับ ไม่ใหญ่พอดีกับตัว แต่ที่ชอบคือด้านบนของชักโครกเราจะเห็นก๊อกน้ำอยู่ ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่ามันใช้ทำอะไร แต่มาเข้าใจได้ไม่นาน นั่นคือ ไหนๆ น้ำก็จะต้องเข้าไปในถังที่เก็บน้ำก่อนเรากดชักโครกแล้วใช่มั้ยครับ คนญี่ปุ่นเลยทำก๊อกมาเพื่อไว้ใช้ล้างมือครับ จะได้ใช้ประโยชน์ทั้ง 2 อย่าง เพราะน้ำที่ผ่านการล้างมือเราก็นำมาใช้ชำระเวลาเรากดชักโครกอยู่แล้ว ใช้ทีได้ 2 อย่าง เลิศไปเลย คนญี่ปุ่นเป็นคนช่างคิด ประเทศเขาถึงได้เจริญๆ


ได้เวลาเดินออกมาสำรวจข้างนอกกันแล้ว เห็นร้านขายของน่ารักๆ เต็มไปหมด อย่างเช่นร้านนี้ มีหุ่นไล่กามายืนหน้าร้านด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าขายอะไร


เดินไปอีกหน่อยเจอหุ่นไม้แกะสลักกำลังยืนหิ้วป้ายแนะนำร้าน เก๋ไปอีกแบบ


คราวนี้เราจะเดินข้ามทางม้าลายไปอีกฝั่งหนึ่งครับ แล้วเราจะข้ามสะพานเดินไปตรอกถนนด้านขวามือ เพราะถนนคนเดินจะอยู่เส้นนี้ ไม่ใช่ถนนหลักด้านซ้ายมือนะครับ แต่มีเรื่องสงสัยคือ มันมีเส้นลูกศรสีขาวที่เหมือนจะขีดเอง ขีดจากถนนฝั่งขวามือพาดเฉียงมาด้านซ้ายมือ สงสัยกลัวคนขับรถไม่รู้ว่าจะขับไปไหนดี อิอิ


ร้านนี้มีม้านั่งแปลกๆครับ เราเลยแวะเข้าไปดูภายในร้านซะหน่อย


ขายขนมและมีให้ชิมด้วยครับ แถมแพ็จเกจจิ้งสวยงาม น่าซื้อติดมือมาซะจริงๆเลย แต่ก็ไม่ได้ซื้อ อิอิ ชิมอย่างเดียว


ได้เวลาข้ามสะพานไปอีกฝั่งแล้ว วิวลำธารด้านล่างกับภูเขาด้านบนสวยงามเป็นธรรมชาติจริงๆ


เขาว่าร้านนี้ B-Speak ขายเค้กเบเกอรี่มีชื่อเสียงเหมือนกันนะ งั้นลองเดินเข้าไปดูกันดีกว่า


เข้าไปดูแล้ว แต่ราคาไฮโซไปหน่อย เลยถอยกลับมาครับ


ร้านขาย soft cream กับมันเผา ดูน่าทาน แต่ก็ไม่ได้ลองชิมอีกแล้ว เดินต่อๆ


เดินๆไปก็มีรถสองล้อแบบญี่ปุ่นกำลังลากกันมาเลยครับ ผมว่าคนลากนี่เหนื่อยมากๆเลยนะ ถ้าทางขึ้นเนินหล่ะตัวใครตัวมัน ใช้พละกำลังเยอะจริงๆ


ร้านกาแฟน่านั่งอีกแล้ว แต่ก็ต้องเดินผ่านไป ฮือๆ


เอ๊ะ...ตัวนี้หมาหรือแมวนะเนี่ย แต่น่าจะเป็นแมวดำนะ เพราะมีรูปแมวอยู่ด้านบนด้วย สังเกตดีๆ จะมีลูกแมวดำและขาวนั่งอยู่ที่จักรยานไม้คันน้อยๆด้วยหล่ะ


แล้วนี่มันตัวอะไรหล่ะเนี่ย??? ดูยากจัง แมวน้ำหรือเพนกวิ้น


อ่า...ขอถ่ายกับตัวนี้หน่อยละกันนะ


เดินต่อไปเรื่อยๆครับ คนเยอะเชียว


ร้านนี้ทำเก๋ มีตู้ไปรษณีย์หน้าร้านด้วย ใครอยากส่งไปรษณีย์ก็สามารถมาหย่อนที่ตู้นี้ได้เลยจ้า จากใจอดีตประธานคลับเรารักโปสการ์ด อิอิ


เดินเข้าไปดูพนักงานเขาทำเบเกอรี่แบบใกล้ชิดกันเลยครับ แพ็คกล่องกันสดๆ


แล้วเราก็ได้เห็นใบไม้แดงเข้าให้แล้วที่ยูฟูอินนี้ แม้ว่ามันจะน้อยนิดก็ตามทีเถอะ


แล้วเราก็ต้องมาหยุดยืนต่อแถวครั้งแรกเพื่อซื้อ Cucuchi Korokke คร้อกเก้ที่ทำด้วยมันบดชุบแป้งกับขนมปังทอด ก็อร่อยดีนะครับ สนนราคาชิ้นละ 200 เยน ทานแก้หนาวกันครับ


นี่ไง ซื้อมาแย้วววว


ร้อนๆ อร่อยดีครับ แก้หนาวไปได้


ส่วนร้านนี้น่าจะขายคล้ายๆกัน แต่คนเยอะกว่านะ แถมร้านยังติดรูปคนดังของญี่ปุ่นที่แวะมาทานด้วยครับ เสียดายที่เราไม่ได้แวะลองชิมอีก เลยไม่รู้รสชาติ


ร้านนี้ขายอะไรเอ่ย...พอเดาได้มั้ย?? งั้นตามมาดูข้างในครับ


ขายน้ำผึ้งนั่นเอง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำผึ้งครับ มีผึ่งตัวเป็นๆอยู่ในลังไม้ด้วยนะครับ แต่ดูราคาแล้วแพงพอควรเลย


เดินกันต่อไปครับ ร้านรวงเยอะมากๆ เดินเพลินจริงๆครับ ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยมั้งเนี่ย


ร้านนี้มีของฝากทั้งกระเป๋า เป้ เสื้อ สกรีนเจ้าหมีดำคุมาม่อน ตัวมาสค็อตประจำเมืองคุมาโมโตะ


และแล้วก็มาถึงร้านขายทาโกะยากิยักษ์จนได้ครับ ตอนไปถึงนี่ คนยังไม่เยอะ มีแค่เรากับอีกคนแค่นั้นเอง เลยสั่งไว้ก่อน เพราะต้องรอเป็นยี่สิบนาทีเลยกว่าจะสุก


ชอบรสชาติไหนเลือกกันได้เลยครับ เราเลือกแบบราคา 470 เยน แถวขวาอันที่ 3 จากด้านล่าง แล้วก็รอๆๆๆ


ในที่สุดหลังจากรอมาเป็นเวลา 20 นาที(โห...นานนะเนี่ย) ก็ได้มาเชยชม ปลาหมึกแห้งที่โรยมาอย่างเยอะ เยอะจนไม่เห็นตัวทาโกะยากิที่เป็นลูกกลมๆอยู่ด้านล่าง แต่รสชาติก็อร่อยดีครับ ส่วนใหญ่ตอนอยู่ในไทยผมจะไม่ได้กินเท่าไหร่ แต่มาประเทศต้นกำเนิดต้องจัดซะ

แล้วก็จบตอนย่อยนี้ไปครับ พักยกก่อน เดี๋ยวไปเดินเที่ยวถนนคนเดินกันต่อในส่วนที่เหลือครับ ยังเหลืออีกเยอะเลยครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น