วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 3 นั่งชินคันเซ็นไปลงฮากาตะ เพื่อต่อรถไฟขบวนพิเศษโซนิค(Limited Express Sonic 883) ไปเที่ยวเมืองแห่งน้ำพุร้อน "เบปปุ"


วันนี้เป็นวันที่ 3 ของทริปญี่ปุ่น เราต้องย้ายที่พักครั้งแรก หลังจากพักที่คุรูเมะมา 2 คืนด้วยกัน เช้าวันนี้เช่นเดียวกับวันก่อนๆคือออกเช้าตรู่ครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นต้องออกแต่เช้าเพื่อจะได้เที่ยวเยอะๆ เพราะจะเสียเวลากับการเดินทางไม่มากก็น้อย เช้านี้ก็เหมือนกัน ด้วยการส่งกระเป๋าผ่านบริการแมวดำด้วยแล้ว เราก็ยิ่งต้องตื่นเร็วกว่าปกติเพราะกลัวจะเสียเวลาตอนทำความเข้าใจกับพนักงงานโรงแรมที่เมื่อคืนดูจะไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่

วันนี้เรามีแผน ที่จะไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน หรือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า "ทัวร์นรก" (Hell Tour) ที่เมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ แล้วหลังจากนั้นก็จะไปหมู่บ้านยูฟูอิน(Yufuin) หมู่บ้านที่เป็นต้นกำเนิด OTOP ที่ไทยเราได้นำแนวคิดมาขยายทำในประเทศไทยเราจนประสบผลสำเร็จไปด้วยดี โดยวันนี้จะแบ่งเป็น 3 ตอนย่อย โดยตอนแรกจะพาไปบ่อน้ำพุร้อนเบปปุ ตอนที่สองจะพาไปยูฟูอินหมู่บ้านโอท็อป ส่วนตอนที่สามจะเก็บตกยูฟูอินในช่วงหลังครับ

ถ้าดูจากแผนที่จะพบว่า จากที่พักของเราเมืองคุรูเมะ สามารถที่จะไปโดยขึ้นรถไฟท้องถิ่น JR สาย Kyudai Main Line จากสถานีคุรูเมะไปสถานีเบปปุได้เลย แต่เราเลือกที่จะไปโดยผ่านสถานีฮากาตะก่อน เพราะต้องการไปขึ้นรถไฟขบวนพิเศษโซนิคนั่นเอง เลยอาจดูเหมือนอ้อมๆ นิดหน่อย แต่เพื่อความแปลกใหม่ก็ยอมครับ ซึ่งจริงๆก็ไม่นานเท่าไหร่ เพราะขบวนแรกเราใช้บริการชินคันเซ็น ขบวนที่สองถึงจะเป็นขบวนโซนิค งั้นเราไปทัวร์นรกด้วยกันเลยครับ

DAY3 (17 พฤศจิกายน 2557): Hotel (Kurume) - Hakata(via) - Beppu - Yufuin


วันนี้ตื่นเช้ากันมากๆ 6 โมงเช้าก็ลงมาเช็คเอาท์แล้ว เพราะเราต้องเอากระเป๋าทั้ง 2 ใบใหญ่ส่งไปโรงแรมที่โอซาก้า โดยเราจะเข้าพักในอีก 3 คืนที่จะถึง เราใช้บริการแมวดำ หรือ TA-Q-BIN อย่างที่เคยบอกไปในตอน 0 เตรียมตัวก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น
พนักงานผู้หญิงคนแรกสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้เลย บอกอะไรไปก็งงๆ ไม่เข้าใจ เราเกือบจะซวยซะแล้ว แม้ว่าเมื่อคืนเรามาแจ้งความจำนงจะส่งกระเป๋าล่วงหน้ากับพนักงานที่เคาน์เตอร์เพื่อกันเหนียวแล้วก็ตาม แถมยังเอาใบ tag ที่ไว้กรอกข้อมูลที่อยู่การส่งกระเป๋าและข้อมูลเจ้าของกระเป๋า(สีชมพู 2 ใบที่กำลังใส่ซองพลาสติก) ให้เรามากรอกเองอีกด้วย ผมเลยแจ้งไปว่า "คุณต้องกรอกให้ผม ภาษาญี่ปุ่นทั้งนั้น ผมอ่านไม่เข้าใจหรอก"   ตอนนี้เราต้องเสียเวลาให้น้อยที่สุดเพื่อที่เราจะได้รีบไปขึ้ันแท็กซี่เพื่อไปขึ้นรถไฟชินคันเซ็นที่จองที่นั่งไว้ ดีที่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคน(คนในรูป) ยังพอฟังภาษาอังกฤษได้ เลยกรอกข้อมูลให้เราทั้ง 2 ใบครับ ราคาค่าส่งไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนัก แต่ขึ้นกับขนาดของสิ่งของที่จะส่ง สรุป ทั้ง 2 ใบขนาด 24 และ 26 นิ้ว ราคาเท่ากันคือใบละ 1,512 เยน รวมเป็นราคาค่าบริการส่งกระเป๋าโดยแมวดำ 3,024 เยน ตามตัวเลขในเครื่องคิดเลขครับ

เราเองลุ้นๆว่ากระเป๋าจะไปถึงจุดหมายหรือเปล่าน้อ ?? อ้อ....แต่อย่าลืมนำของใช้และเสื้อผ้าที่ไว้ใช้สำหรับจำนวนวันที่ยังไม่มีกระเป๋านะครับ ในกรณีของเรา 3 วัน 2 คืน คือวันนี้(17 พย.), วันพรุ่งนี้(18 พย.) และมะรืนนี้(19 พย.)ก่อนจะเข้าที่พักที่โอซาก้าในช่วงค่ำๆ


ไม่รอช้า จัดการเรื่องกระเป๋าเสร็จก็แจ้งทางพนักงานโรงแรมให้เรียกแท็กซี่ต่อให้เราเลย คนแรกอีกแล้วที่เฉยๆไม่ยอมเรียกให้เรา แต่สุดท้ายผมก้ต้องกดดันให้เรียกมาให้เราจนได้ คนอะไร ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองเลย เพิ่งเคยเจอครับ


ไปถึงที่สถานีคุรูเมะ 6.38 น. หาซื้ออะไรเพื่อทานมื้อเช้าก่อน อ้อ...เราไม่ได้ทานที่โรงแรมนะครับ เพราะออกมาก่อน ข้าวปั้นหน้าต่างๆ อาหารกล่อง หรือเบนโตะของแท้ดั้งเดิมจากญี่ปุ่นเลย เลือกตามชอบครับ


ได้อาหารมื้อเช้าแล้วก็เดินเข้าไปด้านในกัน แต่เอ๊ะ....มีใครจะมาหรือเปล่า รอรับกันเพียบเลย สงสัยเป็นคนสำคัญนะเนี่ย


ของผมได้ข้าวถาดนี้ครับ ราคา 307 เยน พร้อมกับไปกดกาแฟกระป๋องแบบร้อน(ไฟสีแดง) ถ้าแบบเย็นไฟจะโชว์สีฟ้า มาทานด้วย รู้สึกจะราคา 124 เยน ตอนแรกกะจะทานในรถไฟแต่ดูไปดูมามีเวลารอรถไฟใน waiting room นาน เลยทานในนี้เลยละกัน เสร็จไป 1 มื้อ อิอิ


รถไฟชินคันเซ็นมาแล้วครับ แต่ไม่ใช่ขบวนเรา เพราะอยู่ฝั่งตรงกันข้าม อิอิ


แต่ไม่นานขบวนเราก็มาถึงพอดี ด้านหน้าดวงไฟสวยงามมาก ยิ่งใหญ่จริงๆสำหรับการคมนาคมของญี่ปุ่นเขา เมื่อไหร่บ้านเราจะมีซะทีนะ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ได้
ขบวนนี้ชื่อว่า TSUBAME 306 หรือแปลว่านกนางแอ่น สังเกตดีๆจะเห็นรูปนกนางแอ่นอยู่ด้านข้างแถบขวามือของตัวรถไฟต่อจากเส้นสีแดง


เดินเข้าไปหาที่นั่งตามใบจองเลยครับ


การจัดเรียงที่นั่งแบบ 2-2 ภายในโบกี้เหมือนกับเมื่อวานที่นั่งไปสถานีคุมาโมโตะครับ


รถไฟใช้เวลา 18 นาที ไม่นานก็มาถึงสถานีฮากาตะในเวลา 8.01 น. เดินออกจากชานชลาชินคันเซ็นเพื่อลงไปยังชานชลาของรถไฟท้องถิ่นต่อไป


วันนี้เป็นวันจันทร์ ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้คนยิ่งเยอะมากไปอีก จะเห็นว่าคนเดินเบียดกันเลยครับ ขบวนของเราต่อไปคือ ขบวนที่ 2 จากป้ายด้านบนที่แสดงอยู่ นั่นคือ ขบวนรถไฟ Limited Express Sonic 7 ออกเวลา 8.23 น. ชานชลา/แทร็ค 2 ในด้านซ้ายมือ โดยไปสุดสายที่สถานีโออิตะ(Oita) ผ่านสถานีโคคุระ(Kokura)


ยังมีเวลาเหลือเกือบ 20 นาที เลยนั่งรอรถไฟไป ถ่ายรูปรถไฟขบวนอื่นๆที่มาก่อนไปพลาง


อีกขบวนหนึ่ง Rapid train 811 ไป Akama คนเข้าคิวกันขึ้นเยอะเลย


และแล้ว ไม่กี่อึดใจ ขบวนรถไฟของเราก็มาจอดเทียบท่า โบกี้ที่ 1 แบบกรีน 883 โซนิค ที่ต้องเสียเงินเพิ่ม มีสัญลักษณ์หูมิ๊กกี้เม้าส์ด้วย



เราเข้าไปที่ขบวนี้แหล่ะ แล้วเดินหาโบกี้(Car) ของที่นั่งเราเอา โบกี้นี้จัดเรียงที่นั่งแบบ 2-1 สบายๆ แบบเฟิร์สคลาส ไม่ต้องแออัด เบาะเป็นหนังสีดำด้านบนเป็นรูปหูมิ๊กกี้เม้าส์ แบบฉบับของขบวนโซนิคเขาหล่ะ


ของเราน่าจะโบกี้นี้นะ ดูภายในแล้วหรูมากๆครับ ชอบรถไฟญี่ปุ่นที่เขาใส่ใจในรายละเอียดของการตกแต่งรถไฟมากๆครับ ไม่ใช่แค่นั่งอย่างเดียว เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการตกแต่งสวยๆงามๆด้วย


เข้ามาถึงโบกี้เราแล้ว โอ้โห...พื้นเป็นไม้ปาร์เก้ ภายในสีขาวสว่าง ส่วนเบาะสีแดง ดูสวยลงตัวมากๆ แม้ว่าการจัดเรียงที่นั่งจะเป็น 2-2 ก็ตามเหอะ


 หันกลับมาถ่ายบ้างครับ เบาะนั่งจะเป็นผ้ากำมะหยี่สีส้ม


ได้เวลาสาวๆถ่ายรูปหมู่กันแล้ววว ครึ้นเครงกันใหญ่


ฝนตกเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนออกจากสถานีครับ


อีกมุมหนึ่งจากเบาะริมหน้าต่าง


ขบวนรถกำลังเคลื่อนออกจากสถานีฮากาตะช้าๆ


ด้วยความที่ยังเช้าอยู่ นั่งไปหลับตอนไหนไม่รู้ครับ ตื่นมาอีกทีก็ถึงสถานีโคคุระ(Kokura) แล้ว แปลกตรงที่ว่า พอมาถึงสถานีนี้ รถไฟจะแล่นกลับทิศครับ คราวนี้หล่ะงงกันเลย แต่ไม่ต้องกลัว เบาะสามารถปรับทิศทางได้ คือหมุนได้ 180 องศานั่นเอง คือให้ลุกขึ้นมาเหยียบก้านตรงหลังเบาะแล้วหมุนเบาไปด้วยก็จะกลับทิศทางเบาะไปตามทิศทางการเคลื่อนที่ของรถไฟแล้วครับ


 รถแล่นไปในทิศตรงกันข้ามแต่ไม่ใช่ที่เดิมนะครับ มองออกหน้าต่างไป ทุ่งข้าวอันเขียวขจี ดูแล้วสดชื่นขึ้นมาทีเดียว


ผ่านจุดที่เป็นตัวเมืองบ้างแล้วครับ มีใบไม้แดงอยู่ 1 ต้น อิอิ


เกือบๆ 1 ชม.รถไฟก็เริ่มเลียบทะเลอีกครั้ง ฟ้ายังหม่นๆอยู่ครับ


เพื่อความมั่นใจว่าเรากำลังอยู่ตรงจุดไหนของแผนที่ และเบปปุใกล้ที่จะถึงหรือยัง ผมใช้ Google Map เพื่อดูตำแหน่งของเราแบบ real time ครับ โดยสัญญาณ WiFi จาก Pocket WiFi ที่เช่ามาไม่มีปัญหาครับ ความเร็วแบบนี้จับสัญญาณได้ปกติ ไม่หลุด รู้ว่าเรากำลังเข้าใกล้เมืองเบปปุเข้าไปทุกทีแล้วตามจุดกลมๆสีฟ้า



ซูมกันให้ดูใกล้ๆ ขณะนี้กำลังอยู่ตำแหน่งที่เข้าใกล้ท่าเรือเบฟู(Befu port) อีกไม่นานก้จะถึงสถานีเบปปุแล้ว เราใช้ Google Map แบบนี้ช่วยหาสถานีที่เราไม่คุ้นไม่มั่นใจกับเสียงพูดที่ออกมาจากรถไฟครับ ช่วยได้ดีมากๆ ต้องขอบคุณเทคโนโลยี่สมัยนี้ครับ


รถไฟเริ่มลดความเร็วแล้ว มองเห็นหอคอยเบปปุนี้ด้านซ้ายมือซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์และจุดสังเกตของเบปปุได้เป็นอย่างดี


ลงจากรถไฟขบวนพิเศษโซนิคแล้ว สีฟ้าสบายตา


เดินลงมาที่บันไดก็จะพบกับป้ายต้อนรับจากเมืองเบปปุครับ


เดินลงบันไดมาไม่ทันไรก็เห็นฝูงของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ(ฝรั่ง)เยอะมากเดินสวนเข้ามาที่สถานี เดาว่าเพิ่งกลับจากทัวร์นรกนะครับ


ออกมาจากทางออกของสถานีก็ต้องเลี้ยวซ้ายมุ่งไปที่ประตูด้านตะวันตก(West Gate) นะครับ จะมีสถานีรถบัสอยู่ ส่วนฝั่งตะวันออกไม่มีอะไร เราเลือกเดินออกทางนี้ก็เพื่อฝากกระเป๋าด้วย เพราะมีป้ายบอก Coin Lockers อยู่


ใส่สัมภาระเข้าไปเลยครับ เราเลือกขนาดล็อคเกอร์แบบราคา 500 เยน ใช้ 2 ล็อคเกอร์ด้วยกัน


พอฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินย้อนมาถามเจ้าหน้าที่ที่ห้อง Information อีกครั้ง อยากถามเรื่องราคา 1 day pass และความจำเป็น


เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากๆครับ แจกแจงการเดินทางทุกอย่าง ซึ่งตอนแรกเรากะจะซื้อ 1 day pass แล้ว แต่พอบอกไปว่าเราอาจไปบ่อน้ำพุร้อนแค่ 1-2 ที่เท่านั้นเพราะกลัวจะมีเวลาไม่พอที่จะไปต่อที่ยูฟูอิน เจ้าหน้าที่เลยคืนเงินให้เราครับ และบอกหมายเลขรถบัสที่จะนั่งไปยัง UMIJIKOKU บ่อน้ำพุร้อน 6 บ่อแรกที่จะไปดูกัน นั่นคือหมายเลข 5 และ 41 นั่นเอง


หลังจากได้ข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ก็เดินกลับมารอที่ป้ายรถบัสตรงจุดนี้ จุดที่ยืนรอคือจุดหมายเลข 2 ด้านหน้านี้ครับ (อย่าจำสับสนระหว่างป้ายรอกับหมายเลขรถบัสนะครับ)


ดูข้อมูลที่ติดไว้ที่ป้ายรถบัสกันก่อน ตอนนี้เวลา 11.10 น. ดังนั้นรถบัสที่จะออกเร็วที่สุดก็คือรถบัสหมายเลข 5 เพราะจากข้อมูลจะออกเวลา 11.25 น. ส่วนหมายเลข 41 จะออกเวลา 11.50 น. ออกช้ากว่าและอ้อมกว่าด้วยครับ งั้นเรารอขึ้นรถหมายเลข 5 กัน


มาแล้วครับ รถบัสหมายเลข 5 วิธีขึ้นก็คือ ต้องรอให้รถเขาส่งผู้โดยสารลงจนหมดก่อน แล้วรถเขาจะถอยมารอรับเราที่ป้ายหมายเลข 2 แล้วขึ้นที่ประตูตรงกลางรถพร้อมรับกระดาษใบเล็กๆที่บอกว่าเราขึ้นตรงจุดไหนมาด้วยครับ


ส่วนตอนลงก็กดกริ่งก่อน รอให้รถจอดสนิทแล้วค่อยลุกขึ้นเดินไปลงประตูด้านหน้า ดูราคาค่าโดยสารตามป้าย(ตามป้ายไฟที่เป็นตัวเลขด้านหน้ารถ) แล้วหยอดเหรียญลงที่กล่องรับเงินข้างคนขับเลยครับ


ประมาณ 25 นาทีก็มาถึง โดยสังเกตป้ายสีฟ้า UMIJIKOKU ด้านขวามือดีๆ ครับ เห็นแล้วก็กดกริ่งได้เลย ค่าโดยสารคนละ 330 เยน


ซื้อตั๋วเข้าชมบ่อแรกกันก่อนครับ ราคาคนละ 400 เยน แบบกรุ๊ป 30 คนขึ้นไปคนละ 300 เยน ส่วนถ้าซื้อเหมาครบ 8 บ่อก็ราคา 2,100 เยน บ่อนี่มีชื่อ UMIJIKOKU หรือเรียกอีกอย่างว่า SEA HELL แล้วเรามาดูกันว่าทำไมถึงชื่อนี้


อันแรกที่เจอพอผ่านทางเข้าด้านซ้ายมือคือควันพวยพึ่งในศาลานี้


เข้าไปดูใกล้ๆ เหมือนกับไว้นึ่งอะไรสักอย่างเลย ไว้นึ่งซาลาเปาหรือเปล่านะ??


ถ่ายกับป้ายใกล้ๆสระข้างด้านก่อนค่ะ


เป็นสระบัวสะท้อนกับต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีอยู่ 3 ต้น


เดินไปอีกนิดก็เจอบ่อน้ำพุร้อนบ่แรกแล้วครับ เป็นการเฉลยว่าทำไมถึงเรียกว่า Sea Hell เพราะสีของน้ำในบ่อมีสีฟ้าเหมือนสีของน้ำทะเลนั่นเอง


ตามข้อมูลเขาว่าบ่อนี้เกิดจากการระเบิดของลาวาเมื่อ 1,200 กว่าปีที่ผ่านมา สีจะออก cobalt-blue


ใกล้ๆกันจะเป็นเสาโทริอิสีแดงแสบตา เป็นทางขึ้นไปยังศาลเจ้าที่อยู่ใกล้ๆ


ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีบริเวณนี้ก็รีบถ่ายกันใหญ่


บริเวณนี้ก็จะมีหินแกะสลักรูปพระพุทธเจ้า เข้าไปกราบไหว้กันครับ


อีกมุมหนึ่งกับทางเดินขึ้นไปยังศาลเจ้า


ซูมไปอีกใกล้ๆ


ขอถ่ายกับใบไม้เปลี่ยนสีหน่อยค่ะ นานๆจะเห็นสักที


ขอถ่ายเป็นคู่บ้างครับ


เราไม่มีเวลาที่จะเดินขึ้นไปศาลเจ้าด้านบน เลยหยุดแค่ตรงจุดนี้


แล้วก็กลับมาที่บ่อ Sea Hell อีกครั้ง รู้สึกจะมีต้มไข่ด้วยน้าาา


ได้เวลาเดินกลับกันแล้วครับ กลัวจะไปไม่ทันขึ้นรถไฟที่จองไว้


บ่อนี้เป็นบ่อเสริมอีกบ่อที่ยังไม่นับเป็นบ่อที่สอง อยู่ใกล้ๆกับบ่อ Sea Hell ลักษณะเป็นน้ำสีแดงๆจางๆ บอกไม่ถูกครับ


ใกล้ๆกันมีที่นั่งให้แช่น้ำพุร้อนเพื่อผ่อนคลายกันด้วย เสียดายเวลาไม่มีจริงๆ ช่วงนี้ชะโงกทัวร์ยังไงยังงั้นเลยแฮะ


เดินมารอที่ป้ายรถบัสฝั่งตรงข้ามกับขามา ไม่ถึงนาทีรถก็มาพอดี โชคดีจริงๆ ไม่งั้นคงรอโฮกเลย กลัวกลับไปขึ้นรถไฟไม่ทันซะด้วยสิ


นี่ครับ ใบที่ต้องรับมาตอนขึ้นรถ เขียนหมายเลข 6 แล้วก็ดูว่าราคาจะขึ้นเท่าไหร่ในแต่ละป้ายที่ไปถึง ก็จ่ายเงินตามนั้น เตรียมเงินกันให้พร้อมนะจ๊ะ จ่ายรวม 4 คนได้ครับไม่มีปัญหา ค่าโดยสารก็เท่ากับขามาคนละ 330 เยน ครับ


ชอบกริ่งที่นี่ครับ มีรูปวาดน่ารักๆด้วย คงจะเขียนในทำนองว่า กดกริ่งก่อนที่จะลงนะครับ ผมจะได้ทราบว่ามีคนลงจะได้จอดให้ อิอิ เดาเอาๆ น่าจะประมาณนี้


มาถึงยังป้ายสถานีรถไฟเบปปุแล้ว เรามีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถไฟที่จองไว้ไปยูฟูอินจะออก


ฉะนั้น เราเลยใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปกับการเดินช๊อปของตามร้านค้าภายในสถานีเบปปุนี้


มีให้เลือกซ์้อหลายต่อหลายร้านเลยหล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของฝาก หรือ...


ร้านอาหารแบบร้านนี้ ร้าน Italian Tomato Cafe ใครหิวก็ลองท้องเข้าไปนั่งกันก่อนได้ครับ


ส่วนเราแวะไปหาของฝากร้านนี้ให้เพื่อนเอ๋ ได้ตุ๊กตาคิตตี้ตัวนี้ เอาแบบราคา 1,944 เยน ใช้บัตรเครดิตรูดได้ครับ

แล้วเรามาตามกันต่อในตอนย่อยต่อไป โดยเราจะพานั่งรถไฟ Limited Express Yufu 4 จากสถานีเบปปุนี้ไปลงสถานียูฟูอินเมือง OTOP กันครับ อย่าลืมตามมานะ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น