วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 4.3 นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากไปเกาะมิยาจิม่า เกาะมรดกโลกของญี่ปุ่น


กลับมากันอีกครั้ง หลังจากหายไปสักพักจากตอนเดิมที่แล้ว ตอนย่อยนี้จะพาเดินต่อจากสถานีรถไฟท้องถิ่น JR เพื่อไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ของ JR และเราก็จะนั่งเรือข้ามฟากไปเที่ยวเกาะมิยาจิม่า เกาะที่ได้ชื่อว่าเป็นมรดกโลก และเป็นหนึ่งใน 3 สถานที่ของญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าสวยสุดครับ ไม่รอช้าตามกันมาเล้ยยย


หลังจากที่ลงรถไฟท้องถิ่นสาย Sanyo line จากฮิโรชิม่ามาแล้ว เราก็เดินออกจากสถานีมาเรื่อยๆ จะเจอกับทางลงอุโมงค์ลอดถนน โดยสามารถใช้ลิฟต์ลงมาชั้นอุโมงค์ได้ หรือไม่ก็เดินลงบันไดตามปกติครับ ทางเดินอุโมงค์ติดโคมไฟส่องทางสวยงาม ถ้าเป็นบ้านเราหรอกเหรอ ทั้งมืด, ไฟติดๆดับๆ และสกปรกด้วยมั้ง แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่อย่างนั้น สะอาดสะอ้านเชียวครับ


ขึ้นมาจากอุโมงค์ลอดถนนมาแล้วก็มายังอีกฝั่งหนึ่ง มีร้านขายของเยอะแยะเชียวครับ แต่เราต้องเดินผ่านไปข้างหน้าก่อน จุดหมายคือ...


ท่าเรือข้ามฟากไปเกาะมิยาจิม่า ซึ่งถ้ามี JR Pass แล้วก็มาที่ท่าตรงป้ายที่เขียนว่า JR เลยครับ ฟรีไม่เสียเงินอีกแล้ว ถือว่าเป็นบัตรผ่านที่คุ้มไม่รู้จะคุ้มยังไงแล้วสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวญี่ปุ่นเลยครับ ใครจะไปคิดว่า ไม่เฉพาะใช้แทนตั๋วรถไฟอย่างเดียว แต่กับเรือเฟอร์รี่ก็ใช้ได้ด้วย เหมือนกับสวิสพาสเช่นกันที่ใช้ได้กับการคมนาคมหลายๆแบบ


เข้ามาแล้วก็เดินต่อแถวกันเลยครับ ไม่เห็นจะต้องแสดงบัตรผ่าน JR Pass ด้วยซ้ำไป เร็วมากๆ


รอจนเรือลำที่ลอยอยู่กลางทะเลเข้ามาเทียบที่ท่าพอดี แล้วก็เปิดให้เดินเข้าไปที่เรือได้ขึ้นบันไดไปชั้นบนทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา เรือนี้รับรถยนต์เหมือนเรือข้ามฟากปกติ แต่เที่ยวนี้ยังไม่มีรถยนต์มาครับ


ญี่ปุ่นเขาใส่ใจกับรายละเอียด มีภาพวาดสัตว์ทะเล น่ารักๆ เอาใจคุณหนูๆครับ


เราเลือกขึ้นมาชั้น 3 เพราะจะได้ชมวิวแบบรับลมไปด้วยในตัว ส่วนชั้น 2 จะอยู่ในห้องปรับอากาศที่มีฮีตเตอร์


เรือเริ่มแล่นตอนประมาณ 12.30 น. ทางขวามือกลางทะเลคล้ายๆกับแพไม้ วางเรียงเป็นแถวโค้งๆเต็มไปหมด เดาว่าน่าจะเป็นที่เลี้ยงหอยนางรม เพราะที่เกาะขึ้นชื่อในเรื่องหอยนางรมย่างมากๆ และเราก็จะไปชิมกันด้วย อิอิ


ซูมเข้าไปที่เกาะมิยาจิม่า โทนแสงต้องกับแดดสวยงามมาก ต้นไม้ที่เห็นมีแซมสีแดง ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีกันบ้างแล้วครับ


เรือเฟอร์รี่แล่นมาได้ครึ่งทางแล้ว เขาถ่ายอะไรกันน้าาา


อ้อ....เสาโทริอิสีส้ม สัญลักษณ์ของเกาะมิยาจิม่านั่นเอง และเป็นเสากลางน้ำที่ผมเห็นหลายๆครั้งเมื่อดูเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น ใจนึงก็อยากมาเห็นกับตา บัดนี้ฝันก็เป็นจริงแล้วครับ :D


มองมาทางฝั่งซ้าย เห็นเจดีย์ 5 ชั้น หรือ 5 storied Pagoda เป็นการผสมผสานศิลปะแบบญี่ปุ่นและจีนเข้าด้วยกัน


ไม่นานเรือก็ลดความเร็วเข้าเทียบท่าแล้วครับ มีคนมายืนรอเพื่อขึ้นเรือกันเพียบเลย


เรือใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเองก็ถึงเกาะมิยาจิม่าแล้ว เดินไปตามทางเลยครับ เที่ยวนี้เด็กนักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษากับเยอะเลย กำลังขึ้นเรือกลับแผ่นดินใหญ่สวนกับเราครับ


หันกลับมาถ่ายเรือ JR ที่เราขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งครับ ลำใหม่มากๆ


เดินเข้ามาที่ส่วนตั๋วเรือฝั่งเกาะมิยาจิม่า ถ้าใครมีกระเป๋าไม่อยากถือไปด้วยก็มี coin locker รับฝากทางด้านขวามือครับ เราเองก็ใช้บริการนี้ก่อนไปเดินเที่ยวในเกาะเช่นกัน


ออกมาจากท่าเรือก็เจอกับเจ้ากวางที่อาศัยบนเกาะนี้มาเดินต้อนรับกันเลย เดินแบบมึนๆหาของกินไปเรื่อย


ริมฝั่งทะเลเราก็มาเจอกับรูปปั้นท่านนี้ ไม่ทราบว่าคือใคร น่าจะเป็นนักบวชครับ


ก่อนเดินต่อไปก็จะเจอกับป้ายที่กำชับว่ากวางที่อยู่ในเกานี้เป็นสัตว์ป่า แสดงออกด้วยความนุ่มนวลและด้วยความอดทน ห้ามเข้าไปใกล้เกิน และไม่ควรให้อาหารครับ (แต่ก็เห็นมันมาขออาหารก่อนทั้งนั้น)


ใครยังงงๆหลงๆ ก็มาอ่านแผนที่นี้ก่อนนะครับ ว่าจะเดินไปไหนบ้าง แต่ละสถานที่คืออะไรบ้าง ตอนนี้เรายืนอยู่ที่จุดสีแดง และจะเดินเลียบทะเลไปเรื่อยๆจนถึงเสาโทริอิสีส้มครับ
ปล.แผนที่แบบ pdf คลิกที่นี่ครับ


เจอหอยนางรมย่างร้านแรกแล้วครับ แต่เรายังไม่รีบซื้อ เพราะร้านนี้คนยังไม่มีมาต่อแถว อาจจะไม่อร่อยนัก รอเจอร้านที่คนยืนต่อแถวซื้อเยอะๆดีกว่า


เจ้ากวางน้อยคอยาวเชียว


มองไปยังฝั่งแผ่นดินใหญ่บ้าง เห็นตึกที่อยู่บนเนินเขาสีขาว ทรงประหลาดๆ โรงแรมหรือเปล่าน้า??


ไม่ทันไร เจ้ากวางน้อยตัวนี้ก็เดินเอาปากมาค้นของกินที่คิดว่าจะมีในกระเป๋าคุณแม่ซะแย้ววว ก้นรูปหัวใจ สวยไปอีกแบบเนอะ :P


สวัสดีคร้าบบบบ ผมหล่อมั้ยคร้าบบบ


เห็นวิวเจดีย์ 5 ชั้นมาแต่ไกลแล้วครับ


เดินก้าวสองก้าวก็จะเจอกับกวางเต็มไปหมด จนจะเริ่มชินแล้วแฮะ


โอ้ววว....ตัวนี้น่าสงสารจัง ตาบอดข้างหนึ่งครับ ไม่รู้ไปโดนอะไรมา


แดดกำลังมาทำให้มอสและสาหร่ายที่อยู่ตามพื้นทรายด้านล่างสีเขียวแจ่มไปหมด


แนวเสาตะเกียงหินเรียงรายไปตามทางเดินริมตลิ่ง ใครเมื่อยก็มีม้านั่งไม้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจกันตามเส้นทางไปเสาโทริอิ


ทางเดินเข้ามีสิงห์ 2 ตัวซ้ายขวาและเสาโทริอิปูนอยู่ด้านหลัง


เสาตะเกียงหินอีกฝั่งหนึ่ง แต่ฝั่งนี้ใหม่กว่าฝั่งขวามือเยอะ


แล้วก็ได้เห็นขบวนพิธีแต่งงานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โชคดีมากๆ แต่คนขวามือที่ถือร่มนั้นไม่รู้จะโกรธอะไรผมนักหนา มองจ้องมาแบบไม่ยิ้มเลยแฮะ 555


ใกล้กับเสาโทริอิเรื่อยๆแล้วครับ เห็นแล้วก็ยิ่งใหญ่จริงๆ เอ๊ะ..เรามาถึงจริงๆแล้วเหรอ


ณ ตอนนี้น้ำกำลังลดครับ เลยทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปดูตัวเสาโทริอิแบบใกล้ๆชิดได้


แล้วเราก็เดินลงไปด้วย ตรงกลางเสายังมีร่องน้ำอยู่ครับ ไม่ได้แห้งไปซะทีเดียว


เราต้องเดินมาข้ามอีกฝั่งตรงทางเดินไม้ที่ทำไว้ จะได้ไม่เปียก สาหร่ายสีเขียวเยอะมากเลยครับ


ได้เข้ามาดูใกล้ๆตัวเสาครับ ใหญ่โตจริงๆเลย ถ้าน้ำขึ้นเต็มที่ก็จะอยู่ในระดับเลยศีรษะ ตามรอยน้ำท่วมสีเทาๆหล่ะครับ

มาดูประวัติกันบ้าง
เสาโทริอิถูกสร้างขึ้นในบริเวณนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1711 แต่เสาที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2418 ตัวเสาทำจากไม้การบูร มีความสูงประมาณ 16 เมตร มีเสาเล็ก ๆ เป็นฐานรองอีก 4 เสา
Credit : Wikipedia


ซูมเข้าไปดูป้ายด้านบนใกล้ๆดีกว่า ไม่รู้เขียนว่าอะไรเหมือนกันนะครับ แต่เหมือนว่าจะใหม่มากๆ


ด้านหลังที่เห็นก็คือศาลเจ้าอิสึกุชิมะ(Itsukushima Shine) ยามนี้ไม่ได้ลอยน้ำเหมือนอย่างที่เคยๆเห็น เพราะน้ำลดไปแล้วครับ

ประวัติ
ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ (厳島神社 Itsukushima Jinja) เป็นศาลเจ้าลัทธิชินโตบนเกาะอิสึกุชิมะ เมืองฮะสึไกชิ จังหวัดฮิโระชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกฐานะอาคารต่าง ๆ ในศาลเจ้าให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น

ประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าย้อนหลังไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 การก่อสร้างสำเร็จจนมีลักษณะอย่างในปัจจุบันตั้งแต่ปี พ.ศ. 1711 โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากแม่ทัพคิโยโมริ ศาลเจ้าแห่งนี้เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของเกาะ ในอดีตชาวบ้านสามัญชนจะถูกห้ามไม่ให้ย่างเท้าขึ้นบนเกาะ และต้องเดินทางโดยเรือผ่านเสาประตูที่ลอยอยู่กลางทะเล
Credit : Wikipedia


เดินห่างจากเสาโทริอิไปเรื่อยๆเพื่อเดินอ้อมไปอีกทางครับ


แอบมองเจดีย์ 5 ชั้น


อีกมุมหนึ่งที่เห็นวิวทั้งศาลเจ้าอิสึกุชิมะ(Itsukushima Shine) และเจดีย์ 5 ชั้นอยู่ด้วยกัน


เดินอ้อมมาจะเจอกับทางออก ตอนแรกเราจะเข้าทางนี้แหล่ะ แต่พอเห็นป้ายก็เลยไม่ได้เข้าไปครับ เพราะจะเป็นการโกงไม่ยอมเสียเงินค่าเข้าซะเปล่าๆ แต่ก็ยังเห็นมีคนเดินเข้าไปนะครับ เป็นคนต่างชาติ


ตรงนี้เป็นวัดไดกันจิ (Daikanji Temple) จะสังเกตเห็นว่าวัดหลายวัดจะมีซุ้มประตูและมีรูปปั้นเทพอยู่ 2 ข้างซ้ายและขวาครับ เดินเข้าไปดูกันครับ


ต้นแปะก๊วยหรือเปล่าครับ กำลังใกล้เปลี่ยนสีเป้นสีเหลืองแล้ว เสียดายทำไมเรามาเร็วกว่าหล่ะเนี่ย


ด้านหน้าวัด


ไม้แกะสลักรูปนักบวชกำลังท่องคำสวดอยู่ครับ


เดินอ้อมศาลเจ้าอิสึกุชิมะ ตรงสะพานไม้นี้ไม่ได้เปิดให้ใช้งาน กำลังซ่อมอยู่ครับ


ว้าวว...เจอใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้แดงเข้มๆ รอบคูน้ำ


ใบเมเปิ้ลแดงแปร๊ด


แปะก๊วยต้นนี้เป็นสีเหลืองแล้ว


ขอพักยกกันก่อนครับ เดินมากเริ่มหิว


ได้มาคนละไม้ ปลาหมึกย่างและลูกชิ้นปลาหมึกย่าง (500+300 เยน) ก็อร่อยดีครับ หนึบๆดี แต่ๆ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ มีต่อ...


มาเจอกับร้านนี้เข้าให้ คนเข้าแถวรอคิวซื้อกันยาวเลย แน่นอนว่าต้องอร่อยทีเดียว ไม่รอช้า เข้าแถวด้วยคน อิอิ


ร้านหอยนางรมย่างนั่นเอง ราคามาตรฐาน 2 ตัว 400 เยน


หลังจากยืนรออยู่นานทีเดียว 10 นาทีขึ้น ก็ได้มาแล้วจ้าาาา....คนละ 2 ตัว เนื้อๆเน้นๆครับท่าน ปรุงเครื่องปรุงเองตามชอบเลยครับ พริกป่นนิด ซอสหน่อย


ซูมกันใกล้ๆ ให้เห็นจะจะ น่าทานมั้ยครับ?? รสชาติอร่อยดีครับ ถือว่าคุ้ม


วนมาถึงทางเดินขึ้นเจดีย์ 5 ชั้นจนได้ แต่ขอโทษ ไม่ขึ้นไปหรอกนะครับ ไม่ไหวจริงๆ ถ่ายแต่ด้านล่างละกัน


ใกล้ๆกับทางขึ้นไปเจดีย์ 5 ชั้น ก็จะมีมุมใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอีกแล้ว งั้นจัดไปครับ พร้อมๆกับป้ายกวางน่ารักๆ ทริปนี้เรามาตามหาใบไม้เปลี่ยนสีก็ต้องเก็บมุมกันหน่อย แม้จะน้อยนิดก็ตามทีเถอะ!


วนมา 1 รอบ เลยทางเข้าศาลเจ้าอิสึกุชิมะแล้ว เราเห็นว่าจะเสียเวลาเลยไม่ได้เข้าไปครับ อีกทั้งน้ำลดลง มันก็ไม่สวยงามเหมือนกับศาลเจ้าลอยน้ำได้ตามที่เคยหาข้อมูลมา งั้นชมรอบๆดีกว่า


แต่ ณ เวลานี้น้ำก็เริ่มขึ้นมาแล้วครับ จากที่เคยเดินลงไปชมเสาโทริอิใกล้ๆ ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว


อีกมุมที่ยังสามารถเก็บภาพสะท้อนบนผืนน้ำมาได้


ถ้าจะเดินหาของฝากก่อนออกจากเกาะก็เดินเข้าถนนนี้เลยครับ ร้านขายของเยอะมาก แต่เราไม่มีเวลาแล้ว เพราะต้องนั่งรถไฟกลับเมืองฮิโรชิม่าเพื่อไปชมอะตอมมิกบอมบ์โดม และสวนสันติภาพ เลยต้องทำเวลากันหน่อย


ทางเดินกลับริมทะเล เรือเฟอร์รี่ก็ยังแล่นไปมาตลอดครับ


ร้านนี้เหมือนจะขายหอยนางรมชุบแป้งแล้วย่าง แต่ก็ไม่ได้ลอง


อ้าวๆ เจ้ากวางตัวนี้คงนึกอยากเข้าไปทานอาหารในร้านนี้แบบคนธรรมดาทั่วไปแล้ว จะมีใครปล่อยให้มันเข้าไปบ้างมั้ยเนี่ย???


และแล้วก็มาถึงยังท่าเรือ JR Ferry รอบเรือต่อไปคือรอบ 15.25 น.ครับ อีก 5 นาทีเท่านั้น


ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลง เราเลยเข้ามานั่งในชั้น 2 ห้องปรับอากาศที่มีฮีตเตอร์ครับ ไม่งั้นไม่ไหว หนาวๆ


ใช้เวลา 15 นาทีก็มาถึงฝั่งแผ่นดินใหญ่แล้ว รีบเดินออกแล้วไปสถานีรถไฟท้องถิ่น Sanyo line ต่อไป


ถึงแล้วครับ สถานีรถไฟท้องถิ่น JR สาย Sanyo ช่วงที่ออกจากเรือถ้าไม่อยากรอรถไฟนานต้องเดินทำเวลาสักหน่อยครับ ไม่งั้นจะไม่ทันขบวนรถไฟ เพราะเหมือนจะมีเวลาแค่ 6 นาทีเท่านั้น!

แล้วมาติดตามกันต่อในตอนย่อยต่อไป โดยเราจะนั่งรถไฟเข้าเมืองฮิโรชิม่า แล้วเช็คอินที่โรงแรมก่อนลงมาเดินถ่ายรูปสถานที่สำคัญๆ เช่น Atomic bomb Dome, สวนสันติภาพฮิโรชิม่า, อนุสาวรีย์เด็กหญิงซาดาโกะ และปิดท้ายงานแสดงไฟตามถนนทางเดิน อดใจรอตอนต่อไปครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น