วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 2 นั่งรถไฟชินคันเซ็นครั้งแรก ไปเที่ยวภูเขาไฟอะโสะ Mt. Aso ที่กำลังคุกรุ่น จังหวัดคุมาโมโตะ


วันนี้เป็นวันที่ 2 ของทริปญี่ปุ่น เมื่อวานนอนหลับกันแบบสบายแต่หนาวเล็กน้อย เพราะปรับฮีตเตอร์ไม่เป็น 555 วันนี้นัดกันให้ลงมาที่ล๊อบบี้ตอน 7 โมงเช้า เพราะผมฝากให้พนักงานโรงแรมจองรถแท็กซี่มารับพวกเราตอนเวลา 7.15 น. ที่หน้าโรงแรม โดยไปที่สถานีรถไฟ JR Kurume ที่อยู่ห่างออกไป 2.9 กม.

วันนี้เราจะใช้ JR Pass ได้เป็นวันแรก โดยใช้ขึ้นรถไฟความเร็วสูงหัวจรวดชินคันเซ็น ที่ใครๆมาญี่ปุ่นก็ต้องมาลองขึ้นกันให้ได้ โดยต้องไปขึ้นที่สถานีรถไฟเจอาร์คุรูเมะ ที่อยู่อีกที่คนละสถานีกับที่เรามาลงเมื่อคืนครับ โดยวันนี้เรามีแพลนไปเที่ยวภูเขาไฟอะโสะ Mt. Aso จังหวัดคุมาโมโตะ หลังจากนั้นจะขึ้นรถไฟขบวนอะโสะบอย Aso Boy ขบวนน่ารักๆ กลับมายังตัวเมืองคุมาโมโตะ แล้วนั่งรถรางไปเที่ยวปราสาทคุมาโมโตะกัน ต่อจากนั้นตอนเย็นๆ จะนั่งรถรางไปหาอาหารมื้อเย็นทานที่ Shimotori shopping street ในอีกแค่ 1 สถานีเท่านั้น เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับที่พักที่เมืองคุรูเมะ โปรแกรมวันนี้ก็จะเป็นดังนี้

DAY2 (16 พฤศจิกายน 2557) : Hotel (Kurume) - Mt. Aso - Kumamoto Castle - Shimotori shopping street - Hotel (Kurume)


เช้าวันสดใสย่างกรายเข้ามาแล้ว แสงจากพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามา เสียดายโดนตึกที่อยู่ด้านหน้าบังเลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงเต็มๆจากหน้าต่างโรงแรมชั้น 10 ในเช้าวันใหม่นี้


ลงมายังล็อบบี้ชั้นล่าง ที่นี่จะมีอาหารเช้ารวมอยู่ด้วยครับ เปิดเวลา 7 โมงตรง คนญี่ปุ่นเข้าแถวยืนรอคิวกันอย่างปกติ ถ้าเป็นคนไทยคงแย่งกันน่าดู


อาหารเช้าง่ายๆครับ มีข้าวปั้นโรยงา สลัดผัก ไส้กรอก อร่อยดีครับ


เราทานเสร็จก็เกือบๆ 7.20 น. เดินออกไปหน้าประตูโรงแรม มีรถแท็กซี่มารอพวกเราแล้ว รถแท็กซี่ที่ญี่ปุ่นประตูหลังจะเปิด-ปิดอัตโนมัติ นะครับ ไม่ต้องไปปิดให้ ด้วยเหตุผลของความปลอดภัยครับ ส่วนประตูหน้าข้างคนขับก็เปิด-ปิดเองตามปกติครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ได้นั่งรถแทบจะทุกประเภทเลยแฮะ


หน้าจอคนขับจะติดตั้ง GPS ด้วย ผมว่ามีทุกคันนะครับเท่าที่ขึ้นมา บริเวณเมืองนี้ค่าแท็กซี่จะเริ่มต้นที่ราคา 640 เยน ซึ่งในแต่ละเมืองราคาเริ่มต้นจะไม่เท่ากันครับ แล้วมาตามดูกันว่าที่อื่นราคาเท่าไหร่บ้าง


รถแท็กซี่แล่นไม่นาน ประมาณ 10 นาทีก็ถึงสถานี JR Kurume แล้วครับ รวมค่าแท็กซี่ 1,064 เยนครับ ถ้าหารจำนวนคน คือ 4 คน ก็ตกคนละ 266 เยนเท่านั้นเองครับ


อากาศเช้านี้หนาวๆ ขึ้นบันไดเลื่อนมา แหงนมองด้านบนก็จะเจอกับกระจกสีเหมือนกับรูปกบ ไม่ทราบว่าเป็นสัตว์สัญลักษณ์ของเมืองนี้หรือไม่


ทางเข้าไปยังชานชลารถไฟชินคันเซ็นครับ ถ้ามีบัตร JR Pass แล้วก็เดินไปทางซ้ายมือเลย ชูบัตรให้เจ้าหน้าที่ก็ผ่านไปได้เลย เขาไม่ขอดูอะไรเลยครับ


เนื่องจากไม่เคยขึ้นชินคันเซ็นมาก่อนในชีวิต เลยงงเดินลงไปข้างล่าง แล้วไปถามเจ้าหน้าที่ว่าใช่ขบวนนี้มั้ย ดีที่เจ้าหน้าที่รถไฟเขาบอกกลับมาว่าด้านบนโน่น เลยเดินกลับขึ้นมาแบบงงๆ ไม่ได้สังเกตเล้ยยว่าลักษณะรถไฟความเร็วสูงมันขบวนแบบนี้เหรอ 555 ขำตัวเองครับ


อ่า....เดินขึ้นมาเจอจนได้นะเรา รถไฟที่เราจองที่นั่งมานั้น ออก Track 12 หรือชานชลา/Platform ที่ 12 เวลา 7.51 น. จะถึงสถานีปลายทางคือคุมาโมโตะ เวลา 8.21 น. ด้วยขบวนที่มีชื่อว่า TSUBAME 311 โบกี้ที่ 4 ซึ่งสามารถเช็คจากป้ายด้านบนก็ตรงกันครับ ไม่ผิดแน่



อันนี้คิวชู ชินคันเซ็น 800 ขบวนฝั่งตรงกันข้ามกับที่เราจะไป


นักท่องเที่ยวมือใหม่มาดูตรงนี้กันสักนิดครับ ในตั๋วจองที่นั่งรถไฟเราระบุว่า โบกี้ที่ 4 ซึ่งเราก็ต้องมาเดินหาทางขึ้นรถไฟที่จุดที่เขียนเลข 4 ดังเลขซ้ายมือของภาพนะครับ ซึ่งข้อความใต้ตัวเลขระบุว่า "reserved" ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว เพราะเราจองไว้


และลองมาสังเกตที่ป้ายตรงพื้นอีกครั้ง จะมีจุดที่แตกต่างกันอยู่คือ พื้นสีแดงกับพื้นสีขาว ที่ต่างกันคือตัวเลข 6 กับ 8 ด้านบนครับ ในพื้นสีแดงมีเลข 6 อยู่ด้านบน ส่วนพื้นสีขาวมีเลข 8 อยู่ด้านบน คืออะไรครับ?? เลข 6 กับ 8 ด้านบนคือตัวเลขที่บอกว่าขบวนรถไฟชินคันเซ็นขบวนนั้นมีกี่โบกี้ครับ เลข 6 คือ ขบวนที่เราจะขึ้นมี 6 โบกี้ และตรงจุดที่ยืนรอนี้คือโบกี้ที่ 4 แน่นอน ส่วนสีขาวก็บอกว่าตรงจุดนี้มีรถไฟขบวนที่มี 8 โบกี้จอดเช่นกัน และจุดนี้ก็เป็นจุดที่ขึ้นของโบกี้ 4 เช่นกันครับ ซึ่งถ้าเป็นจุดยืนรอที่จุดอื่น ตัวเลขโบกี้(เลข 4) อาจไม่ตรงกันก็ได้ครับ ควรสังเกตดีๆ


ในญี่ปุ่นเวลาฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นไปจะอากาศเย็น ตามสถานีเลยจะมี waiting room แบบที่เห็นซึ่งภายในจะมีฮีตเตอร์ทำความร้อนครับ เข้าไปก็อุ่นเลย ไม่หนาวแล้ว


มาสังเกตป้ายที่บอกข้อมูลขบวนรถไฟชินคันเซ็นกันอีกครั้งครับ ป้ายจะแสดง 2 ภาษาด้วยกัน คือ ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น สลับกันด้วยระยะห่างกัน 5 วินาทีมั้งครับ อันนี้ผมไม่แน่ใจเพราะไม่ได้จับเวลา

ในรูปนี้คือแสดงภาษาอังกฤษ บอก 2 ขบวนล่าสุดที่จะมา ณ เวลา ขณะนั้น ในที่นี่คือ ขบวนแรกอยู่ด้านบน บอกว่า ขบวน TSUBAME 311 จะมาขบวนแรกใน Track 12 โดยจะออกจากสถานีนี้เวลา 7.51 น. ปลายทางคือเมือง Kumamoto โดยมีโบกี้ที่ไม่ต้องจองที่โบกี้ 1-3 และมีโบกี้ทั้งหมด 6 โบกี้ด้วยกัน(ญี่ปุ่นใช้ภาษาอังกฤษว่า Cars)
ส่วนขบวนที่ 2 อยู่ด้านล่าง บอกว่า ขบวน SAKURA 405 จะมาขบวนต่อไปใน Track 12 โดยจะออกจากสถานีนี้เวลา 8.07 น. ปลายทางคือเมือง Kagoshima-Chuo โดยมีโบกี้ที่ไม่ต้องจองที่โบกี้ 1-3 และมีโบกี้ทั้งหมด 6 โบกี้ด้วยกัน


ส่วนป้ายแสดงภาษาญี่ปุ่นก็จะเป็นดังภาพนี้ครับ ซึ่งถ้าเราเจอป้ายแสดงแบบนี้บ่อยๆ เราจะจำข้อมูลสำคัญได้ครับโดยไม่จำเป็นต้องรอให้แสดงป้ายภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ ลองเปรียบเทียบดูสิครับ ถ้าเวลาตรงกัน จำนวน Cars ตรงกัน แค่นี้ก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งแล้วว่าขบวนรถไฟที่เราจะขึ้นมันถูกต้องครับ โดยจำไว้ว่า ณ สถานีใดสถานีหนึ่ง เวลารถไฟออกมีแค่ขบวนเดียวที่เวลาตรงกันเท่านั้น ไม่มีขบวนที่เวลาออกซ้ำกันเลยครับ!!


รอไม่นานรถไฟชินคันเซ็นขบวนที่เราจะขึ้นก็มาแล้วครับ ตื่นเต้นๆ อิอิ


พอรถไฟจอดสนิท ประตูชานชลาก็เปิดออก ตรงกับโบกี้ 4 ทางซ้ายมือ และโบกี้ 5 ทางขวามือเลย ขึ้นไปเลยครับ โบกี้ 4


พอเดินเข้าไปด้านใน โอ้โห...โอ่โถงสวยงามมากครับ ที่นั่งเป็นไม้คลาสสิคมากๆ


กลับมามองทิศตรงกันข้ามบ้าง จัดเรียงที่นั่งแบบสบายๆ 2-2 ครับ ถ้าโบกี้แบบไม่จอง สงสัย 3-2 หรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่ขบวนอื่นเป็นแบบนี้จริงๆ


ตอนเช้าๆแบบนี้ ที่นั่งว่างมากครับ เลือกที่นั่งเพื่อถ่ายรูปได้ตามสบายเลย


วิวระหว่างทางครับ ถ้ากล้องมีโหมดนี้ พยายามใช้โหมดแบบชัตเตอร์ต่อเนื่องนะครับ จะได้มาเลือกรูปทีหลังได้เพราะรถไฟแล่นเร็วมากจริงๆ


ไม่ทันไรก็จะถึงสถานีคุมาโมโตะแล้วครับ มีตัวอักษรเลื่อนแสดงอย่างชัดเจน


ตรงนี้คือโบกี้ 5 ก็มีคนจะลงเช่นกัน เอ๊ะ....มันสถานีปลายทางนี่ คนก็ต้องลงหมดนะ


ลงบันไดเลื่อนเพื่อไปต่อรถไฟสายท้องถิ่นกันต่อครับ


ลงมาก็ยังงงๆอยู่ เลยไปถามเจ้าหน้าที่ว่า ขบวน LTD. EXP KYUSHU ODAN TOKKYU 2 ขึ้นที่ชานชลาไหน ก็ได้รับคำตอบว่า 5 นั่นเลยครับ ขบวนสีแดงต้องขึ้นบันไดข้ามฝั่งไป


จริงๆ ขบวนนี้เราจองที่นั่งไม่ได้ แต่จริงๆก็ขึ้นได้ แต่ต้องไปโบกี้ที่เขียนว่า non-reserved ครับ


ลุ้นตลอด 68 นาที


ระหว่างทางมีกังหันลมให้ชมด้วยนะครับ แสดงว่าบริเวณนี้ลมแรงมากถึงจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ และต้องชมทางญี่ปุ่นเขาครับว่าเลือกพลังงานสะอาดให้กับประชาชน


มาถึงจุดนี้ รู้สึกว่ารถไฟจะหยุดสักพักแล้วถอยหลังครับ แล้วจากนั้นก็เดินหน้าต่อตามเส้นทางที่บอกในป้ายแต่อ่านไม่ออกครับ


มีสาวญี่ปุ่นนำตัวประทับมาให้ผู้โดยสารแต่ละท่านได้ประทับตรากันครับ


มาถึงตาเราแล้ว ไหนดูซิเป็นตราอะไร??


 แอ่นแอ๊น...ตัวหนังสือญี่ปุ่นครับ ไม่ทราบว่าอ่านว่าอะไร มีความหมายอย่างไร


บ้านเรือนก่อนถึง หญ้าเขียวขจีเลยครับ


ถึงแล้วครับ สถานีอะโสะ เวลา 9.32 น. ลงรถไฟกันเถอะ


เดินออกมา ข้างๆสถานีก็มีบ้านของเจ้าหมาคุโระ น่ารักๆเอาใจคุณหนูเด็กๆอย่างสุดๆ


ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวาเลยครับ จะเป็นที่ขายตั๋วรถบัสขึ้นไปภูเขาไฟอะโสะ Sanko Bus Station


มาถึงคิวเราแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ 1 คนคอยสอดธนบัตรให้เรา ทั้งหมด 4 คนจ้าา ราคาตั๋วคนละ 650 เยน


ซื้อตั๋วเสร็จก็มารอบัส ได้รอบเวลา 9.49 น. คนเยอะครับจนต้องมีรถมา 2 คันด้วยกัน


ตารางรถบัส Time table ระหว่างสถานีรถไฟอะโสะ(Asoeki) ไปสถานีพิพิธภัณฑ์อะโสะ(Kusasenri) และสุดทางที่สถานีภูเขาไฟอะโสะ(Mt. Aso) ทั้งไปและกลับ


ได้ขึ้นรถแล้ว


อันนี้เป็นตั๋วครับ(อันบน) ส่วนอันล่างเป็นใบที่ตอนขึ้นรถต้องหยิบมาคนละอัน แต่จริงๆถ้าลงสุดสถานีก็ไม่ต้องหยิบก็ได้ครับ


น้องวัวดำและน้ำตาลระหว่างทาง


มาดูน้องม้าหุ่นท้วมๆกันบ้าง แหม...หุ่นไม่ดีเอาซะเลยเรา


เริ่มเห็นควันออกจากภูเขาไปแล้วครับ


มาถึงตรงนี้เป็นจุดจอดรถเพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์อะโสะ กระจกเริ่มมีหมอกมาเคลือบซะแล้ว ทำให้มองไม่ใสมากนัก


ถึงสถานีปลายทางคือ Mt. Aso ตรงนี้เป็นสถานีกระเช้า(Aso Ropeway Station) ขึ้นไปปากปล่องด้วยครับ


เนื่องด้วย ณ ช่วงเวลาที่ไปนั้น มีควันจากภูเขาไฟอะโสะพ่นออกมามาก ทั้งซัลเฟอร์และก๊าซอื่นๆ เลยไม่เปิดให้ขึ้นกระเช้าไปชมวิวปากปล่องครับ ซึ่งเราก็รับทราบมาก่อนที่จะเดินทางมาแล้วเช่นกัน แต่แค่มาลุ้นอีกครั้ง บันไดนี้เป็นทางขึ้นไปซ์้อตั๋วนั่งกระเช้าครับ


กระเช้าขึ้นไม่ได้ แต่ Aso Super Ring ยังมีขายครับ เป็นคล้ายๆโรงหนังซึ่งจะมีกล้องวงจรปิดที่ปากปล่องภูเขาไฟอะโสะถ่ายแบบ real time มาให้ชมครับ แต่เราไม่สนใจเลยไม่ได้ซื้อเข้าไป


ถ้าขึ้นไปได้ก็จะได้ชมปากปล่องแบบนี้ครับ รูปนี้ถ่ายมาจากภาพที่นำมาแสดงอีกครั้ง น่าเสียดายที่ช่วงนี้พ่นควันที่มีพิษออกมาเยอะไป ไม่งั้นได้ชมแบบใกล้ๆ เหมือนกับที่เคยไปชมที่ภูเขาไฟโบรโม่ อินโดนีเซีย เมื่อปี 2008 แล้วครับ


มาทานไอศครีมชาเขียวแข่งกับอากาศหนาวๆกันดีกว่าครับ สนนราคา 350 เยน


เดินไปด้านนอกอาคารบ้าง เห็นเฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนอยู่ สงสัยกำลังสำรวจปริมาณก๊าซที่พ่นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟนะเนี่ย


มาชมวิวควันที่ออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟอะโสะกันครับ


พ่นออกมาตลอดเลย ปริมาณก็มากด้วย แต่ ณ ตรงนี้ที่ยืนอยู่ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดครับ ใครกังวลสบายใจได้ :)


วิวแอคชั่นเก๋ๆ โดยมีแบ็คกราวน์เป็นควันภูเขาไฟครับ


ที่เห็นคือสายสลิงและ support ของกระเช้าที่ไปปากปล่องภูเขาไฟอะโสะนั่นเอง เสียดายๆ ไม่ได้ไปดู


แอคท่านางเอกกันหน่อยนะคะ


รถเก๋งแต่งแบบเจ้าหมีคุมาม่อน ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทำงานที่นี่หรือเปล่าน้า เดาว่าน่าจะใช่


บนนี้ก็จะมีศาลเจ้าให้เข้าไปกราบไหว้ด้วยนะครับ


มีทางถนนขึ้นไปด้านบนด้วย แต่รถสงสัยต้องเป็นออฟโรดหน่อยละมั้ง


กลับมาที่อาคารขายของที่ระลึก มีของหลากหลายเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลายเจ้าหมีคุมาโมโตะหรือไม่ก็เจ้าหมาคุโระนะครับ


สักพักก็ต้องนั่งรถบัสกลับลงไปด้านล่างกันแล้ว ตั๋วต้องซื้ออีกครั้งครับ ราคา 650 เยนเท่าเดิม


ระหว่างทาง ใครจะลงก็ได้ครับ ตรงนี้เป็นสถานีพิพิธภัณฑ์ครับ


ส่วนใหญ่จะลงเพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์ หรือไม่ก็เดินเล่นถ่ายรูปหรือขี่ม้าครับ เห็นคนตัวเล็กนิดเดียวเอง


ภูเขาระหว่างทางลงลูกนี้แปลกดีครับ ด้านบนเหมือนจะเป็นหลุมด้วย


วิวแบบนี้เหมือนกับนิวซีแลนด์เลย อ๊ะ...ผมยังไม่เคยไปเลยครับ


ภูมิประเทศแบบนี้แปลกตามากๆ ไม่เคยเจอมาก่อน


เจอฝูงน้องวัวเล็มหญ้าอ่อนอีกแระ อิอิ


แล้วก็มาถึงยังพื้นล่างจนได้ มองย้อนไปด้านบนเห็นทั้งควันจากปล่องภูเขาไผและควันจากพื้นด้านล่าง


แวะถ่ายรูปกับตู้ไปรษณีย์ญี่ปุ่นหน่อยค้าาา ทริปนี้ไม่ได้ส่งโปสการ์ดเลยแฮะ


ตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบแนวๆครับที่สถานีอะโสะ

หลังจากนั้นเราก็มารอรถไฟที่สถานีอะโสะนี้ ขบวนรถไฟที่เราจะขึ้นคืออะโสะบอย Aso Boy ขบวน limited น่ารักๆเอาใจคุณหนูๆครับ 

มีคำเตือนนิดนึงครับ ถ้าต้องการขึ้นรถไฟขบวนอะโสะบอย Aso Boy รอบเวลา 12.27 น. ต้องขึ้นรถบัสจากสถานีภูเขาไฟอะโสะรอบเวลา 11.30 น. รอบนี้รอบสุดท้ายเท่านั้น!!! เพราะรถบัสใช้เวลามาถึงสถานีรถไฟอะโสะ 30 นาที ถึงเวลา 12.00 น. ไม่เช่นนั้น ถ้าตกรอบดังกล่าวจะมาขึ้นรถไฟขบวนนี้ไม่ทันครับ

แล้วมาพบกับขบวนอะโสะบอยในตอนหน้าแบบเต็มๆครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น