วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Incredible Sikkim (สิกขิม) ตอน 1.5 ชมวิวสะพานฮาว์ราห์(Howrah Bridge) ก่อนกลับสนามบินกัลกัตต้านั่งเครื่องต่อไปยังบักโดกรา เดินทางด้วยรถเช่าถึงเมืองกังต๊อก เมืองหลวงของรัฐสิกขิม


มาต่อกันในตอนย่อยนี้ครับ หลังจากได้ไปเที่ยวชมวิวสถาปัตยกรรมอาคารหินอ่อนวิคทอเรียเมมโมเรียล ที่สร้างเป็นอนุสรณ์สถานให้พระราชินีนาถวิคทอเรียแห่งอังกฤษเสร็จแล้ว เราก็ต้องเรียกแท็กซี่เพื่อไปชมสถานที่ที่ 2 เมื่อมาที่กัลกัตต้าตามที่แพลนไว้คือ สะพาน Howrah อยู่ไม่ไกลจากวิคทอเรียเมมโมเรียลหรอกครับ หลังจากนั้นก็คงต้องกลับสนามบินกัลกัตต้า โดยต้องไม่ช้ากว่า 11.05 น.เพื่อให้มีเวลาเช็คอินภายในประเทศก่อนบินไปสนามบินบักโดกรา และนั่งรถที่เช่าไปกังต๊อกต่อไป


เสร็จจากชมวิคทอเรียเมมโมเรียลก็เดินออกมาเรียกแท็กซี่ด้านหน้าทางเข้าจุดที่แท็กซี่คันก่อนมาส่งเรา แท็กซี่ว่างจอดรอพอดี เราแจ้งไปว่าจะไปสะพานฮาว์ราห์ พร้อมกับชี้จุดบนแผนที่กลัวจะพลาดเรื่องข้อมูลสื่อสารจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ คนขับก็เข้าใจนะครับ บอกให้เราขึ้นรถ ถามว่าเท่าไหร่ เขาบอกใช้มิเตอร์และชี้ไปที่มิเตอร์ โอเคตามนั้นแต่ในใจก็กลัวๆว่ามิเตอร์จะขึ้นเร็วหรือเปล่า อันนี้เป็นเส้นทางระหว่างเดินทางไป อินเดียก็มีจิตรกรรมฝาผนังด้วย


โชคดีที่ได้คนขับคนนี้ รถผ่านอาคารทางราชการของเมืองกัลกัตต้าสำคัญๆแกก็อธิบายตลอด ภาษาอังกฤษดีครับ ได้ความรู้ดี พอใกล้ๆจะถึงสะพานฮาว์ราห์แกก็บอกเราว่าห้ามถ่ายรูปนะ เราก็เออๆ แบบงงๆ แล้วขอลงเดินดูคนที่สัญจรไปมา แกบอกจะขับช้าๆไปรอ ก็จ่ายเงินก่อน แค่ 60 รูปีเอง ไม่แพงเลย กระเป๋ายังอยู่ที่ท้ายรถแกนะ 555 แต่ไม่กลัว ไอ้เราสงสัยว่าทำไมถ่ายรูปไม่ได้ก็ในเมื่อเห็นคนเอารูปมาโพสต์อยู่ เลยไปถามตำรวจในป้อม แกชี้มาที่ป้าย เออจริงแฮะ "Photography is prohibited" โอเค เราเคารพกฎ แต่สักพักเดินไปก็อยากขึ้นรถแล้วครับ แท็กซี่นี่ก็ขับประกบเราไม่ห่าง สุดท้ายได้ขึ้นรถและคุยกันว่า สัมภาระเยอะแยะ งั้นจ้างแกต่อให้ขับไปสะพานฮาว์ราห์แห่งใหม่พาเที่ยวและขับกลับไปส่งที่สนามบินเลยดีกว่า จะได้ไม่ลำบาก งั้นตามนั้น เลยนั่งต่อ และถามแกว่า จะถ่ายรูปในนี้ได้มั้ย แกบอกก็พอได้ แกขับชะลอช้าๆให้ผมถ่ายครับ ก็ได้มาตามนี้ ก็ถือโอเคแระ บ้านเขากฎเยอะเกิน

Howrah bridge เป็นสะพานแบบ Cantilever หรือคานยื่นจากจุดยึดนั่นเอง ใครเรียนฟิสิกส์มาจะทราบดี แล้วใช้โครงสร้างแบบทรัส(Truss) หรือโครงถักแข็งเพิ่มความแข็งแขงทำตัวสะพาน โดยทอดยาวข้ามฝั่งจากเมืองกัลกัตต้าไปยังเมืองฮาว์ราห์ เชื่อมทั้งสองเมืองด้วยกันผ่านแม่น้ำฮุกลี่(Hooghly river) สร้างในปี 1936 เสร็จปี 1942 เปิดใช้ กพ. 1943 มีระยะสแปนมากสุดที่ระยะ 457.2 เมตร มีรถผ่านต่อวันประมาณ 100,000 คัน, คนเดินเท้า 150,000 คน ทำให้เป็นสะพานแบบคานยื่นที่แออัดที่สุงของโลกเลย เป็นสะพานที่ยาวที่สุดอันดับ 3 ในขณะสร้างและ ณ ปัจจุบันเป็นอันดับ 6 ของโลกในแบบคานยื่น


แท็กซี่พาเราข้ามสะพาน Howrah ไปอย่างช้าๆแล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังสะพานฮาว์ราห์แห่งใหม่ เขาเรียก New Howrah สะพานเดิมเรียก Old Howrah แต่ต้องผ่านสถานีรถไฟฮาว์ราห์ก่อน เป็นสถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดียและมีชานชาลาที่เยอะที่สุดในอินเดียถึง 23 ชานชาลา! ถือเป็นชุมทางรถไฟที่ใครจะไปพุทธคยาแสวงบุญก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่ครับ ถ้ามีโอกาสคงได้มาที่นี่อีกครั้ง อ้อ...ถ้าใครจะไปสิกขิมแล้วไม่ได้ขึ้นเครื่องบินก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่สถานีนี้ครับ


แท็กซี่จอดให้เราชมวิวพร้อมกับถ่ายรูป แหม...รู้ใจจริงๆครับ แต่อย่างที่บอก หมอกลงหนามาก มองไม่ค่อยเห็นฝั่งกัลกัตต้าเลยฝั่งโน้นเลย อ้อ...ฝั่งนี้คือฝั่งเมืองฮาว์ราห์ เมืองอุตสาหกรรม


เห็นเรืองวิ่งข้ามฟากแบบจางๆ โชคไม่ดีที่เรามาช่วงหมอกหนามากๆ


แล้วก็มาถึงสะพาน Vidyasagar Setu ที่เรียกว่า New Howrah bridge เป็นสะพานแห่งที่ 2 ที่สร้างข้ามแม่น้ำฮุกลี่ เป็นสะพานขึง(ไม่ใช่แขวนนะ)ที่ใช้สลิงนะครับ แบบเดียวกับสะพานพระรามวงแหวนอุตสาหกรรมบ้านเรา สะพานนี้เสียค่าผ่านทางคันละ 10 รูปีครับ เหมือนเดิม คนขับแกจอดรถแบบเร่งด่วนให้เราชักภาพอีกแล้ว ผมว่าแกไปเป็นไกด์ทัวร์ได้เลยนะ เสียดายที่หมอกลงจัด เลยถ่ายสะพานฮาว์ราห์แห่งแรกจากสะพานนี้ไม่เห็น เสียดายๆ


ผ่านสะพานแล้วก็เดินทางกลับสนามบินเลย ใจจริงอยากกลับไปถ่ายสะพานฮาว์ราห์ใกล้ๆอีก แต่คนขับบอกถ่ายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ตรงนี้เป็นโครงสร้างที่รัฐบาลกำลังสร้างรถไฟลอยฟ้าครับ จากสนามบินกัลกัตต้ามาตัวเมืองกัลกัตต้าเลย สะดวกมากๆ อีก 2-3 ปีคงได้ใช้นะครับ


ผ่านสวนสนุกอะไรสักอย่างครับ มีรูปปั้นหัวผู้หญิงโผล่มาแบบหลอนๆ


แล้วก็มาถึงสนามบินกัลกัตต้าแล้ว คราวนี้จากสะพานฮาว์ราห์มาถึงสนามบินกัลกัตต้ามิเตอร์ขึ้น 440 รูปี ไกลพอควร Prepaid Taxi หน่ะถูกแล้ว เราให้ทิปคนขับไปอีก 100 รูปีครับ ชอบมากๆบริการประทับใจ เรียก Sir ตลอดเลยเวลาพูดกับเรา


แล้วก็ต้องเอาใบที่พิมพ์การจองตั๋วเครื่องบินมาโชว์ให้ทหารก่อนเข้าอาคารภายใน ผมพิมพ์ในกระดาษมา เลยผ่านไม่มีปัญหา ส่วนเพื่อนผมดันไม่ได้พิมพ์มา เลยต้องเสียเวลาเปิดเน็ตดูจากมือถือ มือถือผมดันแบ็ตหมดจากการใช้แอ๊พ Google Map ซะอีก เลยต้องใช้เวลาสักพักกว่าเน็ตจะเสถียร เกือบซวยไปเลย 
**ฉะนั้น ใบการจองตั๋วเครื่องบินต้องพิมพ์ลงกระดาษมาแล้วเท่านั้น กันเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวง  

ในรูปเป็นการแสดงโชว์นิทรรศการหน้ากากแห่งเบงกอลครับ  มีอยู่ 3 หน้าให้ชมด้วยกัน ก่อนไปเช็คอินที่เคานเตอร์ที่อยู่ด้านหลัง


เช็คอินเสร็จก็มาเก็บภาพวิวสถาปัตยกรรมเพดานที่เขียนภาษาฮินดีครับ แปลกตาดี


ได้เวลาเข้า security อีกแล้ว เบื่อจริงๆให้ตายเถอะ เรื่องมากสุดๆในอินเดียเนี่ย ขนาดมา 2 ครั้งแล้วผมก็ยังไม่ชินนะครับ ครั้งนี้ผมทำเปิ่น ดันเอาพาสปอร์ตกับบอร์ดดิ้งพาสใส่ไปในกระเป๋าที่สแกน เลยไม่มีเวลาเดินเข้าไปให้จนท.สแตมป์ 555 แกถามผมว่าพาสปอร์ตกับบอร์ดดิ้งพาสอยู่ไหน ผมบอกว่าออกไปอยู่หลังเครื่องสแกนแล้ว มันให้ผมถอยหลังกลับเลยนะ (Back) แต่ไม่ได้บอกจนท.ที่อยู่ที่เครื่องสแกนส่งมาให้ผม ตลอกมาก น้ำใจไม่มี พอดีเพื่อนผมผ่านไปได้แล้ว เลยเรียกเพื่อนให้เอาพาสปอร์ตกับบอร์ดดิ้งพาสคืนมาด้วย ก็ทุลักทุเลจริงๆ ครั้งนี้เลยจำขึ้นใจไม่ลืมวางพาสปอร์ตกับบอร์ดดิ้งพาสไปกับของที่สแกนด้วย ถ้ามาคนเดียว ตาย จนท.มันไม่เก็บให้เราด้วย แค้นมันจริงๆ แขกเถียงมันมากก็ไม่ได้อีก


เอ้า....หิวข้าว เที่ยงแล้ว หาอะไรกินหน่อย มาเลยร้านนี้ อันนี้ของเพื่อนผม Chicken Biryani ไม่อร่อยอ่ะ 280 รูปีเชียว


ส่วนผมอันนี้ Chicken Roll อร่อยดี 180 รูปีเอง แต่ก็ยังแพงอยู่นะ อ้อ...ทานเสร็จก็ไปรอที่เกทครับ เผลอจะถ่ายรูปเครื่องบินที่จะบินซะหน่อย ยกกล้องขึ้น กำลังเล็ง ได้ยินเสียงแขกพูดว่า Excuse me.... แต่ยังไม่สนใจคิดว่าพูดกับคนอื่น พอได้ยินเป็นครั้งที่ 2 หันไปมอง ทหารพูดกับผมนี่หว่า เลยเก็บกล้องไม่ได้ถ่าย เฮ้อ...เสียอารมณ์จริงๆ อะไรจะขนาดนี้วะ ตูไม่ได้มาวินาศกรรมหรอกโว้ยยยย


นั่งเครื่องบินภายในประเทศไปสนามบินบักโดกรา ทางเหนือของกัลกัตต้าไป คือเมืองสิริกูริ ทางผ่านที่ใครๆจะมาสิกขิมต้องมาผ่านที่นี่ก่อน สนามบินเล็กตามแบบต่างจังหวัดของอินเดีย แต่เข้มด้วยความปลอดภัยเช่นกัน รับกระเป๋าเสร็จก็เดินออกมา เห็นคนชูป้ายชื่อผมเป็นภาษาอังกฤษก็ใช่แน่เลย ณ เวลานี้ 14.37 น. เดินตามชายคนนี้ไปมีเด็กมาช่วยยกสัมภาระเข็นต่อไปให้อีก 1 คน ก็ยังงงๆอยู่ว่ามา 2 คนเชียวหรือ สุดท้ายมาส่งเสร็จก็ขอเงิน อ๋อ เด็กช่วยขนกระเป๋าในสนามบินนั่นเอง ให้ไป 50 รูปี 
*ภาพนี้ช็อตแรกที่ถ่ายได้เมื่อออกมาจากสนามบินบักโดกรา



คันนี้แหล่ะครับ ซูซูกิซะด้วยแฮะ ที่อินเดียใช้ยี่ห้อนี้เยอะครับ รถสะอาด นั่งสบาย แต่ไม่มีแอร์เด้อ เพราะอากาศเย็นอยู่แล้ว


คนขับชื่อ Binnay เขาให้เรียกว่า วินัย 555 พูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆ เป็นคนเชื้อสายเนปาล พักอยู่กังต๊อก เส้นทางก็ชนบทแบบนี้แหล่ะครับ


ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำที่แทบจะไม่มีน้ำแล้ว ขอบอกว่ามีทำถนน รถติดมากๆ กว่าจะหลุดจากที่รถติดก็เป็นชั่วโมง หลับไปหลายตื่นเลย


16.47 น.รถก็พาเรามาถึงจุดที่เป็นจุดสุดท้ายของทางในแนวระดับ หลังจากนี้ไปจะเป็นทางขึ้นเขาแล้ว เลยแวะจอดรถ พักรถพักคน เข้าห้องน้ำ ที่ร้านนี้ New Gouttam Hotel & Restaurant


ตรงไปตามทางที่รถวิ่งก็จะขึ้นเขาอย่างเดียวแล้ว แสงกำลังจะหมดไป


โอ้ว....โชคดีได้เห็นดาวตกครับ ว้าวๆๆๆ


ข้ามฝั่งถนนมาหาอะไรทานเล่นกันก่อน หอมทอดครับ


ส่วนอันนี้ โมโม่แบบทอด อร่อยดี


แล้วก็ขึ้นรถวิ่งต่อไป สักพักแสงเริ่มหมด ความมืดเข้าครอบงำ ผมเห็นว่าจะไปถึงกังต๊อกไม่ทัน เลยถามวินัยไปว่า ผมทราบมาว่า ด่านรังโปเขาปิด 6 โมง หรือ 6 โมงครึ่งไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปถึงทันมั้ย? เพราะตอนนี้ก็เวลา 17.10 น. แล้ว ไม่ทันหล่ะซวยจริงๆเลย เพราะต้องทำ permit เข้าสิกขิมด้วย พอพูดจบ ตาวินัยแกเล่นขับรถแบบแทบจะบินเลยครับ เสียวมากๆ แซงในแบบที่ในไทยเราไม่แซงกันอ่ะ หัวใจจะวาย ลุ้นไปตลอดทั้ง 2 คน กลัวตายแล้วทีนี้ ครั้นจะบอกให้ช้าๆหน่อยก็ไม่ทันแล้ว แกกลัวจะพาเราไปด่านรังโปไม่ทัน คราวนี้หล่ะทั้งลุ้นเรื่องความปลอดภัยกับลุ้นเรื่องไปให้ทัน เอาอันไหนดี ? ผมเลือกความปลิดภัยแล้ว งงๆอยู่ว่า ถ้าผมไม่ถามแกจะไม่ขับเร็วเหรอ ซึ่งแกเองก็น่าจะรู้ข้อนี้ดีนะครับ เพราะเคยอ่านมาว่า มีคนไปถึงด่านรังโปไม่ทัน ปิดซะก่อนต้องหาเกสเฮ้าส์นอนแถมนั้น 1 คืนหล่ะซวยเลย เสียที่พักในกังต๊อกไป 1 คืนเห็นๆ


เอาหล่ะ...สุดท้ายลุ้นกับการขับรถของแกแทบหัวใจวาย ก็มาถึงด่านรังโป เวลา 18.40 น. ซึ่งยังมีคนติดค้างอยู่เยอะเลย เพราะรถติดที่ทางผ่านมาเป็นชั่วโมงนั่นเอง สุดท้ายแกเองกระตือรือร้นรีบพาเราไปทำ permit เข้าสักขิม พาไปถ่ายเอกสารตราประทับในพาสปอร์ต ทำโน่นนี่ ก็เป็นอันว่าได้ permit เข้าสิกขิมแบบใจหายใจคว่ำแล้วครับ สุดยอด.... เสียดายที่ถ่ายรูปมาไม่ได้จริงๆ เข้มมากๆ แล้วหลังจากนั้นก็ต้องขับมาแบบไม่เร็วนักอีก 1 ชม.เต็มๆครับ กว่าจะมาหยุดที่จุดชมวิวเมืองกังต๊อก ณ จุดนี้ ไกลมากจริงๆ


รถไปส่งเราที่โรงแรม Pomra ซึ่งอยู่บนเนินเขา(ผมเอารูปของวันรุ่งขึ้นมาแสดงเนื่องจากวันมาถึงมืดมาก)


ห้องที่ได้อยู่ชั้นล่างไปอีก 1 ชั้น เดินลงบันได้แล้วก็มาเจอห้องทางด้านซ้ายครับ ห้อง 202


ภายในห้องพักครับ เป็นเตียงเดี่ยวเอามาติดกัน


มี LCD TV ตู้เก็บเสื้อผ้า และที่ชาร์จไฟครับ ทีวีไม่ได้ดูหรอก เพราะเอาปลั๊กมาชาร์จแบ็ตนั่นเอง


ภายในห้องน้ำ ก็สะอาดดี มีถังเล็กๆด้านล่างซ้ายให้รองน้ำตักอาบด้วย สำคัญนะครับ ส่วนวิธีใช้น้ำอุ่นคือ เปิดสวิตทช์ไฟข้างๆก่อน แล้รอ 20-30 นาที น้ำถึงจะอุ่น แต่พอใช้งานไปแล้วเกิน 10 นาทีน้ำมันจะกลับมาเย็นต่อ เป็นแบบนี้ทุกโรงแรมเลยนะครับ ฉะนั้นที่บอกว่าถังเล็กรองน้ำช่วยมากๆครับ เพราะใช้รองน้ำอุ่นไว้ก่อน แล้วค่อยตักอาบได้


หลังจากเก็บข้าวของเสร็จก็นั่งรถคันเดิมมาจอดบริเวณ M.G. Marg Market ถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของกังต๊อก เย้ๆๆๆ....เรามาถึงแล้ว


เหลือบไปดูร้าน Taste of Tibet ขึ้นไปได้ 1 ชั้น เขาก็บอกมาว่าปิดแล้ว โห...เซ็งเลย เอ้า...หาร้านใหม่กินดีกว่า ตอนนี้คนขับเดินมาด้วยนะครับ เราชวนมาทานอาหารด้วย เพราะใช้เวลานานกว่าจะมาถึง


อีกมุมหนึ่งของถนน MG Marg Market คนเริ่มน้อยเพราะเกือบๆ 3 ทุ่มแล้ว คนทะยอยกลับที่พักกัน


วินัยคนขับรถเราแนะนำร้านนี้ครับ Yummy Tummy งั้นตามไปครับ ขึ้นไปตามทางด้านข้างขวามือที่เป็นซอกเล็กๆอ่ะครับ


ขึ้นไปก็รอสักพักเพราะโต๊ะเต็ม แต่สุดท้ายก็ได้มา ชมวิวข้างนอกไปพลางๆก่อน เพราะสั่งอาหารไปแล้ว วินัยบอกกับเราว่า เจ้านายเรา Dorjee ที่ผมติดต่อทาง email จะมาคุยด้วย


เราสั่งอาหารตามนี้ครับ ข้าวผัด, แกงไข่อะไรสักอย่าง แป้งผสมชีสทอด ไก่ชิลลี่ และเบียร์ ขอบอกว่าอร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆ เบียร์ยี่ห้อ Hit และ Dansberg มึนไปเลย แต่สุดท้าย ที่เราจะเลี้ยงคนขับมื้อนี้ กลายเป็นว่า เจ้าของทัวร์เป็นคนจ่ายซะงั้น งงเลย เลี้ยงลูกค้าซะงั้น ใจดีสุดๆ ดอจีเป็นคนลาชุงครับ หน้าเป็นแบบจีนๆทิเบต ใจดี

ทานเสร็จเดินไปขึ้นรถกลับโรงแรมแบบมึนๆ เข้าห้องอาบน้ำเสร็จ หนาวมากๆ ต้องตื่นมาใส่กางเกงอีกตัวพร้อมถุงเท้าอีกคู่ ถึงจะนอนหลับ แล้วเจอกันใหม่ในเช้าวันที่ 2 ในกังต๊อก สิกขิมตอนหน้าครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น