วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

ญี่ปุ่น เมื่อยามซากุระผลิบาน ตอน 4.2 เริ่มต้นกับ"นิกโกะมรดกโลก"ที่สะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) ต่อด้วยวัดนิกโกะซังรินโนจิ(Nikkozan Rinnoji Temple) และครึ่งแรกของศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ(Nikkō Tōshogū Shrine)


หลังจากทานฟองเต้าหู้ทอดไส้ถั่วแดงโรยเกลือแล้วก็พออิ่มท้องอยู่ พร้อมสำหรับเดินทางต่อไปโซนมรดกโลกของนิกโกะแล้ว เนื่องจากรูปเยอะจริงๆครับ และหลายรูปไม่สามารถตัดออกไปได้เนื่องเพราะเป็นศิลปะที่งดงาม รายละเอียดเยอะแยะมาก สมกับเป็นมรดกของโลก ฉะนั้นจึงจัดเต็มให้ชมกัน 2 ตอนต่อเนื่องไปเลยในโซนมรดกโลกนี้ งั้นเรามาเริ่มกันกับตอนย่อยตอนแรกของนิกโกะ มรดกโลก กันครับ


ทานฟองเต้าหู้ทอดไส้ถั่วแดงโรยเกลือเสร็จก็กลับมายืนต่อแถวที่ป้ายรถบัส 2A แถวไม่ยาวเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะขึ้นรถบัส World Heritage กันซะส่วนใหญ่ ตอนแรกก็งงว่าเราเองขึ้นผิดสายเปล่าน้า โอเคสุดท้ายรถก็มาจอดตามเวลา ผมขึ้นลำดับ 3 หรือไงนี่แหล่ะ แต่คนขับเขาพูดอะไรผมฟังไม่รู้เรื่องเพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมยื่นพาสไปให้ก็ยังพูดไม่หยุด ชักเริ่มใจเสียแล้วว่าคืออะไรเนี่ย จะให้ขึ้นรถมั้ย? หรือเราขึ้นผิดคันวะ?? พอดีมีคุณยายญี่ปุ่นที่ขึ้นไปแล้วช่วยพูดให้ แต่ก็ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นกับคนขับอยู่นะ ผมเลยบอกไปว่าไป Shinkyo Bridge นั่นแหล่ะ คนขับแกได้ยินชินเคียวมั้ง เลยโอเค ให้เดินเข้าไปนั่งได้ เฮ้อ....ทั้งเสียเวลาตัวเองและทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาด้วย มาคิดอีกที เหมือนคนขับเขาต้องการแน่ใจว่าเราขึ้นรถไม่ผิดคันหล่ะมั้ง เออ แต่สื่อสารภาษาอังกฤษภาษาสากลบ้างก็ดีนะครับคุณลุง! มีปัญหากับรถบัสญ๊่ปุ่นมาหลายครั้งแล้วนะเนี่ย ฮึ่มมมม...

เนื่องจากกลัวว่าจะมีปัญหาเวลาจะลงรถอีก เลยนั่งมันติดประตูเลยครับ แล้วก็ดู Google Map ไปด้วยแบบ Real Time คราวนี้ไม่พลาดแน่ๆแต่ก็ยังเสียวๆแฮะ สุดท้ายใช้เวลา 5 นาทีเองนะครับ ก็มาถึงป้ายหมายเลข 7 มีคนลง 2 คนรวมผมด้วย(ผู้หญิงที่ใส่แมสค์หันหน้ามาฟน่ะครับ)


เริ่มจุดแรกที่สะพานชิวเคียวแล้วก็เดินเท้าไปตามเส้นทางบน Google Map ดังที่แสดงไว้ในตอนนี้ครับ


เดินมาไม่ไกลก็ถึงจุดชมสะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) แล้วครับ เก็บภาพมา 1 ช็อตก่อน พอดีช่วงที่ไปสะพานอยู่ในร่มเงาแดดพอดี เลยออกมืดๆนะครับ และถ้าใครอยากสัมผัสสะพานแบบใกล้ชิดสามารถเดินข้ามสะพานชินเคียวได้ แต่เสียเงินค่าข้าม 300 เยนครับ

สะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) เป็นสะพานที่ข้ามลำธารแคบๆ ฐานรองรับด้วยหินทั้ง 2 ข้าง(คิดว่าตอม่อปูนซะอีก) ว่ากันว่าเป็นสะพาน 1 ใน 3 สะพานที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย เท่าที่รู้อีก 1 สะพานคือสะพานไม้คินไต(Kintai Bridge) ก่อนถึงฮิโรชิม่า ซึ่งผมเองเคยแพลนจะไปชมด้วยนะครับตอนไปทริปญี่ปุ่น เมื่อยามทริปใบไม้เปลี่ยนสี ครั้งแรกโน้น ตอนจะเข้าฮิโรชิม่า แต่ยกเลิกไปเพราะเวลาไม่มีจริงๆ และสะพานชินเคียว(Shinkyo Bridge) นี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศาลเจ้านิกโก้ฟุตะระซัง


อีกช็อตแบบไกลๆ ถ้ามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ที่เราเห็นไกลๆมีแต่ก้านนั้น มันจะสีแดง สีส้ม สีเหลืองสวยกันเลยทีเดียว มาช่วงใบไม้ผลิก็จะไม่เห็นต้นไม้ที่แดงๆเหลืองในช่วงใบไม้ร่วง เป็นแบบนี้สลับกันครับ ไม่เป็นไร อ้อ...วันนี้ตั้งแต่มาจนถึงตอนนี้ยังไม่เจอซากุระเลยนะครับ ไม่นับที่แล่นผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสุมิดะเด้อ...


แล้วก็รอข้ามทางม้าลายที่จุดนี้ครับ ฝั่งตรงข้ามก็เป็นโซนมรดกโลกแล้วครับ


เจอกับก้อนหินขนาดใหญ่ สลักตัวอักษรว่า "WORLD HERITAGE" Shines and Temples of Nikko ที่หน้าทางเดินเข้าโซนมรดกโลกนิกโกะ


แล้วก็เดินขึ้นบันไดตามทางไปเรื่อยๆครับ มีคนญี่ปุ่นเดิน 2-3 คนไม่เหงา ตามเขาไปเลย 555


เดินมาสักพักก็เจอทางแยกที่เลี้ยวไปทางซ้ายมือและมีตรงไป โดยมีอนุสาวรีย์ท่าน Shodo Shonin
勝道上人銅像 ยืนตระหง่านอยู่ ผมเลือกเลี้ยวไปทางซ้ายมือครับ ตามที่คนเขาเดินไปกันและมีเดินกลับมา


พอไม่ไกลก็เจอแยกอีกครั้ง โดยทางเข้ามรดกโลกนิกโกะจะอยู่ทางขวามือ เข้าไปเลยครับ


เห็นอะไรแว้บๆทางขวามือ อ้อ...ภาพสกรีนวัดขนาดใหญ่(มากๆ)คลุมลงมานั่นเอง เคยเห็นในอินเตอร์เน็ตก่อนมา นั่นคือวัดนิกโกะซังรินโนจิ(Nikkozan Rinnoji Temple輪王寺) เป็นวัดขนาดใหญ่ที่สำคัญที่สุดในนิกโกะ ค้นพบโดยโชโดะ โชนิน พระในพระพุทธศาสนาผู้ซึ่งนำศาสนาพุทธเข้ามายังดินแดนนิกโกะช่วงศตวรรษที่ 8


แน่นอนว่า มาถึงแล้วก็ต้องเข้าไปดูนะครับ เขาเปิดให้เข้าไปชมภายในได้แม้กำลังบูรณะอยู่ก็ตาม(บูรณะมาหลายปีแล้ว กำหนดเสร็จมีนาคม 2019 ปีหน้าครับ) มีให้เลือกหลายออปชั่น อ่านไปงงไป เอาแบบคุ้มๆ คือ Combine ticket ดีกว่า คือเข้าที่วัดรินโนจินี้ได้และเข้าสุสานไตยูอิน(Taiyuin) ได้ด้วย คงถูกกว่าที่จะไปซื้อแยกนะครับ ราคา 900 เยน(ผู้ใหญ่)


ด้านหน้าทางเข้าวัดนิกโกะซังรินโนจิ โดยจะมีผ้าใบขนาดมหึมาสกรีนเป็นรูปวัดก่อนที่จะบูรณะคลุมไว้ ทำเหมือนในยุโรป(สวิตเซอร์แลนด์ที่เคยไปมา)เวลาจะซ่อมหรือบูรณะอะไรก็ตามเช่นเดียวกันครับ

ได้เข้าไปข้างในโดยชั้นล่างสุดจะเป็นโถงหลักชื่อว่า ซังบุตสึโดะ(Sanbutsudo) มืดๆสลัวๆ(ห้ามถ่ายรูปนะครับ วัดนี้จึงไม่มีรูปภายในมาสักกะรูปเลย) ภายในจะมีพระพุทธรูปปางอมิตาพุทธ, เจ้าแม่กวนอิมพันกร และ พระพุทธรูปที่มีศีรษะเป็นหัวม้า รวมเป็นดินแดนศักดิสิทธิ์ ณ นิกโกะแห่งนี้

พอเดินวนชั้นล่างสุดจนครบก็เดินขึ้นชั้นไปตามทางที่เขาจัดทำให้ สูงสุดคือชั้น 7 เลยนะครับ สามารถดูการบูรณะวัดแห่งนี้โดยช่างที่มีฝีมือต่างๆ งานละเอียดมากๆเลยครับ ส่วนชั้นบนสุด(จะเห็นหน้าต่างระบายอากาศสี่เหลี่ยมๆที่อยู่ชั้นบนสุดในรูปนี้ มองลงมาแล้วสูงมากๆ) คือให้เดินรอบแล้วไปออกทางออกอีกทางที่อยู่ข้างหลัง ก็เป็นอันจบการเข้ามาดูในวัดนี้ครับ


นี่ครับ มาออกทางด้านหลังของวัด จะเป็นสระน้ำ ในฤดูใบไม้ร่วงจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีด้านหลังสระสวยงามากๆ ฤดูนี้อดดู :(


ทางเดินบังคับมาออกทางนี้ครับ จะเจอกับด้านหน้าอาคาร 輪王寺大護摩堂


แล้วก็ออกเดินต่อไปตามทางเดินนี้อีกครั้ง จุดที่ 2 ที่จะไปคือ ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ(Nikkō Tōshogū Shrine 東照宮)


หนีคนไม่พ้น คนเยอะมาก ตรงนี้คือด้านหน้าแผ่นหินสลักชื่อว่า "โทโชกุ(Tōshogū)"


แล้วก็เดินลอดเสาโทริอิหินกันครับ จะเห็นเจดีย์ 5 ชั้นสีแดงแอบๆอยู่ด้านซ้ายมือ


มาดูเจดีย์ 5 ชั้นแบบใกล้ๆกันดีกว่า ถ่ายช้อนขึ้นไป (ชักรู้แล้วว่ากล้องหรือเลนส์ตัวเองมีปัญหาแน่ๆ)


ด้านหน้าเป็นทางเดินขึ้นไปทางเข้าศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ(Nikkō Tōshogū Shrine 東照宮)



แต่ก่อนจะเข้าไปได้ต้องเข้าแถวซื้อบัตรผ่านก่อนครับ เคาน์เตอร์ทางซ้ายมือ อีกครั้ง มีหลายออปชั่นอีกแล้ว งั้นเลือกแบบเข้าที่ศาลเจ้าโทโชกุ+พิพิธภัณฑ์ด้วยละกัน ราคา 2100 เยน แอบแพงนะเนี่ย


เทพเจ้าคอยกันพวกปิศาจตรงทางเข้าศาลเจ้า อยู่ฝั่งขวามือ


เดินเข้ามาภายในแล้วจะเจอกับอาคารไม้สีแดง(ภาษาอังกฤษเรียกว่า Storehouse) มีตะเกียงหินเรียงรายอยู่ด้านหน้า

ตรงนี้อยู่ฝั่งขวามือ ไม่แน่ใจว่าคุณลุงแกกำลังขายอะไร อ้อ..หูฟังตามภาษาต่างๆแน่เลย จะมีคำบรรยายตามแต่ละภาษาที่เลือก เช่น อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส ฯลฯ ไม่แน่ใจมีไทยมั้ย


และก็มาเจอกับอาคารไม้นี้ครับ อาจจะดูว่าไกลนิดนึง แต่เห็นมั้ยครับว่ารูปสลักอะไรเอ่ย??


ซูมไปดูใกล้ๆกันครับ นี่ไง ลิง 3 ตัวอันโด่งดัง(3 Wise Monkeys) ไม่ฟัง ไม่พูด ไม่ดู สิ่งที่ไม่ดี เป็นปริศนาธรรมให้เหล่าพุทธศาสนิกชนอย่างเราๆพึงจะทำอะไรก็ยึด 3 สิ่งนี้ไว้ด้วยครับ จะนำความเจริญมาสู่ชีวิตเรา

โดยตัวแรกถึงตัวที่สามจากซ้ายมือไปมีชื่อดังนี้
1.คิกะซะรุ (Kikazaru) - ปิดหู
2.อิวะซะรุ (Iwazaru) - ปิดปาก
3.มิซะรุ (Mizaru) - ปิดตา


หันไปถ่ายอาคารด้านหลังฝั่งตรงกันข้าม ก็ถ่ายเก็บภาพไปงั้นๆนะครับ ไม่ได้เล็งอะไรไว้หรอก แต่พอกลับมา แล้วเริ่มเขียนบันทึกเดินทางในตอนนี้ ก็เลือกรูปกันไป และอ่านข้อมูลจาก Japan-guide.com ไปด้วย เห็นบอกว่า ณ ศาลเจ้าโทโชกุนี้ มีผลงานไม้แกะสลักไม้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอยู่ 3 ชิ้นด้วยกัน นั่นคือ 1.ลิง 3 ตัว 2.ช้างแกะสลัก Sozonozo Elephants(รูปนี้) และ 3.แมวนอนหลับ(ซึ่งจะอยู่ในตอนหน้า)

เอาหล่ะ....ถามว่าทำไมช้างแกะสลักถึงมีชื่อเสียง ซึ่งดูแล้วก็ปกติธรรมดาทั่วๆไปของไม้แกะสลักในศาลเจ้าแห่งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงนั่นก็คือ ช่างที่แกะสลักช้างตัวนี้แกะสลักช้างโดยที่ตัวเองไม่เคยเห็นช้างมาก่อนในชีวิต! น่ามหัศจรรย์มั้ยหล่ะครับ! ผมอ่านยังขนลุกเลย และเซ็งตัวเองที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน ไม่งั้นไม่พลาดถ่ายมาแน่นอน แต่พอเลือกรูปไปเลือกรูปมา รอบแรกก็ยังไม่เจอว่าได้ถ่ายรูปช้างแกะสลักตัวนี้มา ก็โอเคทำใจว่าไม่ได้รูปช้างมาแล้ว แต่พอดูลึกๆในรายละเอียดของรูปนี้(บอกเลยครับว่าแปลกมากๆ) ทั้งๆที่รูปแกะสลักช้างมันก็อยู่ในเงาซึ่งมืดมากๆ แต่เอ๊ะ....มีอะไรดลใจให้สังเกตดูงานแกะสลักที่ใต้จั่ว และพอขยายภาพดูดีๆ อ้าวเฮ้ย....มันคือช้างแกะสลักที่ตามหานี่หว่า....555 โชคดี ถ่ายมาโดยไม่รู้ตัวว่าอยู่ตรงไหนของอาคารอะไร ตำแหน่งไหนของศาลเจ้าด้วยซ้ำ โชคดีมากๆครับ เลย crop รูปเอามาให้ดูกันครับ


ได้เวลาเดินต่อกันแล้ว เป็นศาลเจ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลซะจริงๆ ต้องเดินอ้อมหินก้อนๆไปตามทางเดินแล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอกับเสาโทริอิอีกต้น วันนี้นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสลงกลุ่มใหญ่เลย คนเลยเยอะเอามากๆครับ ไม่ดีเลย


ลอดผ่านเสาโทริอิหินนี้ไปก็จะเจอกับทางเข้าของศาลเจ้าหลัก ที่เห็นสีทองๆนั้นคือประตูโยเมมง(Yomeimon)



จะเดินขึ้นประตูโยเมมง(Yomeimon)ต้องเดินชิดขวามือนะครับ


แต่ก่อนจะผ่านประตูโยเมมง(Yomeimon) ผมขอไปสำรวจด้านขวามือของประตูก่อน สูงๆอันนี้เขาเรียกว่าอะไรนะ??  เห็นว่าชื่อ Shoro(鐘楼) ซึ่งมันคืออะไรก็ยังไม่รู้นะครับ



งานแกะสลักตรงกำแพงก่อนจะเข้าอาคารหลักของศาลเจ้าก็อลังการมากๆ นักท่องเที่ยวถึงกับแหงนมองกันตะลึง


เอาหล่ะ....ได้เวลามาตะลึงกับงานศิลปะของประตูโยเมมง(Yomeimon) แบบแหงนคอมองกันได้แล้ว ว่ากันว่าการตกแต่งประตูนี้อาจเป็นงานศิลปะตกแต่งที่หรูหราอลังการและสลับซับซ้อนมากที่สุดของญี่ปุ่นก็ว่าได้ (Credit: Japan-guide.com) มุมนี้มันย้อนแสง เดี๋ยวเราค่อยมาดูอีกครั้งตอนจะออกจากประตูนี้กันครับ แต่แค่ได้เห็นหัวมังกร และเหล่าคนต่างๆ ด้านบนประตูก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

สังเกตว่าศาลเจ้าโทโชกุนี้จะมีอาคารที่ผนวก 2 ศาสนาไว้ด้วยกันคือลัทธิชินโต กับพุทธศาสนา ต่างจากศาลเจ้าอื่นๆที่มีเฉพาะชินโตเท่านั้น! ซึ่งตรงจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครของศาลเจ้าโทโชกุและยังคงเป็นอย่างนี้ตลอดไป โดยอาคารของพุทธศาสนาจะไม่ถูกรื้ออกไปอีกแล้ว


รูปปั้นโชกุนด้านข้างประตูทางด้านขวา ถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นโชกุน Tokugawa Ieyasu โชกุนเริ่มแรกที่ปกครองญี่ปุ่นมากกว่า 250 ปี


นกยูงแกะสลักหรือเปล่าไม่แน่ใจ แต่สีสันสวยเอามากๆ


พอเดินผ่านประตูโยเมมง(Yomeimon) เข้ามา ก็จะเห็นอาคารหลักของศาลเจ้าซึ่งก็จะยังบูรณะกันอยู่เพราะมีนั่งร้านอยู่ด้านบนทั้ง 2 ข้าง  ประตูที่เห็นด้านหน้านี้คือประตูคาระมง มีประติมากรรมการวาดมังกรสีดำด้วยเปลือกหอยบดบนพื้นสีขาวของเสาประตู(Credit : Digijapan.travel)



พอเดินมาทางขวาก็จะเจอกับผู้คนจำนวนมากทีเดียวครับ


เรามาดูตู้กระจกตรงนี้กันดีกว่า เป็นตู้กระจกที่โชว์เบียร์ Kirin ของญี่ปุ่นนั่นเอง แต่มันมีมากกว่านั้นคือ 
Kirin หรือ กิเลนในภาษาไทย(อันนี้บอกตรงๆเลยว่า เพิ่งอ่านตอนเขียนเรื่องนี้เลยเพิ่งรู้ว่า คำว่า Kirin นั้นมันคือกิเลนในภาษาไทยนั่นเอง เฮ้อ....ไปอยู่ไหนมาผมเนี่ย) เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในเทพนิยาย มีงานประติมากรรมและภาพสัตว์มากมายในศาลเจ้าโทโชกุแห่งนี้ โดยเฉพาะตัวกิเลน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีจากยี่ห้อเบียร์ของญี่ปุ่นที่ชื่อ Kirin นั่นเอง โดยเป็นสัตว์ในจินตนาการ มีการแกะสลักตัวกิเลน 14 ตัวด้วยกันบนประตูโยเมมง(Yomeimon) 8 ตัวบนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอื่นๆ โดยรวมมีกิเลนทั้งหมด 49 ตัวด้วยกันในศาลเจ้าแห่งนี้
กิเลนเป็นสัญลักษณ์ของความสุข เมื่อใดก็ตามมีผู้ปกครองที่ดี ตัวกิเลนก็จะปรากฎกลายออกมา ตัวกิเลนนั้น ลำตัวเป็นกวาง เท้าเป็นกีบ หางเป็นหางวัว หน้าผากเป็นหมาป่าที่มีเขา ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่มีอัตราส่วนของกิเลนในศาลเจ้าโทโชกุนี้ แต่มีหลากหลายอัตราส่วนของกิเลนบนหน้ายี่ห้อของเบียร์ Kirin

ก็จบตอนย่อยแรกของนิกโกะมรดกโลกไปแล้วนะครับ เดี๋ยวอ่านต่อในตอนต่อไปครับ


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น