วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2561

ญี่ปุ่น เมื่อยามซากุระผลิบาน ตอน 7.2 เดินเท้าไปยังศาลเจ้าคาโตริ(Katori Shine) ศาลเจ้าอายุ 2,000 กว่าปีอันทรงคุณค่า และย้อนกลับไปหาอนุสาวรีย์ Ino Tadataka อีกครั้งก่อนกลับอุเอโนะ


ได้พักแข้งขานิดหนึ่งก็เริ่มเดินต่อครับ ใจจริงไม่ได้อยากเดินไกลเล้ย แต่ช่วยไม่ได้มันไม่มีขนส่งสาธารณะไปตามที่ที่ต้องการไปได้จริงๆ ถึงจะนั่งรถไฟไปก็ต้องเดินกลับไปสถานีเดิมอยู่ดี งั้นจากตรงนี้เดินไปดีกว่าครับ อ่านข้อมูลมาเขาว่าพลาดไม่ได้เลยถ้ามาที่ซาวาระแล้วไม่มาศาลเจ้าคาโตริ อายุ 2 พันกว่าปี แถมการมุงหลังคาอาคารสวดมนต์หลักก็แปลกกว่าที่อื่นๆ และอีกอย่างคือ ที่ศาลเจ้าฯนี้เป็นจุดชมวิวซากุระบานในซาวาระจุดหลักด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงพลาดไม่ได้แน่นอน พอหลังจากไปชมศาลเจ้าคาโตริแล้ว ดูนาฬิกาแล้วยังมีเวลาเหลืออยู่พอที่จะกลับไปอนุสาวรีย์ท่าน Inō Tadataka ท่านที่เดินเท้าไปทั่วญี่ปุ่นแล้วทำแผนที่สมัยใหม่ของญี่ปุ่นด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่ขามาที่ซาวาระในตอนที่แล้วเดินผ่านทางเข้าไปอนุสาวรีย์ท่าน Inō Tadataka แล้วเชียว แต่ด้วยความไม่รู้เพราะหาข้อมูลมาไม่กี่ชั่วโมงเอง เลยเดินผ่านไป ก็เลยต้องกลับมาเก็บอีกครั้งครับ หลังจากนั้นก็จะเป็นการเดินทางกลับแล้ว โดยขากลับจะนั่งรถไฟงงๆน่าดู ไปเก็บซากุระบานที่จะโรยแล้วอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้ายที่สวนอุเอโนะ ยามค่ำคืนก่อนจะเตรียมตัวกลับไทยในวันรุ่งขึ้นครับ


เส้นทางเดินใน Google Map จากคลองโอโนะมาถึงศาลเจ้าคาโตริ แล้วเดินกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีคาโตริ เป็นดังนี้ครับ


เดินออกมาตามถนนเรื่อยๆ เสียวจะโดนรถชนซะจริงๆเพราะทางเดินเท้ามันแคบครับ แล้วก็เดินผ่านศาลเจ้าด้านซ้ายมือ หยุดถ่ายภาพทางเข้าก่อน จริงๆตอนนั้นไม่รู้ว่าศาลเจ้าอะไร คงเป็นศkลเจ้าทั่วๆไปหล่ะมั้ง กลับมาอ่านข้อมูล โอ้ว....คือศาลเจ้ายาซากะ(Yasaka Shrine) ประวัติคร่าวๆ เป็นสถานที่บูชา โกซุ เทนโนะ (Gozu Tenno) เทพเจ้าซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
สถานที่บูชา โกซุ เทนโนะ ทั่วประเทศญี่ปุ่นได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นศาลเจ้ายาซากะในปี 1868 เมื่อมีการออกคำสั่งให้แยกนิกายชินโตออกจากพุทธศาสนา เพื่อให้เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ศาลเจ้ายาซากะในซาวาระได้เริ่มต้นประดิษฐานเทพเจ้าซูวาโนโอะ โนะ มิโกโตะ ( Susanoo no Mikoto) ที่มีชื่อเสียงแทนที่โกซุ เทนโนะ (เครดิต : http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_ca2.html)


พอเดินไปเรื่อยๆตามถนน ก็จะมาเจอกับเสาโทริอิเสานี้คร่อมถนนกับป้ายหินสลักชื่อครับ คือ 香取神宮一の鳥居 เกือบจะถึงกลางทางแล้ว สู้ๆ


งงตัวเองว่าทำไมต้องมาเดินอะไรไกลๆในญี่ปุ่นด้วยนะ หลายครั้งแล้วด้วย มองวิวข้างทางก็ชนบทจริงๆ กำลังดำนาปลูกข้าว หรือพืชอะไรสักอย่างกันด้วยมั้ง


ใกล้ถึงแล้วครับ แต่ใช้เวลานานมากๆ ด้านซ้ายมือมองไปจะเห็นเสาไม้สูงๆพร้อมด้วยโคมแบบปลาที่เราเคยเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นในตอนเด็กๆ ครั้งนี้ก็ได้มาเจอของจริงสักทีนะ 555


น่าจะอยู่ข้างหน้าแล้วนะครับ เป็นทางแยกไปซ้ายและขวามือ เห็นต้นซากุระบานอยู่ไกลๆ ณ จุดนี้ใช้เวลาเดินจากคลองโอโนะปรัมาณ 40-45 นาทีได้ หือ...เดินมาได้ไงว่ะ??


นี่ครับ กำลังมีรถแล่นขึ้นไป กำลังคิดอยู่ว่าไปทางไหนดีนะ ทางที่รถแล่นไปคงไม่ใช่ทางสำหรับคนเดินแน่ๆ เพราะแคบและไม่มีทางเท้าเลย มันต้อมีทางเดินอีกเส้นทางนี่


เดินมาหาทางเดินขึ้นไปศาลเจ้าคาโตริ ผ่านลานจอดรถ ก็มาเจอประตูซุ้มนี้ครับ น่าจะเป็นทางเดินไปแน่ๆเลย ก็ไม่รู้จะถามใครด้วย กลัวคุยกันไม่รู้เรื่องอีก งั้นเดินไปละกัน สองข้างทางเป็นร้านขนม ร้านอาหาร ร้านกาแฟครับ น่านั่งทีเดียว แต่ไม่มีเวลแล้ว


พอสุดทางเดินก็ใช่จริงๆด้วย เป็นทางเข้าศาลเจ้าคาโตริ เสาโทริอิแดงเด่นสง่ามาเลย


เดินเข้าไปร่มรื่นมากๆด้วยเพราะมีต้นซากุระและต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมแดดไว้ สองข้างทางเป็นตะเกียงหินซึ่งดูแล้วไม่เก่าแก่เท่าไหร่ คงเป้นของใหม่ที่นำมาวางไว้ครับ


ตรงด้านซ้ายมือก่อนขึ้นเนินไปเข้าศาลเจ้าฯ มีบ่อน้ำให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจกันก่อน


ในบ่อน้ำก็จะมีปลาที่พูดเพราะที่สุดในโลก นั่นคือปลาคราฟด้วยนะครับ อิอิ


เก็บวิวบ่อน้ำได้สักพักก็เดินขึ้นบันได้ต่อ จะเจอกับลานกว้าง เป็นที่จอดรถ ก่อนจะมีบันไดอีกหลายขั้นขึ้นไปอีก ประตูแรก 香取神宮総門 ที่เจอ


ประตูโรมง(Romon) ประตูทางเข้าศาลเจ้าคาโตริ


นี่หล่ะครับ ไฮไลท์ของศาลเจ้าคาโตริแห่งนี้ มีอายุ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ตรงนี้เป็นอาคารหลัก หลังคาสีดำสวยมากๆ ดูสงบ เยือกเย็น
======
ประวัติ เครดิตข้อมูล http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_ca2.html
ศาลเจ้าคาโตริเป็นศาลเจ้าที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก ศาลเจ้าคาโตริแห่งนี้เป็นศาลเจ้าในลำดับต้นๆ ของศาลเจ้าคาโตริทั่วๆ ไปกว่า 400 แห่งที่มีอยู่ทั่วประเทศ สิ่งก่อสร้างหลักของศาลเจ้าแห่งนี้คือ ประตูซากุระ (ต้นซากุระ) และโถงสวดภาวนาที่สร้างขึ้นในปี 1700 ระหว่างยุคเอโดะ (ปี 1603 ถึง 1867)
กล่าวกันว่าศาลเจ้าคาโตริก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 43 ปีก่อนคริสตกาล และประดิษฐาน Futsunushino Mikoto เทพผู้พิทักษ์ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ช่วยสร้างประเทศญี่ปุ่น Futsunushino Mikoto ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สักการะกันในศาลเจ้านี้ ได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นเทพเจ้าที่ช่วยรักษาความสงบในชาติ ก่อนการเริ่มต้นของยุคเมจิ (1868-1912) มีเพียง 3 ศาลเจ้าเท่านั้นคือ อิเสะ คาโตริ และคาชิมะ ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศาลเจ้า (ศาลเจ้าชินโตที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์)


สิ่งก่อสร้างหลักของศาลเจ้านี้คือหลังคาซึ่งสร้างด้วยวิธีการที่เรียกว่า “ฮิวาดะบูกิ” (Hiwada Buki หรือการมุงหลังคาด้วยเปลือกต้นไซเปรสของญี่ปุ่น) เทคนิคการมุงหลังคานี้เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ยอดเยี่ยมของญี่ปุ่นที่จะช่วยสร้างภาพทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดให้แก่ศาลเจ้า 
เครดิตข้อมูล : http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_ca2.html


เดินไปทางขวามือจะเจออาคารสีแดงนี้


แล้วก็เดินมาทางซ้ายครับ เป็นสมอเรือไม่ทราบว่าหมายถึงอะไร มีชื่อญี่ปุ่นว่า 練習艦かとりの錨


คราวนี้เดินรอบโถงหลักแบบวนขวา อาคารสีดำขลับแปลกตามากๆ


ตรงหัวมุมนี้เป็นหินสลักอะไรสักอย่างครับ


ดูเวลา 16.12 น.แล้ว ได้เวลากลับสักที ดูแผนที่คร่าวๆแล้ว มีสถานีรถไฟคาโตริ(Katori Station) อยู่ใกล้ที่สุด และดูเที่ยวรถไฟที่กำลังจะมาถึงสถานีนี้แล้วไปลงสถานีซาวาระ มีเวลา 16.49 น. ยังมีเวลา 37 นาที เช็คเวลาด้วยการเดินไปจากศาลเจ้าฯไปสถานีรถไฟฯ ใน Google Map ก็ยังพอมีเวลาอยู่ งั้นลุ้นๆรีบเดินลงไปดีกว่า เลือกเส้นทางอีกเส้นทางคือทางถนนจะได้เร็วๆหน่อย (ในรูปเป็นรูปที่เดินลงจากศาลเจ้าคาโตริเกือบถึงด้านล่างแล้ว)


ที่แยกในรูปบนเดินเลี้ยวขวามาแล้วเส้นทางจะเป็นขึ้นเนินบ้าง ลงเนินนิดหน่อย รถไม่ค่อยจะมีเนื่องจากเป็นชนบท ดู Google Map ในมือถือ สถานีคาโตริก็อยู่ไกลพอควรเลย ไม่รู้จะไปทันเวลารถไฟรอบต่อไปออกมั้ย


อากาศเย็นกำลังสบายๆ เดินไปตามถนนคนเดียว


ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จริงๆ ไม่รู้ว่ากำลังไถเพื่อจะลงปลูกพืชอะไร


เจอแล้วครับ ตัวสถานีรถไฟคาโตริ เล็กมากๆไม่มีเจ้าหน้าที่ตามแบบฉบับสถานีชนบท แต่ก่อนจะเจอนั้น วิ่งให้วุ่นทั้งตัดสินใจว่าทางไหนดี คือมันต้องข้ามทางรถไฟไปนะครับ แต่มันก็มีอีกทางที่ไม่ได้ข้ามไปสุดท้ายเลือกข้ามทางรถไฟไปก็เลยเจอ นี่ขนาดใช้ Google Map ด้วยนะครับ แต่ทางเข้ามันไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น


เข้าตัวสถานีคาโตริมา เสียงรถไฟก็ดังมาพร้อมมาจอดที่หน้าสถานีเลย โห....สุดๆ ได้ขึ้นไปบนขบวนแล้ว นั่งได้ไม่นาน น่าจะนาทีกว่าๆรถไฟก็เคลื่อนขบวนออก 555 มาทันแบบฉิวเฉียดมากๆ ยังหายใจหืดหอบเลยครับ จำไม่มีวันลืมเลย วิ่งให้ทันรถไฟมาเนี่ย


ใช้เวลาเพียง 4 นาทีรถไฟก็มาถึงสถานีซาวาระแล้ว เนื่องจากห่างกันเพียงแค่สถานีเดียวเท่านั้น แต่ถ้าพลาดขบวนนี้นะครับ รอขบวนต่อไปอีก 56 นาทีเท่านั้น! หรือไม่ก็เดินเอา


จากสถานีซาวาระเดินเท้าไปหาอนุสาวรีย์ Inō Tadataka แล้วกลับมาที่สถานีซาวาระอีกครั้ง



รีบจัดแจงเดินไปตามทางเดิมที่มาถึงเมื่อก่อนหน้านี้ ผ่านศูนย์นักท่องเที่ยวไป พอเจอทางแยกนี้ก็เดินเข้าไปผ่านเสาโทริอิเลยครับ ครั้งช่วงบ่ายที่มาผมเดินเลี้ยวซ้ายไป เลยพลาดอย่างน่าเสียดาย ต้องกลับมาซ่อมใหม่ในวันเดียวนี้เลย แต่ก็ยังดีครับ


พอช่วงที่ขึ้นเนินก็จะมีรั้วกั้นสำหรับทางเดินเท้าให้ ชอบจริงๆเลย


แล้วก็จะมีซากุระบานให้เห็นอีกด้วย ที่แยกนี้เริ่มงงอีกครั้ง ดูใน Google Map หายังไงก็หาอนุสาวรีย์ Inō Tadataka ไม่เจอ แต่จริงๆแล้วเขาเขียนในภาษาญี่ปุ่นครับ หารูปก็ไม่เจอ ก็เลยเดินเลี้ยวซ้ายตรงที่เห็นแยกในรูปนี้ไปก่อน


พอเดินเข้าไปสักพัก ไม่ลึกมาก ก็มีทางเข้าไปในศาลเจ้าอีกแล้ว ไม่รู้ชื่อเหมือนกัน แต่ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดีกว่า


ตรงนี้มีธงแดงไม่รู้ความหมายเหมือนกันว่าจะหมายถึงอะไร คนไม่มีเลย


ตรงนี้เป็นเป็นอาคารหลัก โถงสวดมนต์ ไฟคงเปิดปิดอัตโนมัตินะครับ เพราะไม่มีคนแม้แต่คนเดียวเลย จะมีก็แต่ผมนี่แหล่ะ ก็เดินกลับออกไปครับ แต่จะบอกว่า อีกแล้ว ก่อนมาเขียนบันทึกเดินทางนี้ ก็ไปอ่านข้อมูลมาเจอว่า นี่คือภาพของศาลเจ้าศาลเจ้าซูวะ(Saharasuwa Shrine 佐原諏訪神社) ตามรูปในเว็บนี้เป๊ะๆเลยครับ http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_ca2.html

ประวัติ (เครดิตข้อมูล : http://www.suigo-sawara.ne.jp/abroad_ta_ca2.html)
ศาลเจ้าซูวะ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางตะวันตกของแม่น้ำโอโนกาวา ซึ่งเดินจากสถานีซาวาระ JR เพียง 8 นาทีเท่านั้น กล่าวกันว่าศาลเจ้าซูวะก่อตั้งมาตั้งแต่ประมาณปี 1694 เมื่อประชาชนในท้องถิ่นเริ่มสักการะเทพเจ้าแห่งการคุ้มครองเขตที่อยู่อาศัยในช่วงยุคเอโดะ (1603-1867) 
อาคารหลักในปัจจุบันของศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1853 ในยุคเอโดะ ในขณะที่มีการจัด “เทศกาลแกรนด์ซาวาระ” ขึ้นถึงสองครั้งในเดือนกรกฎาคมและเดือนตุลาคมของทุกปี ศาลเจ้าซูวะก็มีการจัดงานเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงเช่นกัน ในเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง มีขบวนแห่ที่หรูหราและสวยงาม 14 ขบวนล่องไปตามถนน รัฐบาลกลางกำหนดให้ขบวนแห่และกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันในเทศกาลฤดูร้อนซาวาระของศาลเจ้ายาซากะ เป็นทรัพย์สินชนิดไม่มีรูปร่างทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีความสำคัญ ศาลเจ้าซูวะประดิษฐานเทพเจ้าแห่งสงครามที่ชื่อ “ทาเคมินากาตะ โนะ มิโกโตะ” (Takeminakata no Mikoto)


พอออกจากศาลเจ้าซูวะ ก็เจอคนญี่ปุ่นกำลังเดินมา เลยเข้าไปถามเป็นภาษาอังกฤษว่าอนุสาวรีย์ Inō Tadataka อยู่ตรงไหนครับ? โชคดีที่คนนี้เขาพูดภาษาอังกฤษได้ เลยตอบกลับมาพร้อมที่ผมเอา Google Map บนมือถือให้เขาชี้จุดดู แต่สุดท้ายเขาก็ชี้เส้นทางโดยให้เดินย้อนไปทางที่เข้ามาแล้วเลี้ยวขวาไปลงเนินไปเรื่อยๆ อนุสาวรีย์ Inō Tadataka จะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงสี่แยก ในสวนสาธารณะ ก็ขอบคุณอะริกาโตะกันไป แล้วนึกในใจ เราเดินผ่านมาได้ไงวะ มองไม่เห็นรึไง งงมากๆ

ก็เดินกลับไปครับ แต่พอเราได้สังเกตจริงๆก็ได้เจอครับ อนุสาวรีย์ อยู่ลึกเข้าไปจากถนน เลยถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็นจริงๆ แต่ในที่สุดก็ได้เก็บรูปมาได้จริงๆ อนุสาวรีย์ Inō Tadataka


อีกรูปหนึ่งใกล้ๆ หลังจากนั้นก็ดูเวลา ซึ่งเย็นแล้ว รีบเดินกลับสถานีซาวาระดีกว่า เห็นร้าน 7-11 เลยแวะซื้อของทานรองท้องและกาแฟร้อนตามแบบฉบับ รีบทานจนกาแฟหกเล็กน้อย แล้วก็ต้องรีบเดินไปที่สถานีเลย ห่างกันไม่ไกลมากนัก


ขบวนรถไฟที่จะขึ้นต่อไปนี้จะเป็นดังรูปครับ 3 ขบวน 2 ต่อด้วยกัน แต่ไปหลงเอานิดหน่อยที่สถานีโตเกียว เลยไปถึงสถานีอุเอโนะช้ากว่าเวลาในตาราง


มาถึงสถานีโตเกียวแล้วในเวลา 19.51 น. แต่งงๆหลงๆว่าจะขึ้นรถไฟสายไหนดี เพราะมันมีเยอะมาก ทั้งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro รถไฟสายยามาโนเตะ และรถไฟ JR สายอื่นๆ หลากหลายสายมากๆ


เอาหล่ะครับ สุดท้ายก็มาถึงสถานีอุเอโนะจนได้ในเวลา 20.21 น. ไปเจอแผนที่นี้ตรงทางเดินออกของสถานี โห...สวยงามมากๆ เป็นแผนที่ชมซากุระบานในสวนสาธารณะอุเอโนะและพื้นที่ใกล้เคียง ทำออกมาสวยงามจริงๆ อดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพเก็บไว้ครับ แต่ในแผนที่ก็ไปมาแล้ว


ไหนๆก็มาถึงอุเอโนะแล้ว ออกจากสถานีก็เลยเดินไปที่สวนอุเอโนะอีกครั้ง ไปเก็บบรรยากาศซากุระครั้งสุดท้าย เพราะพรุ่งนี้ก็บินกลับไทยแล้ว ไปเจอป้ายห้ามเด็ดดอกซากุระ ซึ่งก็ปกติทั่วไป แต่ที่ชอบคือ เจ้ามาสค็อตดอกซากุระด้านล่างที่กำลังร้องไห้นี่นะสิ น่ารักจริงๆ ใครเห็นก็คงไม่อยากเด็ดนะครับ สงสาร


ก่อนเดินกลับไปทางออกครับ จะค่ำคืนยังไงคนญี่ปุ่นก็จะยังมาชมและมาฮานามิกันครึกคักตลอด ช่วงใบไม้ผลิ ช่วงกาลดอกซากุระบานคือช่วงเวลาที่มีความสุขของชาวญี่ปุ่นเขา


เดินผ่านด้านหลังของวัด Kiyomizu Kannon-dō เปิดไฟจ้าเชียว หรือดลนส์ผมกำลังเดี้ยงแน่เลย


แล้วก็ได้เวลากลับไปที่พัก แน่นอนว่าระหว่างทางกลับก็แวะร้านแฟมิลี่มาร์ทที่ทางขึ้นจากสถานีอิริยะร้านประจำซื้อโอเด้งและเบียร์ Yebisu มาทานที่ชั้น 3 ของโรงแรม 1 Night 1980 Yen Hostel พอทานเสร็จก็ขึ้นไปชั้นที่พัก(แคปซูล)จัดกระเป๋าเพื่อเตรียมเดินทางกลับไทยในวันรุ่งขึ้นต่อไป


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น