วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 4 เที่ยวโลซานและม็องเทรอซ์ เพราะเธอนั้นน่ามอง...Day [3:10]


วันที่สามที่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว แต่จริงๆเป็นวันที่สิบของผมเพราะผมมาก่อนหนึ่งอาทิตย์ ทำให้เริ่มเบื่อๆอยู่บ้างในการอยู่ในประเทศที่ค่าครองชีพสูงมากๆ สูงจนไม่อยากที่จะอยู่นานๆ กลัวจะไม่มีเงินใช้จ่ายสิ่งของจำเป็น เอาหล่ะ ไหนๆก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วกัดฟันกันต่อไป วันนี้คงยังไม่ขึ้นยุงฟราวอีกเช่นเดิม รอให้ท้องฟ้าเคลียร์อีกหน่อยละกัน เลยนำแพลนที่วางไว้ว่าจะไปม็องเทรอซ์โดยต่อรถไฟที่แบร์นและโลซานและเที่ยวปราสาทชิยอง(Chateau de Chillon) ปราสาทที่เก่าแก่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ แล้วขึ้นรถไฟชมวิวสาย Golden Pass ไปลงเมืองเบรียนซ์แล้วล่องเรือที่ทะเลสาบเบรียนซ์มาขึ้นฝั่งที่อินเตอร์ลาเค่น ออสท์ อีกครั้ง

จากโปรแกรมดังกล่าวเห็นว่าแน่นเอามากๆ และแถมยังไม่ได้เที่ยวเมืองโลซานเมืองที่พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่นั่นถึง 16 ปีด้วยกัน ไหนๆก็มาถึงถิ่นแล้ว จะเปลี่ยนรถไฟอย่างเดียวคงไม่ได้ต้องเดินไปชมเมืองเขาด้วย เราเลยเปลี่ยนแพลนที่เคยวางไว้เล็กน้อย เนื่องจากได้วันเพิ่มมาฟรี 1 วันจากการที่ไป St. Gallen กับ Appenzell ในวันแรกแล้ว เราเลยตัดล่องทะเลสาบเบรียนซ์ออกไปแล้วเลือกที่จะเที่ยวชมเมืองโลซานกันก่อนที่จะมาชมปราสาทชิยองที่เมืองม็องเทรอซ์ ดังนั้นวันนี้จึงเต็มไปด้วยรูปสถาปัตยกรรมสมัยเก่าของโบสถ์และปราสาทอีกทั้งวิวระหว่างทางจากการนั่งรถไฟสาย Golden Pass ที่ใครๆเขาว่าสวยมากๆ งั้นเรามาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร เชิญตามมาเลยครับ

==========
Today plan(3) : Interlaken --> Lausanne --> Montreux --> Golden Pass Line --> Interlaken



วันนี้เหมือนกับวันอื่นๆคือ ออกจากที่พักแล้วเดินไปรอรถไฟที่สถานีอินเตอร์ลาเค่นเวสท์ ใช้เวลาเดินเพียงไม่ถึง 10 นาที ต่อจากนั้นเราต้องลงรถไฟที่แบร์น(Bern) เพื่อต่ออีกขบวนที่ไปเจนีวาแต่เราจะลงที่โลซาน ครั้งนี้ได้เวลาใช้รถไฟของ BLS แล้ว ทุกครั้งจะเป็น SBB


รถไฟมาแล้วก็ขึ้นไปนั่งเลยครับ สะอาดสะอ้านเหมือนเคย


น้องวัวระหว่างทางกับอิริยาบทนั่งบ้าง ยืนกินหญ้าบ้าง สลับกันไป วิวแบบนี้เราจะเห็นจนชินตาระหว่างที่นั่งรถไฟในสวิสครั้งนี้


ระหว่างถึงสถานีโลซานเห็นชาวสวิสผู้ชายแต่งชุดทหารลงที่สถานีนี้กันตรึม สงสัยมาเข้าฝึกที่ค่ายทหารอะไรสักอย่างครับ ทหารสวิสนี่เก่งเหมือนกันนะครับ



จ๊ะเอ๋...วันทยาหัตถ์! อิอิ


รถไฟมาจอดที่สถานีอะไรก็ไม่รู้ มีรูปปั้นนกกาหรือเปล่า กำลังคาบรางรถไฟ 555 ช่างสร้างสรรค์ซะจริงๆ


บ้านเรือนแบบชนบทสวิสที่ปลูกไล่เลี่ยกันตามท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีและตามเนินเขาเตี้ยๆ เป็นภาพที่เห็นจนชินตาเช่นกัน


บ้านริมทะเลสาบ น่าอยู่อาศัยมากๆ ประเทศนี้สุดยอดจริงๆ


และแล้วก็มาถึงเมืองโลซาน ความที่ไม่ได้แพลนว่าจะเที่ยวที่ไหนบ้างของเมืองนี้ไว้ เราเลยใช้วิธีเดินเข้าไปถามที่ Tourist Information ว่ามีแผนที่ให้เรามั้ย? และไปเที่ยวที่ไหนดีในระยะเวลา 2-3 ชั่วโมง ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ ขอบคุณครับ

เป็นอันว่าเรามีที่ไปเที่ยวแล้ว งั้นนั่งรถบัสไปเรื่อยๆแล้วค่อยลงเดินถ้าเห็นว่าสถานที่ที่จะไปอยู่ใกล้มาแล้ว ที่แรกแบบงงๆก็คือ Palais de Rumine ซึ่งอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองแบบอิตาลี่ สร้างขึ้นในปี 1900 ภายในจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่หลายพิพิธภัณฑ์ แต่เราไม่ได้เข้าไปดู


เราเดินต่อไปยังที่แห่งนี้นั่นคือ Cathedrale Notre-Dame สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1150 ถึง 1275 ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งก่อสร้างแบบโกธิคที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์  ในรูปเป็นประตูทางเข้า


ลืมบอกไปว่า พอลงรถไฟที่โลซานภาษาที่เคยได้ยินจากคนสวิสซึ่งเป็นภาษาเยอรมันกลายมาเป็นภาษาฝรั่งเศสโดยฉับพลัน ทั้งที่ยังไม่ถึงเมืองเจนีวาก็ตาม อาคารและป้ายอื่นๆก็เป็นภาษาฝรั่งเศสมากขึ้น
เดินขึ้นมาแล้วก็ขอชมวิวสวยๆ สูดอากาศสดชื่นซึ่งมองไปจะเห็นทะเลสาบเจนีวาอยู่ไกลๆ


ขอส่องวิวไกลๆหน่อยค่ะ...


มาดูด้านหน้าของโบสถ์มั่ง


เดินวนมาอีกฝั่งหนึ่ง


พอเดินครบ 1 รอบเราก็เข้าไปภายในโบสถ์กัน เห็นรูปปั้นของคนสองคนตั้งโชว์อยู่ น่ากลัวเหมือนกันนะ


กระจกสี มองแล้วสวยงามจริงๆ ลายก็ดูเหมือนมีมากมายหลายชนิดหรือไม่


นี่ก็กระจกสีอีกบานหนึ่ง สวยไม่แพ้กัน


ดูภายในโบสถ์ซะก่อน สวยจริงๆนะเนี่ย


ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆด้วย


มองย้อนไปด้านทางเข้า เพดานโบสถ์สูงโล่งจริงๆ


ตรงนี้เป็นรูปปั้นเหล่านักแสวงบุญ


เรายังอยู่ภายในโบสถ์แห่งนี้นะครับ


ซูมไปดูใกล้ๆ นางฟ้ามีปีก?


แล้วเราก็เดินย้อนขึ้นไปเพื่อไปชม Chateau St-Maire  
จากนั้นก็เดินลงมาเพื่อมารอรถราง และเราได้นั่งชมวิวจนมาลงที่ป้ายใกล้ๆกัน


โบสถ์ Eglis St-Francois สร้างในราวๆปี 1270 มีหอนาฬิกาสูง 56 เมตร ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงของเมืองโลซานเป็นย่านการเงินการธนาคารของเมืองโลซานทีเดียว


จากนั้นก็เดินข้ามถนนเพื่อไปยืนรอรถไฟที่สถานีโลซาน เพื่อเดินทางต่อไปที่ม็องเทรอซ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก จริงๆก็มีรถเมล์แล่นเหมือนกัน แต่คงช้าน่าดูเลย


ไม่นานก็มาถึงที่เมืองม็องเทรอซ์เมืองที่ชื่อเพราะแบบภาษาฝรั่งเศส ยังคงเป็นเมืองตากอากาศของที่นี่เนื่องจากอยู่ติดกับทะเลสาบเจนีวา บรรยากาศน่าเดินเอ้อระเหยซะจริงๆเลย แต่เรามีเวลาไม่มากนัก ต้องเตรียมตัวขึ้นรถเมล์สาย 1 เพื่อไปปราสาทชิยอง


อาคารริมทะเลสาบเจนีวาสีสันสดใสมากๆ แวะร้านรองเท้า Timberland ก่อนดีมั้ย?


รอรถเมล์สักพักก็มา ที่นี่รถเมล์วิ่งไปมาเป็นเวลา และถี่พอควร แถมยังมีวิ่งจาก Vevey เมืองเล็กๆที่อยู่ระหว่างโลซานและม็องเทรอซ์อีกด้วย รถเมล์จะมีป้ายตัวอักษรบอกพร้อมเสียงพูดก่อนจะถึงป้ายหยุดรถจริงๆ ไม่ต้องกลัวหลงว่าถึงไหนแล้ว หรือสามารถดูป้ายรถที่จะหยุดได้จากด้านบนผนังรถซึ่งเขาจะมีติดไว้บอกคนทั่วๆไปว่ารถเริ่มวิ่งจากจุดไหนผ่านจุดอะไรบ้างจนถึงปลายทาง


ประมาณสิบนาทีก็ถึงปราสาทอันเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ Chateau de Chillon เดินลงจากรถเมล์ก็เดินย้อนไปเล็กน้อย เข้าทางเข้าไปเลยครับ ที่นี่จะเปิด 9.00 - 18.00 น.



ได้เห็นปราสาทของจริงในประเทศแถบยุโรปครั้งแรกก็ให้ตกตะลึงกับความงามและยิ่งใหญ่ครับ


ที่นี่เก็บค่าเข้าชมด้วย ผมเลยไม่แน่ใจว่า Swiss Saver Pass สามารถใช้ได้หรือเปล่า เลยเข้าไปสอบถาม ปรากฏว่าเข้าชมได้ฟรีครับ นี่แหล่ะ กำไรของเจ้าบัตรใบนี้ แต่เจ้าหน้าที่เขาจะเอาสวิสพาสของเราไปคีย์ข้อมูลลงในคอมและให้ตั๋วเราหรือใบเสร็จก็ไม่แน่ใจนะครับ แต่ราคาเป็นศูนย์บาทพร้อมกับลงว่าเป็นนักท่องเที่ยวจากไทยแลนด์ด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลางั้นเราเข้าไปเลย


มาดูประวัติกันนิดนึงครับ ปราสาทชิยองตั้งอยู่ชายฝั่งของทะเลสาบเจนีวามีห้องอยู่ด้วยกัน 25 ห้อง ส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของปราสาทไม่ได้ลงวันที่ไว้ แต่จากบันทึกนั้นบอกไว้ว่าสร้างในปี 1165 หรือ 1005 ต้นคริสตศตวรรษที่ 12
ปราสาทชิยองนี้โด่งดังอีกครั้งเมื่อลอร์ดไบรอนผู้เขียนบทกวี Prison of Chillon ได้มาเยี่ยมนักโทษที่ปราสาทแห่งนี้และได้สลักชื่อแกไว้ใกล้ๆกับที่คุมขังของ ฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด ผู้ดูแลวิหารเซนต์วิคเตอร์ในเมืองเจนีวาที่ถูกคุมขังถึง 6 ปีด้วยกัน
ที่นี่ระบบจัดการเขาดีตรงที่มีเลขจุดต่างๆมากถึง 40 กว่าจุดในการเข้าชม และมีลูกศรบอกทิศในแต่ละจุดตลอด ใครเดินตามลูกศรก็ดูได้ตลอดทั้งหมดปราสาทแล้ว เยี่ยมจริงๆ


เดินเข้าไปด้านในปราสาทก็จะเจอกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่เข้ามาทัศนศึกษาด้วย เห็นแล้วก็ให้นึกถึงตอนเราเด็กๆไม่ได้ ได้ไปเที่ยวสถานที่สำคัญๆของประเทศแบบนี้มาเหมือนกัน


ชั้นล่างนี้เป็นที่คุมขังนักโทษ จะมีก็แต่วิวทะเลสาบที่สามารถมองออกไปภายนอกได้ แตไม่สามารถที่จะหนีไปได้


มีข้อมูลที่แสดงประวัติการลงโทษด้วยการแขวนคอของนักโทษที่นี่ เห็นแล้วน่าหวาดเสียวจริงๆ


เดินเข้าไปที่โถงของปราสาทกัน


จำไม่ได้ว่าห้องนี้คือห้องรับประทานอาหารหรือไม่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หัวโต๊ะและเก้าอี้ธรรมดาตั้งอยู่โดยรอบ


อีกห้องหนึ่งเป็นห้องเก็บหีบสมบัติมากมายหลายแบบและหลายขนาดทั้งเล็กและใหญ่ ใบนี้ดูจะมีลวดลายสวยงามจริงๆ


นั่นไปถืออะไรของเค้าหน่ะ ซุกซนจริงๆเลยย


เตียงนอนสมัยก่อน แต่ทำไมเล็กจัง ไม่รู้จะนอนกันได้เหรอ เพราะคนยุโรปตัวใหญ่ทั้งนั้น


อาวุคู่กาย


มีหน้าต่างที่สามารถมองออกไปข้างนอกยามเครียดหรือซีเรียสได้ วิวผืนน้ำสวยงามจริงๆกับวิวลวดลายฝั่งขวามือของหน้าต่างก็สวยไม่แพ้กัน


ภายในอีกห้องของปราสาทชิยอง


ห้องนี้เป็นห้องอาบน้ำ


ส่วนรูปนี้คืออะไรครับเนี่ย??? สงสัยคงเป็นที่ปัสสาวะ โถฉี่นั่นเอง


มาถึงปราสาทชิยองแล้ว ไม่กระโดดได้ไง


บางมุมมองที่มองจากยอดแหลมของปราสาท


มองออกไปเห็นถึงบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสีเทอร์คอยซ์และบนเนินเขาเตี้ยๆ สวยงามจริงๆ


ตัวอย่างเครื่องแบบของทหารยุคก่อน ดูแล้วหนักไม่ใช่เล่น แต่เพื่อชีวิตและความอยู่รอดก็คงต้องสวมเอาไว้


ได้เห็นเรือล่องทะเลสาบเจนีวาแล่นผ่านปราสาทเก่าแก่แห่งนี้เป็นว่าเล่น เสียดายเราไม่มีเวลามากขนาดมานั่งเรือล่องที่นี่ได้


หลังจากดูกันจบครบทุกๆห้องแล้วเล่นเอาเหนื่อยไปตามๆกัน ต่อจากนั้นก็เดินออกมาชมวิวที่ท่าเรือใกล้ๆกันบ้าง ณ มุมนี้จะมองเห็นปราสาทชิยองอยู่ไกลๆ ยื่นออกมาจากชายฝั่ง


เราดูเวลาแล้วก็ต้องรีบๆกันหน่อย เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันไปขึ้นรถไฟสาย Golden Pass ที่สถานี Montreux เมื่อออกจากปราสาทก็มารอรถเมล์ฝั่งตรงกันข้ามด้วยสายเดิมต่อจากนั้นก็ลงที่ป้ายเดิมคือป้ายสถานีรถไฟ ก่อนจะขึ้นรถไฟก็ต้องเตรียมหาอะไรไปทานบนรถไฟกันหน่อย มองหาร้าน Coop อยู่ใกล้ๆเลยได้สลัดและขนมปังมาแกล้มกับน้ำพริกเผาที่เตรียมมาจากไทย

นี่แหล่ะขบวนรถไฟสาย Golden Pass เป็นสายพิเศษที่ไม่ได้วิ่งบ่อยเหมือนกับสายปกติ แต่จะวิ่งทุกๆ 2 ชม. ถ้าจำไม่ผิด ฉะนั้นถ้าพลาดขบวนนี้แล้วต้องรอกันอีก 2 ชม.กันเลย ดังนั้นมาให้ตรงเวลาจะดีกว่า


นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมีหลายวัยด้วยกัน แต่ผู้สูงอายุจะมากกว่านิดหน่อย เริ่มแรกรถจะค่อยๆไต่เขาทีละน้อย ทำให้วิวที่เห็นเป็นมุมสูงตื่นตาเช่นกัน


ได้เห็นวิวระหว่างทางอย่างที่รอคอยกันแล้ว ดุเอาเองว่าสวยงามยังไง


ขบวนรถแล่นไม่เร็วมากนักเพื่อที่จะให้นักท่องเที่ยวชมวิวแบบอิ่มๆสบายๆ


ทุ่งหญ้าเขียวขจี


บ้านเรือนน้อยใหญ่แทรกตัวอยู่ตามขุนเขาโดยมีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะสีขาวแซมกับสีเขียวของต้นไม้


วิวภูเขาหิมะแบบนี้หวังว่าคงจะได้เห็นแบบเต็มๆตาอีกครั้งเมื่อขึ้นยุงฟราวในวันพรุ่งนี้


และแล้วโกลเด้นพาสก็มาหยุดเพื่อเปลี่ยนขบวนที่สถานี Zweisimmen กลางทางก่อนจะไปถึงปลายทางที่ Interlaken Ost



มาถึงอินเตอร์ลาเค่นก็เย็นแล้ว ที่นี่ช่วงเย็นฝนจะตกลงมาตลอดทุกวัน เลยหนีไม่พ้นที่จะเห็นสภาพถนนเปียกแฉะแบบนี้ ขอให้วันรุ่งขึ้นสภาพอากาศดีทีเถอะ...สาธุ


เนื่องจากวันนี้โปรแกรมไม่แน่นมาก เราจึงได้มีโอกาสใช้เวลายามเย็นมาเดินเล่นชมวิวเมืองอินเตอร์ลาเค่นที่เรามาพักถึง 2 คืนแล้วด้วยกัน แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้มีโอกาสมาเดินชมเลย วันนี้จะเดินเลือกดูนาฬิกากันทั้งสองคนคือผมและคุณแม่จ๊ะเอ๋ และหาอะไรทานตอนเย็นๆซึ่งน่าจะเป็นอาหารที่นิยมของสวิสเขา ภูเขาปกคลุมด้วยหิมะด้านหลังนั้นพรุ่งนี้เราจะได้มีโอกาสไปเยือนจริงๆแล้ว


ที่อินเตอร์ลาเค่นมีโรงแรมหลายโรงแรมที่มีอาคารสวยงามตามสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมที่ยังคงอนุรักษ์ไว้


แล้วก็มาถึงร้าน Zryd ร้านขายของที่ระลึกที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองอินเตอร์ลาเค่น เราได้เข้าไปเดินชมของต่างๆซึ่งก็น่ารักดี และได้อุดหนุนน้ำอัดลมซึ่งขายถูกกว่าร้านค้าอื่นๆในย่านนี้ด้วย เจ้าของเป็นสามีภรรยาซึ่งมีอายุแล้ว จากบทสนทนาทำให้ทราบว่าเจ้าของเคยมาเที่ยวเมืองไทยถึง 3 ครั้งด้วยกัน ชอบจังหวัดแถบเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่เหมือนชาวสวิสคนอื่นๆที่เคยมาเที่ยวเมืองไทย แล้วยังบอกว่าคนไทยเป็นแขกที่ดีสำหรับเมืองนี้อีกด้วย


การมาลองทานอาหารฝรั่งแบบดั้งเดิมของที่นี่ดูจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากฟองดูว์ เพราะเห็นมีอยู่เยอะมาก เลยเข้าไปลองซะหน่อย แต่เห็นราคาแล้วก็แทบจะไม่อยากลองเลยเพราะแพงมากๆ คนละ 23 CHF แต่เวลาสั่งต้องสั่งอย่างน้อย 2 คนซึ่งนั่นก็หมายความว่าราคาอย่างต่ำ 46 CHF หรือเกือบๆ 1500 บาท แถมมาเสริฟแล้วทานไปได้ไม่กี่ก้อนของขนมปังทุกคนก็ออกอาการเลี่ยนซะแล้ว เลยหยุดทาน เก็บขนมปังไปแทน เสียดายเงินจริงๆ

เลยอยากจะฝากมาบอกว่า ใครที่มาที่นี่ไม่จำเป็นต้องลองทานฟองดูอย่างที่หนังสือท่องเที่ยวหลายๆเล่มแนะนำหรอกนะครับ เพราะมันไม่อร่อยเลย มันก็คือชีสกวนผสมกับไวน์ลงไปแค่นั้นเอง เสียดายเงินเปล่าๆครับ


ก่อนกลับก็เดินหาเจ้าวัวทะลุตึกกันจ้าละหวั่น กลัวจะมาที่นี่แล้วไม่เจอซึ่งถือว่ามาไม่ถึงจะต้องแย่แน่เลย แต่สุดท้ายก็เจอจนได้ แปลกจริงๆเลยคนคิด  สงสารวัวมันออก


ก่อนกลับที่พักเจอตำรวจขี่ม้ามาตอนดึกๆ ตกใจกันหมดเพราะกุบกับๆของฝีเท้ามัน

วันนี้ขอไปนอนเอาแรงก่อน พรุ่งนี้จะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นรถไปยุ้งฟราว ท็อปออฟยุโรป สวัสดีครับ

Original Published on http://www.pantip.com at [ วันต่อต้านยาเสพติดโลก 03:00:59 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น