วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 5 Jungfraujoch - Top of Europe...Day [4:11]


วันนี้เป็นวันที่สี่ของทริปสวิสเรา เมื่อวานได้ไปเที่ยวเมืองเก่าอย่างโลซานและเมืองชายทะเลสาบบรรยากาศดีๆอย่างม็องเทรอซ์ พร้อมๆกับไปเยี่ยมชมปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์อย่างปราสาทชิยองก็เป็นอันประทับใจทุกคนกันไปสำหรับเมื่อวาน แต่สำหรับวันนี้เราจะไปหาหิมะกัน ขึ้นไปด้านบนเขาสูงๆอย่าง Jungfraujoch สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นยอดเขาที่สูงสุดในยุโรปซึ่งไม่ใช่ ยอดเขาที่สูงสุดยังคงเป็นมองต์บลังค์ถ้าจำไม่ผิด

หลังจากที่รอลุ้นมาหลายวันว่าเมื่อไหร่อากาศจะเคลียร์ใสซะที วันนี้ก็ได้ฤกษ์กันแล้วแต่ตอนเช้ามืดที่ต้องตื่นไปขึ้นรถไฟก็ใจไม่ค่อยดีเหมือนกัน กลัวจะขึ้นไปแล้วฟ้าสลัว ซึ่งก็คงต้องเสียเงินค่าตั๋วฟรี แต่ยังไงซะวันนี้เราจะต้องขึ้นไปให้ได้

แพลนของเรานั้น จะขึ้นยุงฟราวทางกรินเดลวาลด์ซึ่งจะเป็นสถานีสุดท้ายที่รถไฟธรรมดาจะพาเราไปถึงแบบสามารถใช้สวิสพาสได้ แต่ต่อจากนี้ไปเราจะต้องเสียเงินค่าตั๋วเพื่อขึ้นยุงฟราวเองแล้ว ซึ่งสวิสพาสก็สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ พอขึ้นไปถึงด้านบนเราจะใช้เวลา 3-4 ชม. ให้หนำใจแล้วจะลงมาช่วงเที่ยงโดยขาลงจะเลือกลงอีกเส้นทางคือทาง Lauterbrunnen เพื่อต่อกระเช้าและขึ้นรถรางไป Murren ต่อจากนั้นก็เดินเล่นลงมาจากไหล่เขาซึ่งใครๆว่าเป็นทางเดินที่สวยงามตามชนบทของสวิส เดินมาจนถึง Gimmelwald(คนละที่กับสถานีที่ขึ้นมาตอนแรกนะครับ) แล้วลงจากเขามาด้วยกระเช้าจนถึง Stechelberg แล้วต่อรถเมล์เพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ Lauterbrunnen อีกครั้ง แล้วก็นั่งรถไฟกลับเมืองอินเตอร์ลาเค่นต่อไป

==========
Today plan(4) : Interlaken --> Grindelwald --> Jungfraujoch - Top of Europe --> Lauterbrunnen --> Murren --> Gimmelwald --> Stechelberg --> Lauterbrunnen --> Interlaken


วันนี้เราตื่นเช้าสุดมากกว่าวันไหนๆของที่ผ่านมาในสวิสเนื่องจากต้องการที่จะขึ้นไปบนเขายุงฟราวตอนเช้าสุดเที่ยวแรกและใช้เวลาบนนั้นนานๆ และอีกเหตุผลหนึ่งคือเราต้องเดินเท้าจากที่พักที่อยู่แถบอินเตอร์ลาเค่นเวสท์ไปขึ้นรถไฟที่สถานีอินเตอร์ลาเค่นออสท์ ที่อยู่ห่างไปประมาณ 15 นาทีในการเดินเท้า

รถไฟขบวนแรกของวันที่มีจุดหมายปลายทางคือกรินเดลวาลด์ออกจากสถานีอินเตอร์ลาเค่นออสท์เวลา 6.04 น. อากาศของเช้าวันนี้เย็นใช้ได้ทีเดียว แต่อีกไม่นานอุณหภูมิคงลงไปมากกว่านี้แน่ๆ


 พอขึ้นรถไฟได้ เราเลือกที่นั่งตามสะดวก เวลานี้ว่างเนื่องจากเป็นต้นสาย ที่นั่งด้านติดข้างหน้าต่างจะมีแผนที่บอกเส้นทางเพื่อไปถึงยุงฟราว สังเกตจากเส้นสีเหลืองที่เริ่มต้นที่ Interlaken-Ost จะมีทางแยก 2 ทางเพื่อขึ้นไปยังยุงฟราว


ระหว่างทางก็ผ่านวิวเทือกเขามากมาย และบางจุดก็จะเห็นกับน้ำตกแทรกอยู่ระหว่างหน้าผาตามเทือกเขาเหล่านั้น ตามไปด้วย น้ำตกเหล่านี้คงมีแหล่งน้ำที่มาจากหิมะด้านบนละลายแน่ๆ


มาถึงที่กรินเดลวาลด์ยังไม่เจ็ดโมงเช้าก็ต้องเดินเข้าไปยังสถานีขายตั๋วเพื่อซ์อตั๋วขึ้นยุงฟราว ซึ่งสวิสพาสจะได้รับส่วนลดถึง 25% ของราคาเต็ม เบ็ดเสร็จแล้วเราเสียไปคนละ 106.5 CHF ซึ่งแพงเอามากๆทีเดียว แต่ไม่เป็นไร ครั้งหนึ่งในชีวิต คงไม่ได้ขึ้นมาด้านบนนี้อีกแล้ว

รถไฟมาพอดี เราไปขึ้นกันดีกว่า ปลายทางยังไม่ใช่ยุงฟราวแต่จะเป็น Kleine Scheidegg ซึ่งจะต้องเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนที่สถานีนี้


บนรถไฟขบวนนี้คนก็เยอะพอควรเลยทีเดียว คงคิดเหมือนๆกันที่จะใช้เวลาบนยุงฟราวให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอีกอย่างเช้าๆแสงแดดยังไม่แรงนัก


ไม่นานรถไฟก็พาเรามาถึงสถานี Kleine Scheidegg เปลี่ยนรถไฟอีกขบวนเพื่อขึ้นไปยังยุงฟราว


วิวระหว่างทางสวยงามขึ้นเรื่อยๆ


สถานีแรกที่เขาหยุดให้ชมวิวประมาณ 5 นาทีคือ Eigerwand ช่วงนี้รถไฟแล่นอยู่ในเขาแล้ว


หลังจากชมวิวแบบด่วนๆเสร็จก็ขึ้นรถไฟต่อ กลัวจะตกรถไฟ ไม่นานก็มาถึงสถานีที่สอง Eismeer ซึ่งอยู่สูงถึง 3160 m. จากระดับน้ำทะเล


วิวเทือกเขาที่อยู่ข้างนอกแต่ละสถานีทั้งสองที่เขาจัดให้จะสามารถมองผ่านหน้าต่างกระจกซึ่งก็ไม่ได้ใสสักเท่าไหร่แบบบานนี้


ในที่สุดรถไฟไต่เขาก็พาเรามาถึงยัง Jungfraujoch ที่นี่จะเป็นห้องโถงชั้น 1 ซึ่งจะมีอยู่ 4 ชั้นด้วยกัน อากาศภายในนี้อุ่นแต่ถ้าออกไปด้านนอกแล้วก็จะหนาวขึ้นมาทันที


เราขึ้นไปด้านบนซึ่งจะมีทางออกไปสู่ Plateau คราวนี้ได้สัมผัสกับหิมะกันจริงๆซะทีแล้ว น่าตื่นเต้นจริงๆ


ไม่น่าเชื่อว่าขณะนี้ บน Plateau มีเพียงไม่ถึง 5 คนที่เดินออกมาสัมผัสกับอากาศหนาวด้านนอก หรือยังเช้าอยู่ก็ไม่ทราบ


เสาที่เป็นโลหะไม่แน่ใจว่าเป็นอุปกรณ์วัดสภาพอากาศ หรืออุณหภูมิ หรืออะไรสักอย่างแน่ๆ


มองกลับไปที่วิวอาคารชั้น 1 เมื่อเราขึ้นมาครั้งแรก


ขอเชิญมาสัมผัสกับสวรรค์บนผืนดิน ณ ยุงฟราวยอช ค่ะ


เสียดายขณะที่มาเยือน ธงสวิสที่ปักไว้ยังไม่ปลิวไสวเนื่องจากยังไม่มีลมพัดผ่านมาแต่อย่างใด บนนี้เป็นของเราแต่ผู้เดียว


เสร็จจาก Plateau เราก็เดินลงมาที่ Ice Palace ซึ่งทางเข้าเป็นทางเดินยาวๆปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งใสๆ เวลาเดินก็ระวังนิดนึง ไม่งั้นอาจลื่นได้โดยเฉพาะช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ เพราะความร้อนของคนเราจะไปละลายน้ำแข็งที่พื้นอยู่บ้าง


ภายในจะมีน้ำแข็งแกะสลักเป็นรูปสัตว์อยู่หลายชนิดทั้งนกอินทรี หมี และอื่นๆ  ตรงจุดนี้เป็นน้ำแข็งแกะสลักหมี 2 แม่ลูก สงสัยคงหนาวน่าดูเลย


ผมมาสนใจเจ้าตุ๊กตาหนูมิ๊กกี้เม้าส์นี่สิ สงสารที่โดนขังอยู่ในน้ำแข็งออกไปไหนไม่ได้ ฮือๆ


แล้วเราก็ไปต่อที่ Sphinx Viewpoint ตรงทางเข้านี้บ่งบอกว่าเราอยู่สูงที่สุดของทวีปยุโรปแล้วครับ ตอนปี 48 ผมก็ได้เคยยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแล้ว สูงกว่าตรงนี้ด้วยซ้ำ แถมต้องเดินด้วยลำแข้งตัวเองด้วย แวะไปชมกันได้ครับ


แล้วเราก็ออกไปข้างนอกของ Sphinx Viewpoint เพื่อชมวิวสวยๆ ณ จุดที่สูงที่สุดของยุโรป


มีอาคารที่ด้านบนเป็นรูปครึ่งทรงกลมที่เห็นจนชินตาจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นี่ไปแล้ว


ลองใช้เทเลส่องดูเขาทำกิจกรรมด้านล่างดูซิ เดี๋ยวเราก็จะตามลงไปด้านล่างด้วยแล้ว


เราลงลิฟท์จาก Sphinx Viewpoint เพื่อมาด้านล่างและเดินออกไปยังทางออกสู่ Glacier


ที่นี่เราจะได้ทำกิจกรรมที่เราตั้งใจว่าจะมาเล่น นั่นก็คือ Snow Disk น่าแปลกใจที่เล่นฟรีแต่เราต้องจ่ายเงิน 5 CHF เพื่อมัดจำเจ้าแผ่นสกีพลาสติกนี้ก่อน เล่นจนหนำใจก็ค่อยมาคืนแล้วจะได้เงินคืนกลับไป ฮ่าๆๆ ฟรีอย่างนี้ก็ไม่พลาดสิครับ เล่นกันทั้งสามคนเลย สนุกจริงๆ อิอิ


ขากลับก็เดินหอบกันแฮ่อๆ ละครับ อิอิ

และที่นี่นี่เองที่ทำให้เราได้พบตัวเป็นๆของเจ้าของหนังสือ "เที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วท่องสวิตเซอร์แลนด์" คุณมดเอ็กซ์นั่นเอง พอดีเธอพากรุ๊ปทัวร์มาเที่ยวที่นี่พอดีเลยได้คุยเล็กน้อยพร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกัน


อยู่บนนี้จนหนำใจก็ได้เวลากลับลงมาซะที เราออกจากยุงฟราวประมาณเที่ยงตรง นั่งรถไฟมาเปลี่ยนขบวนอีกครั้งที่ Kleine Scheidegg ที่นี่นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะแล้ว เห็นออกมานั่งทานกาแฟกันนอกร้านกันเพียบเลย


และระหว่างรอขบวนรถไฟ เราได้เห็นเจ้าหมาตัวใหญ่ๆตัวนี้รออยู่ข้างทางรถไฟเหมือนกันมีอุปกรณ์และยาอยู่ในกล่องรูปถังเบียร์คล้องคอมันอยู่ เหมือนกับที่เราเคยเห็นในหนังสวิสทั่วๆไปที่มีหน้าที่ปฐมพยาบาลคนป่วย 

ต่อจากนี้เราจะนั่งรถไฟไปลง Lauterbrunnen กันครับ


แม้ว่าจะนั่งรถไฟลงมาสะดวกแสนสบาย แต่สำหรับบางคนหรือหลายๆคนที่มีเวลา เลือกที่จะเดินเล่นสบายๆลงไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก อากาศก็เย็นสบาย วิวทิวทัศน์ก็สวยงามดั่งสวรรค์ เสียดายที่เราไม่มีเวลามากเช่นนั้น ไม่งั้นคงทำแบบคนทั้งสองที่กำลังเดินเล่นกันแล้ว


วิวสวยงามดั่งภาพฝันที่เราสามารถมองออกไปเพียงจากที่นั่งบนรถไฟเท่านั้น รู้สึกดีที่เราได้มาเห็นด้วยกัน


บ้านหลังน้อยๆ ริมทางรถไฟ ใครได้มาเป็นเจ้าของคงไม่อยากที่จะย้ายไปไหนแม้ว่าจะอยู่ข้างทางรถไฟแบบนี้ก็ตาม


กลับมาชมบรรยากาศภายในรถไฟกันบ้าง เจ้าเด็กตัวน้อยกำลังเล่นซนกับเสื้อแจ็คเก็ตตัวเองที่เรียกร้องความสนใจจากพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ


เริ่มไต่ระดับลงเรื่อยๆ ภูเขาก็จะไม่ค่อยมีหิมะมาแซมแล้ว จะเหลือแต่สีเขียวๆของหญ้าที่ขึ้นปกคลุมแทน


รถไฟขบวนเราจอดหยุดรอที่สถานีเล็กๆ อีกครั้งเพื่อรอขบวนสีเขียวที่กำลังแล่นสวนขึ้นมานั่นเอง


ยอดเขาอะไรไม่ทราบได้ แต่เห็นรูปร่างแปลกๆมาแต่ไกล


วิวสองข้างทางระหว่างลงมาจากยุงฟราวในเส้น Lauterbrunnen นี้ช่างสวยงามและเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้นานาพรรณ เห็นแค่นี้คงยังไม่เท่าได้มาเห็นด้วยสองตาจริงๆ


และรถไฟก็มาจอดรออีกขบวนหนึ่งอีกครั้งที่สถานีเล็กๆ ก่อนจะออกเดินทางต่อโดยสถานีต่อไปคือ สถานี Lauterbrunnen


เกือบๆบ่ายสองโมง เราก็มาถึงยังสถานี Lauterbrunnen เราลงที่สถานีนี้เพื่อนั่งกระเช้าและต่อรถรางไปยังเมือง Murren


มาถึงที่สถานีกระเช้าแล้วครับ แต่หาสถานีกระเช้าอยู่ตั้งนาน ตอนแรกข้อมูลที่ได้มาคือรถรางเลยไม่ค่อยแน่ใจแม้ว่ามาถึงที่สถานีแล้วก็ตาม เลยเสียโอกาสพลาดเที่ยวที่มาถึงพอดี


แต่ไม่เป็นไร อีกประมาณ 20 นาทีก็มีกระเช้าอีกเที่ยวมาถึง เราเลยขึ้นกระเช้าไปกัน กระเช้าที่นี่ใหญ่มากกก จุได้หลายๆคนพร้อมกับจักรยานด้วย เยอะจริงๆเชียว


แล้วก็ได้เวลากระเช้าขึ้นสู่ที่สูงแล้ว มองลงไปเสียวชะมัดเลยแฮะ


พอลงจากกระเช้าก็ต้องสอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่าถึง Murren หรือยัง เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่าให้ขึ้นรถราง BLM นี้ไป เพราะจะพาไป Murren 

เป็นอันว่า ถ้าใครจะไป Murren และนั่งกระเช้าจากสถานีกระเช้าใกล้ๆ สถานีรถไฟ Lauterbrunnen จะต้องลงจากกระเช้าเมื่อถึงด้านบนและนั่งรถราง BLM ต่อไปจนสุดสายถึงจะถึงเมือง Murren ตามที่ต้องการ จะลงเพียงสถานีกระเช้าด้านบนยังไม่ได้เพราะยังไม่ถึง


วิวที่มองออกไปจากรถราง ณ เส้นทางนี้ก็ยังคงเป็นเส้นทางที่สวยงามอีกเช่นเคย


คนในบ้านหลังนี้คงมีความสุขน่าอิจฉาทีเดียว


แล้วเราก็มาถึง Murren เมืองบนเขาที่บรรยากาศสวยงาม แต่เต็มไปด้วยความคึกคักของเหล่านักท่องเที่ยวที่นิยมมาเดิน trekking กัน เนื่องจากอากาศเย็นสบาย และไม่มีรถยนต์ที่สามารถขึ้นมาถึงได้ เดินไปไหนต่อไหนก็ได้ตามสบายตราบเท่าเท้ายังมีแรงเดิน


เราอ่านป้ายบอกทางและดูว่าป้ายไหนที่ชี้ไปตามเส้นทางที่ไปเมือง Gimmelwald โดยสังเกตไม่ยากเพราะเส้นทางเดินก็เป็นเส้นเมนหลักตามถนนที่เห็นนั่นเอง หรือไม่ก็ดูนักท่องเที่ยวที่เดินสวนมาก็ได้ เพราะเขาเหล่านั้นก็เดินมาเส้นนี้เช่นกัน


ระหว่างทางก็จะเจอกับการเล่นหมากรุกแบบชาวสวิสที่ขนาดใหญ่จนผู้เล่นต้องยกตัวหมากเพื่อขยับเดินไปแต่ละตา


บ้านเรือนจะเป็นแบบชาเล่ต์ หรือรีสอร์ทสวยงามตามแบบที่เราๆเคยเห็นในรูปภาพต่างๆ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ชอบบ้านสวิสอย่างก็ตรงที่ทุกหน้าต่างจะมีกระถางดอกไม้ปลูกดอกไม้สีสดๆสวยๆเอาไว้ทุกบานทุกเรือน


เป็นอีกโรงแรมที่รองรับนักท่องเที่ยวที่มาพำนักที่เมืองนี้


เดินมาเหนื่อยๆก็ขอนั่งพักซะบ้าง ไม่ต้องรีบร้อนอะไรสำหรับวันนี้ ถ้าหลงก็ให้หาป้ายที่ชี้ไปทาง Gimmelwald ได้เลย ....

น่าเสียดาย ที่กล้องผมแบตหมดไปซะ สงสัยโดนอากาศเย็นมากๆ แบ็ตหมดเร็ว แบ็ตสำรองก็ชาร์จอยู่ที่ห้องพัก เลยหมดรูปของผมในวันนี้เพียงเท่านี้ แต่ผมมีรูปจากกล้องอีกตัวจากจ๊ะเอ๋มาแจมครับ


เราเดินต่อไปทางป้าย Gimmelwald โดนทางเดินจะเป็นทางลงเขานิดๆ แหงนมองเห็นกระเช้าอยู่ด้านบนศรีษะ ต้องหาสถานีด้านบนซะแล้ว


ระหว่างทางมีแกะให้เราชมเพลินๆ


เดินมาอีกหน่อยก็เป็นวัวครับ กำลังเล็มหญ้าอ่อนอยู่


ดอกไม้อะไรเนี่ย กลมๆ สวยดีจัง


แล้วสักพักเราก็เจอสถานีกระเช้าเพื่อลงไปด้านล่างครับ เราเข้าคิวพ่อต่อกระเช้าลงไป ครั้งนี้คิวเยอะเลย แต่เป็นทางเดียวที่จะต้องลงไป วิวก็หวาดเสียวแบบที่เห็น ผมสงสัยนะ ชาวสวิสเขาเห็นทางเป็นเขาอยู่สูงเขาก็สร้างกระเช้าขึ้นไป ทำไมชาวบ้านเขาไม่ประท้วงกันหล่ะครับ ถ้ามาสร้างในไทยนี่ไม่ได้เด็ดขาด โดยแน่ๆ ความคิดคนของประเทศที่เจริญแล้วกับประเทศกำลังพัฒนานี่สวนทางกันจริงๆ

พอลงมาจากกระเช้าเสร็จ ก็จะถึง Stechelberg แล้ว ที่นี่เราจะต่อรถบัสเพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ Lauterbrunnen อีกครั้ง แล้วนั่งรถไฟกลับ Interlaken ต่อไป


มาถึงอินเตอร์ลาเค่นเราก็มองหาร้านอาหารกันเลย ได้ร้านนี้ครับ เงียบๆ Pizzeria Mercato ขายพวกพิซซ่าและสปาเก็ตตี้


เข้ามาข้างในร้าน รู้สึกเราจะเป็นลูกค้ารายแรกนะ


สั่งทานด้วยกันเป็นสปาเก๊ตตี้แฮม


และพิซซ่าอบด้วยเตาถ่าน รสชาติก็อร่อยดีครับ ราคารวมจำไม่ได้แล้ว แต่ไม่ถูกแน่นอน 555

สำหรับวันนี้ขอจบการเดินทางเพียงเท่านี้ ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาชมรูป และขอบคุณที่อุตส่าห์เสียเวลาลงชื่อนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

Original Published on http://www.pantip.com on [ 30 มิ.ย. 51 23:24:09 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น