วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 6 เยือนเมืองน่ารัก Stein am Rhein ก่อนกลับมาล่องทะเลสาบเบรียนซ์ ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์...day [5:12]


วันนี้เป็นวันที่ห้าของสวิสทริป วันนี้มีเวลาว่างฟรีๆแบบยังไม่มีโปรแกรมเนื่องจากเรานำโปรแกรมไปใช้ในวันแรกที่เปลี่ยนเวลามาถึงตอนเช้าแล้ว ดังนั้นจึงเล็งๆกันว่าจะไปไหนดี ในที่สุดก็ตัดสินใจไป Stein am Rhein และ Schaffhausen เมืองที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Stein am Rhein เมืองที่ได้ยินมาว่ามีภาพเพ้นท์ตามผนังอาคารที่สวยงามมากๆ เมืองเล็กๆไม่ใหญ่แต่น่ารักแถมยังมีร้านเครปสไตล์ฝรั่งเศสหลากหลายไส้มายั่วน้ำลายให้พวกเราอีกด้วยนี่สิ...จะพลาดได้ไง และใกล้ๆกันก็คือ Schaffhausen เมืองที่มีน้ำตกไรน์ น้ำตกที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในยุโรปและมีป้อมปราการ Munot ป้อมคู่เมืองสมัยเก่าของเมืองเก่าแห่งนี้ แต่ก็ต้องมาลุ้นในโปรแกรมขากลับว่าจะมาทันล่องเรือที่ทะเลสาบเบรียนซ์ทันหรือไม่เพราะใช้เวลาไปและกลับจากอินเตอร์ลาเค่นไม่น้อยทีเดียว ตามมาเที่ยวแบบลุ้นไปด้วยละกันครับ

==========
Today plan(5) : Interlaken --> Stein am Rhein --> Schaffhausen --> Lake Brienz --> Interlaken


วันนี้เริ่มเดินทางประมาณเจ็ดนาฬิกา ไม่เช้ามากไปนักเหมือนเมื่อวาน จากสถานี Int. West ก็ต้องไปลงที่สถานี Zurich HB แล้วต่อไปสถานี Winterthur เพื่อรอขบวนรถไฟไป Stein am Rhein อีกครั้ง คราวนี้ได้ลองเจ้า THURBO ใหม่ สะอาด สีสันสดใสทีเดียว


สีสดๆแบบนี้ไม่รู้ทำไว้เอาใจคุณหนูๆหรือเปล่า ภายในกว้างขวางโล่งสบาย คนขึ้นไม่เยอะ แทบจะเรียกว่าไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ


รถไฟค่อยๆแล่นผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจีซึ่งเห็นวิวภาพรถทางการเกษตรแล้วก็ให้อยากย้ายมาอยู่ที่นี่ซะจริงๆ


เจ้าวัวหลากสีไม่ว่าจะสีน้ำตาล สีขาวดำ ด่างๆ หรือสีดำต่างก็แอบนอนอู้บนหญ้าอันนุ่มๆ หรือไม่บางตัวก็แทะเล็มหญ้าตามประสามันอย่างเพลินใจ


สักพักเราก็มาถึงสถานีเมือง Stein am Rhein


เราลงจากรถไฟแล้วเดินมาตามถนนหน้าสถานีแล้วข้ามถนนเดินไปตามทาง ใกล้ชิดกับดอกไม้


ไม่นานก็เลี้ยวขวาแล้วจะเจอกับสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ เดินข้ามไปเลยครับ


วิวบ้านเมืองที่อยู่ริมน้ำสวยงามจริงๆ แถมยังไม่อึกทึกเหมือนๆเมืองใหญ่ๆด้วย


อีกฝั่งนึง ฝั่งที่ยังไม่ได้ข้ามไป


เรายังคงเดินละเลียดเก็บบรรยากาศสองฝั่งสะพานและสองฝั่งแม่น้ำไรน์ไปอย่างช้าๆไม่เร่งรีบนัก


ณ เวลานี้เป็นจังหวะพอดีกับเรือที่ล่องแม่น้ำไรน์ผ่านมา เราเองคงได้แต่มาเดินเล่นที่เมืองนี้คงไม่มีเวลาทันที่จะล่องแม่น้ำไรน์จากที่นี่ไป Schaffhausen แน่นอน เลยมองดูแบบเฉยๆ


เดินไปเจอกับตึกที่มีภาพจิตกรรมสวยงามมากๆ อดไม่ได้ที่จะต้องเก็บภาพไว้


พอข้ามสะพานมาเสร็จก็เดินตรงไปอีกเล็กน้อยแล้วเลี้ยวซ้าย คราวนี้แหล่ะก็ถึงสถานที่ที่เรารอคอยกัน บริเวณนี้จะไม่ให้รถเข้ามาแล่นผ่าน ดังนั้นสามารถเดินชมเมืองน่ารักๆแบบนี้ได้ตามสบาย


ทันทีที่ได้เดินเข้ามาก็เหมือนกับมีอะไรแปลกๆใหม่ๆรายล้อมเรา ภาพเพ้นท์บนผนังตึกหลากสีสัน หลากลวดลายไม่เคยเห็นแบบเยอะอย่างนี้ในสวิสมาก่อน ต้องยกนิ้วให้สำหรับชาวเมืองนี้เลยครับ  แถมยังมีพ่วงด้วยโต๊ะอาหารที่สีผ้าคลุมโต๊ะไม่เหมือนกันจากร้านค้าที่นำมาตั้งไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ด้วยแล้ว เข้ากันได้ดีจริงๆ


มาดูใกล้ๆกันว่าร้านนี้มีลวดลายเป็นรูปอะไรบ้าง จะเห็นรูปวัวและชาวสวิสทั้งชายและหญิงกับเครื่องแต่งกายสมัยก่อน


มองย้อนกลับไปยังอาคารที่อยู่ตรงกลางปากทางเข้าบ้าง สวยงามไม่แพ้กัน


เดินไปอีกหน่อยก็เจอโรงแรมแล้ว โลโก้ที่ทำก็น่ารักดีเป็นรูปพระอาทิตย์กำลังเปล่งแสงอยู่เชียว


ภาพที่เพ้นท์บนผนังอาคารก็เป็นเรื่องราวที่บอกอดีตได้เป็นอย่างดี สีที่ใช้ก็คงจะเป็นสีที่แห้งและคงทนกับผนังเป็นหลายๆปีทีเดียว


เมืองนี้ก็ยังไม่ขาดน้ำพุที่เป็นสัญลักษณ์ของสวิสอีกด้วย ใครน้ำดื่มหมดก็มารองที่นี่ได้ครับ


เอ๊ะ....ได้ยินเสียงดนตรีแบบชาวสวิสมาแต่ไกล นั่นไงเจ้าของเสียงดนตรีนั่นเอง เป็นคุณลุงที่มาเล่นเครื่องเล่นให้ฟังครับ ไม่แน่ใจว่าเครื่องดนตรีนี้เรียกว่าอะไร


Stein am Rhein เป็นเมืองที่เงียบสงบ คนไม่เยอะเท่าไหร่ อากาศก็กำลังดี ได้อากาศเย็นๆเนื่องจากติดแม่น้ำก็เลยน่าอยู่เป็นสองเท่า แถมมีดอกไม้สวยๆแบบนี้ให้ชื่นชมเวลาเดินก็เพลินจนลืมเวลาเลยนะเนี่ย


ได้เวลามาลองทานเครปแบบฝรั่งเศสตามตำราท่องสวิสแล้วครับ ชื่อร้านคือ Le p'tite Creperie Cafe&Bazar สังเกตร้านไม่ยากเลยเพราะอยู่ริมทางเดิน มีตุ๊กตาเด็กน้อยชายหญิงยืนหันหลังอยู่ก็ใช่เลย


ขออนุญาตคนขายเข้าไปบันทึกภาพก็ได้รับอนุญาตอย่างเป็นกันเอง เขาบอกว่าใช้เวลาไม่นานมากนักต่อเครปหนึ่งชิ้น ไม่ถึง 10 นาที ถ้ากะทะร้อนแล้วก็ยิ่งเร็วเลย


เราสั่ง 3 ไส้คือ ผักโขมในจานที่เห็นกับช็อคโกแล็ต 3 รส อร่อยทั้งคู่เลย เรียกได้ว่า มาเมืองนี้แล้วไม่มาทานเครปที่นี่แล้วผมว่ามาไม่ถึงนะครับเนี่ย อร่อยต้องลองจริงๆครับ


เนื่องจากดูตารางเรือล่องแม่น้ำไรน์แล้ว เราคงไปไม่ทันเรือที่จะไปเมือง Schaffhausen แน่หรือไม่ถ้ารอเรือก็จะทำให้เสียเวลาไปที่อื่นอีก เลยเปลี่ยนแผนกลับไปนั่งรถไฟตามเดิมแต่ดูแล้วยังพอมีเวลาเดินเล่นอยู่ เลยขอเดินแบบสบายๆซะก่อน


อ่า....สักพักก็ได้เวลาลาจากเมืองน่ารักแห่งนี้แล้ว ช่างเป็นเมืองที่เล็กและเงียบสงบจริงๆ เดินไม่กี่นาทีก็ครบหมดแล้ว ขอทิ้งท้ายด้วยภาพสุดท้ายก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปยัง Schaffhausen อีกครั้งครับ


เสียดายที่ตอนเดินมาถึงสถานีรถไฟ Stein am Rhein ดันช้าไปเพียง 1-2 นาที ทำให้พลาดเที่ยวรถไป Schaffhausen ซึ่งก็ต้องคอยไปอีกครึ่งชั่วโมงซึ่งเวลาตรงส่วนนี้จะมีค่ามากเมื่อเราต้องต่อรถไฟอีกครั้งแบบเร่งรีบเพื่อให้ทันเที่ยวไปสถานีเบรียนซ์

และแล้วก็มาถึงเมือง Schaffhausen ดูนาฬิกาแล้วคงไม่สามารถที่จะนั่งรถเมล์อีกต่อเพื่อไปดูน้ำตกไรน์ได้ เราจึงขอแค่เพียงเดินแบบรีบๆเพื่อไปที่ป้อมปราการ Munot ซึ่งอยู่ในตัวเมืองแทนดีกว่า ก่อนจะเดินไปที่ป้อมฯก็ขอถ่ายรูปน้ำพุที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเดินภายในเมืองกันซะก่อน


มาชมน้ำพุในเมือง Schaffhausen กันอีกจุดนึงครับ ขนาดว่ารีบแล้วยังจะมีเวลาถ่ายน้ำพุอีกนะเนี่ย


ในที่สุดหลังจากเดินหาป้อมปราการ Munot อย่างเร่งด่วนก็มองเห็นปลายยอดป้อมฯอยู่ไกลๆจึงเดินไปตามทางเรื่อยๆ คราวนี้ต้องแข่งกับเวลาแล้วครับ เพราะรถไฟที่จะกลับไป Winterthur นั้นจะออกภายในไม่ถึง 20 นาที ถ้าพลาดขบวนนี้แล้วจะต้องรออีกเป็นครึ่งชั่วโมงเหมือนกัน จากการคำนวณเวลาไปถึงสถานีเบรียซ์คงไม่ทันเรือออกล่องทะเลสาบดังที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นครั้งนี้จึงขอแค่ไปถึงบันไดป้อมฯแล้วถ่ายรูปมาก็เพียงพอแล้ว พวกเราคิดอย่างนั้น ในที่สุดก็มาถึงจนได้ เดินขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวมาไม่กี่ขั้นก็เจอป้อมปราการ Munot


เราเองคงทำได้เพียงเท่านี้ เก็บภาพป้อมปราการสมัยเก่าของเมือง Schaffhausen ที่มีชื่อว่า Munot จากระยะที่เราสามารถมองเห็นได้ ไม่มีเวลาพอที่จะเดินขึ้นไป แล้วไปชมวิวด้านบนป้อมที่สามารถมองลงมาเห็นเมืองทั้งเมืองกับแม่น้ำไรน์ที่ทอดยาวกลางเมือง พร้อมๆกับปืนใหญ่ที่ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่บนป้อม แต่ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ถือว่าโอเคสำหรับเราแล้ว เลยทำให้คิดว่าเวลาเพียง 1-2 นาทีที่พลาดขบวนรถไฟจากเมือง Stein am Rhein นั้นมีค่ามากเพียงใดก็คราวนี้นี่เอง


เก็บภาพป้อมปราการเสร็จก็เดินแบบกระหืดกระหอบกลับไปที่สถานีรถไฟ Schaffhausen ตามเดิมเพื่อไปให้ทันรถไฟเที่ยวที่จะไป Winterthur พอหลังจากนั้นก็ต่อรถจาก Winterthur ไปลง Zurich HB และต่อไป Bern และต่ออีกครั้งไป Interlaken Ost เพื่อไปขึ้นรถไฟขบวน Golden Pass เพื่อไปลงที่สถานีรถไฟเบรียนซ์เพื่อที่เราจะได้ไปนั่งเรือล่องทะเลสาบกันที่นี่


 ในที่สุดหลังจากนั่งไปลุ้นไปว่าจะทันกับขบวนรถไฟสาย Golden Pass ที่จะออกจาก Interlaken Ost ไปเบรียนซ์ทันมั้ย ก็ปรากฎว่าทันอย่างฉิวเฉียดซึ่งมีเวลาเปลี่ยนขบวนเพียง 5 นาที(จริงๆแล้วเขาก็จัดตารางเวลารถไฟให้ทันแต่อาจจะดูว่ามันกระชั้นเกินไปเท่านั้นเอง)
ได้เข้ามานั่งรถไฟสาย Golden Pass อีกครั้งแล้ว แต่วิวจะต่างจากครั้งแรกคือเราจะไปเมืองเบรียนซ์กันซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอินเตอร์ลาเค่นไปไม่ไกลมากนัก


วิวทะเลสาบเบรียนซ์ (Brienz) ที่มองออกไปจากรถไฟสาย Golden Pass ตอนนี้มีฝนตกพรำๆมาเล็กน้อย แต่คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด


ฝนพรำๆทำให้บรรยากาศรอบข้างชุ่มชื้นขึ้นมาทันที


วิวบ้านเรือนระหว่างทางจะมองมุมไหนก็สวยไปหมด


ในที่สุดเกือบห้าโมงครึ่งรถไฟก็มาถึงยังเมืองเบรียนซ์ เป็นสถานีรถไฟที่ชิดติดกับทะเลสาบเอามากๆเลยนะเนี่ย


วิวแรกที่เห็นเมื่อเดินลงมาที่สถานีก็คือ......


จากตารางเวลาล่องทะเลสาบ เรือจะออกจากท่าเวลา 18:00 น. ดังนั้นเราจะยังพอมีเวลาถึงครึ่งชั่วโมงที่จะเดินเล่นหรือหาอะไรทาน หรือซื้อไปทานตอนล่องละเลสาบซึ่งจะต้องใช้เวลานานถึงชั่วโมงสิบนาทีด้วยกัน
เจ้าลำนี้แหล่ะ เรือที่จะพาเราล่องไปยังทะเลสาบเบรียนซ์จุดหมายปลายทางที่ท่าเรือ Interlaken Ost


ระหว่างที่เรือยังไม่ออกก็นั่งพักผ่อนฆ่าเวลาที่ม้านั่งสีแดง ณ ท่าเรือเบรียนซ์นี้ก่อนก็ได้


อีกไม่ถึงสิบนาทีเรือก็จะออกแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าอุตส่าห์กลับมาแบบกระหืดกระหอบดันมามาตกเรือนี่สิมันเสียดาย เลยขึ้นไปด้านบนก่อนจะดีกว่า
วิวที่นั่งอาบแดดสวยๆที่อยู่ชั้น 2 ด้านบนซึ่งจะเป็น 1st class แต่ก็ไม่มีคนขึ้นมาแต่อย่างใด แค่ 2nd class ก็เรียกว่าหรูมากๆแล้วครับ


บ้านเรือนของเมืองเบรียนซ์ส่วนใหญ่ก็จะตั้งอยู่รอบๆทะเลสาบเบรียนซ์นี่เองนะครับ


หกโมงตรงเรือก็ค่อยๆแล่นออกจากท่าเรือเบรียนซ์ เสียงเครื่องยนต์ของเรือดังดูน่ากลัวซะเหลือเกิน แต่ก็ค่อยๆจางหายไปกับระลอกคลื่นที่ค่อยๆคลื่นตัวออกไปเรื่อยๆ


ทะเลสาบสีสวยแห่งเมืองเบรียนซ์ ทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์เป็นอย่างนี้นี่เอง


ผ่านน้ำตกข้างๆซึ่งมีชื่อว่า Giessbach


และก็มีบ้านอยู่บนเขาสูงขึ้นไปต่อจากน้ำตก Giessbach ด้วย ถ้าได้ขึ้นไปด้านบนวิวคงสวยน่าดูเลย


วิวแบบนี้สำหรับเราคงไม่ได้มีโอกาสเห็นสักเท่าไหร่ ต้องรีบตักตวงครับ


บ้านไม้ชาเล่ต์กับทะเลสาบสีเทอร์ควอยซ์ช่างงดงามควรคู่กันจริงๆครับ


ระหว่างล่องเรือก็ชมวิวสองข้างทางไปเรื่อย มาล่องทะเลสาบช่วงเย็นๆแบบนี้ผมว่าวิวและอะไรหลายๆอย่างรอบๆตัวเรามันดูเหมือนจะค่อยๆเดินไปช้าๆนะครับ ช่วงนี้รู้สึกว่าชีวิตไม่เร่งรีบอะไรมาก ค่อยๆเป็นไป

ในภาพไม่แน่ใจว่าเป็นโบสถ์หรือสิ่งปลูกสร้างอะไรสักอย่างโดยมีนาฬิกาอยู่รอบๆทั้ง 4 มุมของหอคอย


ตรงเบื้องหน้าเราเป็นเทือกเขาสูง จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากขุนเขาที่พวกเราขึ้นไปเที่ยวมาเมื่อวาน นั่นก็คือยอดเขา Jungfrau และยอดเขาอื่นๆที่มีความสูงลดหลั่นกันมานั่นเอง


โชคดีเหลือเกินก่อนที่เรือเราจะลอดสะพานข้ามทะเลสาบ ได้มีขบวนรถไฟแล่นข้ามสะพานมาพอดี ประจวบเหมาะกับที่กำลังเล็งกล้องอยู่ เลยได้ภาพสะพานข้ามทะเลสาบกับรถไฟที่กำลังข้ามสะพานพอดี


แล้วก็ถึงคิวที่เรือกำลังจะลอดใต้สะพานรถไฟนี้


ประมาณ 1 ทุ่ม 10 นาที เรือก็มาถึงท่าเรือ Interlaken Ost แล้ว เดินขึ้นจากเรือพร้อมๆกับเมฆฝนที่กำลังจะตกลงมาไล่หลังพวกเราพอดี


ไม่นานฝนก็ตกลงมาแต่แบบพรำๆ ไม่ได้หนักอะไรมากนัก เราเลยค่อยๆเดินหลบฝนไป ออกเดินไป คล้ายๆตอนไปเนปาลก็ว่าได้ แต่ก่อนจะจาก Interlaken Ost ขอเก็บภาพศิลปะหรือปฏิมากรรมอะไรสักอย่างที่เป็นเก้าอี้ไม้สีแดงตัวใหญ่ตั้งอยู่หน้าตึกริมทางเดิน


เสื้อกันฝนรีบหยิบออกมาใส่เลยทีเดียว


แล้วเราก็ค่อยๆเดินจาก Int. Ost ผ่านเมืองอินเตอร์ลาเค่นเพื่อไปที่พักที่อยู่ใกล้ๆ Int. West ระหว่างทางจะผ่านกับสวนญี่ปุ่น ซึ่งที่เมืองนี้จะพบเจอชาวเอเชียเยอะมากโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและเกาหลี เลยทำสวนญี่ปุ่นขึ้นมาซะเลย


ก่อนจะถึงที่พักตรงสามแยกถนนที่จะเลี้ยวขวาไป Grindelwald เราได้เห็นรุ้งกินน้ำอีกแล้ว ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองที่ได้เห็นด้วยกันต่อจากครั้งแรกที่ได้เห็นในวันแรกของการเดิน trekking ที่พูนฮิลล์ ประเทศเนปาล อืมมม.....นับว่าแปลกจริงๆเลย ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆแม้ฝนตกลงมาก็ตาม รุ้งกินน้ำครั้งนี้คงเป็นรุ้งกินน้ำครั้งเดียวที่เราจะเห็นในสวิตเซอร์แลนด์แล้วมั้ง แถมยังวงสวยและเห็นชัดเจนอีกด้วย


ขอจบวันด้วยอาหารและเครื่องดื่มแบบง่ายๆ คือโยเกิร์ตและน้ำชามะนาว หรือน้ำแอ๊ปเปิ้ลครับ

เป็นอันว่าวันนี้จบทริปที่วางไว้ไปอีกหนึ่งวันแบบเหนื่อยหน่อย แต่ก็เรียกได้ว่าคุ้มที่ได้ไปเมืองน่ารักๆอย่าง Stein am Rhein ได้ไปชิมเครปฝรั่งเศส ได้ไปชมป้อมปราการ Munot แบบผิวๆ แต่สุดท้ายได้มาล่องเรือที่ทะเลสาบเบรียนซ์แห่งนี้ ทะเลสาบที่สีน้ำสวยแบบเทอร์ควอยซ์ วันนี้ตอนค่ำๆก่อนเข้าที่พักผมและแม่จ๊ะเอ๋ได้ของที่ระลึกจากสวิสไปเป็นของตัวเองนั่นก็คือนาฬิกา หาอยู่หลายร้านสุดท้ายก็ได้ร้านที่ราคาถูกที่สุดและจับจองมาเป็นของตนเองก่อนจะจากเมืองอินเตอร์ลาเค่นแห่งนี้ไปในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เมืองที่บรรยากาศดีมากๆ ถ้าไม่นับเมืองที่อยู่บนเขา แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มมากแล้วสำหรับพวกเราที่มาพักที่เมืองนี้ถึง 5 คืนด้วยกัน

ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาลงชื่อและชมนะครับ วันนี้ต้องลาไปก่อน ไว้มาติดตามต่อในวันรุ่งขึ้น พวกเราจะย้ายที่พักครั้งแรกไปเมืองที่รถที่ใช้เครื่องยนต์ไม่สามารถเข้าไปป้วนเปี้ยนได้(ก่อนมาข้อมูลเขาว่าอย่างนั้น) และเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเล่นสกีกันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ นั่นก็คือ Zermatt สวัสดีครับ

Original Published on http://www.pantip.com at [ 8 ก.ค. 51 18:22:30 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น