วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 2 เปลี่ยนโปรแกรมแทบไม่ทัน เมื่อเครื่องบินจากไทยนั้นมาถึงเร็วขึ้น...Day [1:8]


หลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจเรื่องงานในเย็นวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 51 ผมก็ได้รับ SMS จากคนที่จะบินมาสมทบในไทยว่าจะเลื่อนไฟล์ทเร็วขึ้น โดยเจ้าหน้าที่เขาให้เปลี่ยนจากสายการบินเอมิเรทส์ที่จองไปกลับกรุงเทพ-ซูริค ในราคาเพียง 28,170 บาท เป็นมาขึ้นการบินไทยแทนซึ่งจากเดิมต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบและจะมาถึงสนามบินซูริคอีกครั้งก็บ่ายโมงครึ่ง แต่ถ้ามาการบินไทยก็จะเป็นบินตรงไม่จอดแวะโดยจะมาถึงในตอน 7:30 น. ในเช้าวันเสาร์นี้เลย ผมได้รับข้อความก็งงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมได้มาการบินไทย เลยโทรไปสอบถามเจ้าตัวก็ได้ความว่าไฟล์ทการบินไทยไปซูริคที่นั่งยังว่างเลยได้โควต้ามาทั้งหมด 6 คนจากเอมิเรทส์ ซึ่งทั้งสองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นอันว่าผมต้องรีบเปลี่ยนแผนจากเดิมที่เพียงไปรับที่สนามบินและเดินทางไปที่ Interlaken ด้วยกันก็จะจบหนึ่งวันแล้ว กลายมาเป็นได้เวลาเที่ยวเพิ่มมาอีกถึง 6 ชม. 

ดังนั้น ผมจึงต้องงัดแผนสองคือ วันรุ่งขึ้นไปรับสองคนจากสนามบินซูริคแล้วขึ้นรถไฟที่สถานี Zurich flughafen ไปเที่ยว St. Gallen และ Appenzell ก่อนแล้วจึงกลับที่พักที่จองไว้ที่ Interlaken ทีหลัง แผนเที่ยวที่ได้นี้จึงค่อนข้างที่จะกระทันหันและสดๆร้อนๆจากที่เคยวางแผนไว้เลยก็ว่าได้

==========
Today plan(1) : Zurich --> St. Gallen --> Appenzell --> Interlaken


เช้าวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2551
วันนี้ซึ่งเป็นวันเปิดบอลยูโร 2008 ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ช่วงหัวค่ำ แต่สำคัญกว่านั้นคือผมต้องตื่นแต่เช้าคือประมาณตีห้าครึ่งเพื่อแต่งตัวและเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมที่พักแล้วนั่งรถ Shuttle bus ของโรงแรมไปที่สนามบินซูริคเพื่อไปรับสองคนดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ผู้หญิงสองคนต่างวัยจากกรุงเทพจะบินมาด้วยเครื่องการบินไทย TG970 เวลาลงจอดประมาณ 7:30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ดังนั้นผมคงต้องรีบเก็บข้าวของสัมภาระอันมากโขของตัวเองเพื่อออกจากโรงแรมไปสนามบินให้ทัน ก่อนเช็คเอ้าท์ที่ Courtyard Hotel ขอเก็บภาพน่ารักๆของกระถางต้นไม้ที่ประดับไว้ในล็อบบี้หน่อย ซึ่งทำเป็นรูปรองเท้าฟุตบอลเตรียมต้อนรับมหกรรมฟาดแข้งที่จะเกิดในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้


ไปถึงสนามซูริคหลังเวลาเครื่องบินลงจอดเล็กน้อย หาอยู่ไม่กี่นาทีก็เจอกัน ดังนั้นเราทั้งสามชีวิตเลยเริ่มทริปสวิสอย่างเต็มตัว ณ วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมนำสวิสพาสเซฟเวอร์(SwissPass Saver) ที่เอ๋นำติดตัวมาจากไทยไป Validate ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟที่สถานีรถไฟ Zurich flughafen ข้างๆสนามบินซูริค เสร็จแล้วเป็นอันเริ่มใช้สวิสพาสอย่างเป็นทางการได้


พวกเราเริ่มคลำทางอีกครั้งที่ชานชาลาด้านล่างแต่งงมากไม่รู้สายไหนจะไป St. Gallen งงอยู่สักพักก็มีชายมีอายุชาวสวิสเข้ามาทักและถามว่าจะให้ช่วยอะไรบ้าง พวกเรานี้รู้สึกประทับใจเลย เขายังถามว่าเราคนไทยหรือไม่ ซึ่งเขาเคยไปทำธุรกิจในไทยมาถึง 5 ปี เขาจึงจำคนไทยได้และช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส ผมตอบไปว่าจะไป St. Gallen ซึ่งเขาเองก็บอกไปแถวนั้นด้วยเหมือนกัน เขาเลยนำพวกเราไปยืนคอยที่ชานชลาที่รถไฟจะมาและอยู่ในตำแหน่ง Sector C เพราะเป็นชั้น 2 ระหว่างทางเราได้นั่งด้วยกันก็คุยกันไปด้วย เขาคุยสนุกและบอกชอบประเทศไทยโดยเฉพาะเชียงใหม่ และเชียงราย แต่ตอนนี้กลับมาทำธุรกิจที่สวิสแล้ว (ชายคนขวามือที่กำลังคุยกับแม่จ๊ะเอ๋) ต้องขอขอบคุณในน้ำใจชาวสวิสคนแรกของทริปนี้มากๆครับ


จ๊ะเอ๋ยิ้มใหญ่ ได้เริ่มทริปสวิสแล้ว


เช้าวันนี้รถไฟโล่งเอามากๆ แทบจะไม่มีคนนั่งเลย


ประมาณเก้าโมงครึ่งก็มาถึงเมือง St. Gallen ชาวสวิสที่มาด้วยกันได้ขอตัวลงก่อนจะถึง 2 สถานีแต่ยังมีน้ำใจบอกกับเราว่าเหลืออีก 2 stop ก็จะถึง St. Gallen ลงมาอากาศก็เย็นเลย


อากาศเย็นอย่างนี้ก็คงต้องพึ่งกาแฟสตาร์บัคกันซะหน่อย ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึงมีแต่แพงกับแพงมากเท่านั้น !


ต่อจากนั้นก็เริ่มเดินสำรวจเมือง St. Gallen แบบหลงๆกันแล้ว ที่เห็นข้างหน้าคือที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งใหญ่โตมาก แถมยังมีหอนาฬิกาอยู่ข้างบนอีก


พวกเราเดินออกจากสถานีรถไฟแล้วเลี้ยวไปทางขวาเดินไปตามถนน St. Leonhard strasse เดินไปเรื่อยๆ จะเจอกับโบสถ์ๆหนึ่งที่กำลังทำการปรับปรุงอยู่เสียดายที่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร โอ๊ะโอ....หรือชื่อเดียวกับถนน St. Leonhard หนอ


หลังจากเห็นว่าไม่เจอห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสวิสแล้วก็เลยเดินย้อนกลับมาทางเดิมและถามทางจากตำรวจ


แล้วก็เดินมาเรื่อยๆตรงที่เป็นคล้ายๆสามแยกของถนน มีน้ำพุอยู่ด้านหน้าอาคารหลังใหญ่


หลังจากถามทางกับเจ้าของร้านขายขนมปังถึงทางที่จะไปหมสมุดของเมืองนี้ก็ได้ความว่าให้เดินตรงไปนิดแล้วเลี้ยวขวาไปตามทาง


อ้า...วันนี้วันเสาร์ชาวเมืองเขาก็ออกมาเปิดท้ายขายของเหมือนกับบ้านเราเหมือนกันนะเนี่ย ที่ตลาดนัดมีของหลากหลายชนิดเลย ทั้งอาหาร เสื้อผ้า ของเล่น เกมส์ ฯลฯ


ในที่สุดก็เจอ Abbey of St. Gall ซึ่งเป็นมรดกโลกตามประกาศของ UNESCO เราเข้าไปที่ Cathedral หรือโบสถ์กันครับ ที่นี่ไม่เสียเงิน


ภายในเต็มไปด้วยภาพเขียนที่สมบูรณ์สวยงามมากในยุคสมัยบาร็อค


ภาพเขียนบนเพดานสวยงามมากๆ เกินคำบรรยาย ต้องมาให้เห็นกับตาตัวเอง


ตรงนี้เป็นตู้ไม้เก็บอะไรสักอย่างไม่แน่ใจ มีภาพเขียนบุคคลอยู่ในแต่ละช่อง


ห้องสารภาพบาปที่เราเคยเห็นในหนังฝรั่งหรือเปล่า


ภาพจิตรกรรมบนเพดานโบสถ์นั้นยิ่งใหญ่ยิ่งนัก


เรายังคงใช้เวลาเดินเก็บรายละเอียดที่โบสถ์แห่งนี้อยู่


บางคนถึงกับตะลึงในความอลังการของโบสถ์แห่งนี้


ขอสวดอ้อนวอนพระเจ้าก่อนค่ะ


แหงนมองเพดานโบสถ์ด้านบน ลายวาดสวยมากๆครับ


คุกเข่าขอพรพระเจ้าซะหน่อย


เปลวเทียนยังคงส่องสว่างสำหรับคริสตศาสนิกชนทุกท่าน


ต่อจากนั้นก็เดินออกประตูด้านข้าง


อาคารแถวนี้ก็ยังคงมีการเพ้นท์ลวดลายบนผนัง


ตอนวันที่ไปถึงรู้สึกเขาจะเตรียมงานรื่นเริงในอีกไม่กี่วันที่จะถึง บริเวณนี้เลยกั้นไว้สำหรับซ้อมละครเวทีแนวโอเปร่า ได้ยินเสียงนักร้องโอเปร่าสาวร้องแล้วเพราะมากๆ เสียงสูงจริงๆ


เดินไปเจอตุ๊กตาแอปเปิ้ล ขอเลียนแบบท่าซะหน่อย


เดินไปเดินมาหาตามร้านขายไส้กรอก ในที่สุดก็ได้มาชิมลิ้มลองไส้กรอกเนื้อลูกวัว Bratwurst อันเลื่องชื่อ ราคา 5.5 CHF



เสร็จจากเดินเที่ยวเมือง St. Gallen ก็ได้เวลานั่งรถไฟต่อไปที่ Appenzell แล้ว ขอถ่ายรูปคู่คุณแม่และคุณลูกสาวหน่อยจ้า


รถไฟขบวนสีแดงกำลังไต่ระดับขึ้นเขาพอดี


ระหว่างทางวิวบ้านเรือนแบบชนบทสวิสสวยงามตามที่เคยเห็นในหนังสือต่างๆ


ภาพวิวแบบนี้แหล่ะที่ทำให้ผมนึกถึงเมืองในฝันที่ใครๆอยากที่จะมาเยือนนัก


ใช้เวลาสักพักรถไฟสวิสก็พาเรามาถึงเมือง Appenzell อากาศยิ่งหนาวเย็นเข้าไปกันใหญ่


เดินเข้ามาเจอรูปปั้นแม่หมูและลูกๆหน้าร้านขายของ


เมืองเล็กๆเมืองนี้น่าเดินเที่ยวตามที่ใครๆว่าจริงๆ แต่ตอนวันที่เราไปกับเจอกับผู้คน เด็กวัยรุ่น และรถทั้งมอเตอร์ไซด์และรถเก๋งวิ่งกันไปมาพลุกพล่านมากๆ เห็นแล้วจอแจจริงๆ


บ้านเรือนของเมืองนี้สีสันสดใสงดงามจริงๆ สีตัดกันอย่างชัดเจน


เดินถ่ายอาคารบ้านเรือนไปเรื่อยๆ


ไม่เห็นจะมีบ้านไหนที่สีซ้ำกันสักหลังเลย


สังเกตตุ๊กตาคนแคระทั้งเจ็ดที่วางอยู่ตรงพื้นดิน น่ารักเชียว น่ายกย่องกับการตกแต่งบ้านของชาวเมืองเขาจริงๆครับ


ถึงรูปแบบบ้านจะคล้ายๆกันแต่สีที่ทานั้นก็แตกต่างกัน


บ้านไม้สีแปลกตา


บ้านไม้แบบเก่าที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้อย่างดี


บริเวณโบสถ์และสุสานของชาวเมือง Appenzell


อีกรูปหนึ่งก่อนจะลา Appenzell ไป ยังคงไม่ทิ้งลวดลายสีสันสวยๆงามๆตามผนังอาคารเลย


บ่ายสามกว่าๆก็ได้เวลากลับที่พักที่ Interlaken แล้วครับ หลังจากนี้ไปจะต้องต่อรถไฟกันหลายขบวนทีเดียว


วิวระหว่างทางก่อนถึง St. Gallen

ขากลับนี้เราจะต้องลงที่เมือง St. Gallen อีกครั้งและต่อรถไฟไป Winterthur และจาก Winterthur ต่อรถไฟไป Zurich HB และจาก Zurich HB ต่อรถไฟไปเมือง Bern และต่อรถไฟครั้งสุดท้ายจาก Bern ไปลงที่ Interlaken West จุดปลายทางของเรา


สองทุ่มกว่าๆก็ได้เห็นทะเลสาบทูน(Thun Lake) แล้ว รถไฟจะแล่นช้าลงๆเนื่องจากทางคดเคี้ยวเลียบไปตามทะเลสาบทูน


สองทุ่มครึ่งก็มาถึงสถานี Interlaken West ที่ที่เราจะต้องลงและเดินลากสัมภาระไปเช็คอินที่โฮสเทลที่อยู่ห่างไปประมาณ 10-15 นาทีจากสถานีรถไฟ


หลังจากเดินลากของกันมาอย่างหนักหน่วงก็มาถึง Alplodge Hostel ซึ่งเป็นโฮสเทลที่เราได้จองไว้ตั้งแต่อยู่ในไทย ราคาไม่แพงมากนัก คืนละไม่เกิน 1,300 บาท/คน แต่เพื่อความสะดวกสบายเพราะมีผู้ใหญ่มาด้วย เลยต้องจองห้องแบบ 4 เตียงมีห้องน้ำในตัว โดยต้องจ่ายเพิ่มให้อีก 1 เตียงเพื่อรับประกันว่าได้ห้องแน่ๆ

โดยรวมแล้วสภาพห้องและอื่นๆใช้ได้เลยทีเดียว เตียงน่านอนมั้ย ?


อีกฝั่งด้านข้าง เป็นเตียง 2 ชั้นครับ ผมนอนเตียงล่าง สบายๆ


ห้องน้ำที่สะอาดมีน้ำร้อนน้ำเย็นให้อาบแต่คงไม่มีใครอยากอาบน้ำเย็นเป็นแน่ จะมีข้อเสียก็คงเป็นม่านที่บางเอามากๆ สงสัยอยากให้คนข้างนอกเห็นว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในห้องน้ำ


หน้าต่างห้องที่มองออกไปเห็นวิวน้ำสีเทอร์ควอยซ์จากทะเลสาบทูนและเบรียนซ์ ช่างเป็นวิวที่เหมาะเจาะซะจริงๆเลย สวยงามมากๆครับ


ไม่เชื่อลองมองออกไปดูด้วยกันสิครับว่าวิวสวยขนาดไหน

วันนี้จึงจบลงด้วยมาม่าคัพทั้งสามคน และอีกอย่างอากาศไม่ค่อยจะดีเราเลยสลับโปรแกรมที่เคยแพลนว่าจะขึ้นยุงฟราวในวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ 4 ของทริปนี้แทน ส่วนพรุ่งนี้จะไปเที่ยวเมืองเบิร์น(แบร์น) และลูเซิร์นแทน

ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาติดตามชมนะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่กับเมืองหมี(แต่ไม่ได้ไปดูหมี)ในตอนต่อไปครับ ราตรีสวัสดิ์

Original Published on http://www.pantip.com on [ 18 มิ.ย. 51 02:19:42 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น