วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 3 ช่วงเช้าเที่ยวแบร์น(Bern)เมืองหลวงสวิสที่ถูกลืม ช่วงบ่ายเที่ยวลูเซิร์น(Luzern)...Day [2:9]


วันนี้เป็นวันที่สองของทริปสวิส เมื่อคืนนอนหลับปุ๋ยเนื่องจากเพลียจากการเดินทางที่พอมาถึงก็เริ่มเดินทางเที่ยวสวิสวันแรกกันเลย มาในเช้าวันใหม่นี้เราตื่นแบบไม่รีบเร่งมากนัก เนื่องจากพอสลับเอาวันที่เที่ยวแบร์น(เบิร์น) และลูเซิร์นมาแทนทำให้รถไฟที่จะเดินทางจากอินเตอร์ลาเค่นไปกรุงแบร์นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์นั้นออกประมาณ 8 โมงครึ่งซึ่งยังพอได้พักผ่อนกันยาวนิดนึง

วันนี้ทั้งวันเราจะไปเพียง 2 เมืองเท่านั้นแต่คงจะใช้เวลากับสองเมืองนี้อย่างคุ้มค่าก่อนจะกลับมาค้างคืนที่อินเตอร์ลาเค่นอีกเป็นคืนที่สอง

==========
Today plan(2) : Interlaken --> Bern --> Luzern --> Interlaken


เช้าวันนี้เราออกจากที่พักเช้าตรู่ประมาณ 7 โมงเช้า น้ำดื่มสามารถรองได้จากจุดที่ออกมาจากน้ำพุที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่จำเป็นต้องซื้อดื่มเพราะมีราคาแพงมาก เรารองน้ำจนเต็มขวดพลาสติกที่นำมาด้วยก็ถือเป็นอันเสร็จ


ตื่นมากับเช้าวันใหม่กับสภาพอากาศขมุกขมัว ดีแล้วที่เราเปลี่ยนแผนจากเดิมที่จะขึ้นยุงฟราวในวันนี้เป็นไปขึ้นในวันที่ 4 ของทริปหรือไม่ก็จนกว่าสภาพอากาศจะเคลียร์กว่าที่เป็นอยู่ แต่อากาศอย่างนี้ก็ทำให้เราเห็นวิวสวยๆของเมืองอินเตอร์ลาเค่นที่ปกคลุมด้วยหมอกบนยอดเขาที่ขนาบอยู่รอบๆ ถ้าเปรียบกับไทยคงคล้ายๆเมืองแม่ฮ่องสอนที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาก็อาจจะได้อยู่


สะพานนี้เป็นสะพานที่อยู่ติดกับโฮสเทลที่พักดังที่สามารถมองเห็นได้จากห้องพักในตอนก่อนหน้านี้ ยามเช้าเกือบเจ็ดโมงแบบนี้เมืองยังร้างผู้คง คงจะทะยอยตื่นกันก็ตอนสายๆ สายน้ำที่เห็นตรงเบื้องหน้าคือสายน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลสาบทูนและทะเลสาบเบรียนซ์ จึงเป็นที่มาว่าเมืองนี้(Interken) มีที่มาคือ เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลสาบทั้งสองแห่งนั่นเอง
--> Inter + Lake(n)



เราเดินออกจากที่พักมาแป๊บเดียวก็มาเจอกับทางรถไฟที่เวลานี้มีรถเร็วจากสถานี Interlaken West สถานีที่เราจะเดินไปขึ้นรถไฟนั่นเองแล่นผ่านมา เป็นรถไฟ DB ของเยอรมัน ขับเข้ามาถึงในนี้ ดูซิว่าเราจะมีโอกาสได้นั่งเจ้าขบวนนี้บ้างมั้ย ?


เรามาถึงสถานีก่อนเที่ยวที่เราจะไปมาถึงประมาณ 15 นาที หลายๆที่จะเจอกับน้ำพุ นำมารองดื่มได้ ในรูปเป็นเจ้าแมวน้ำหรือตัวนากก็ไม่รู้ แต่ไหงมีใครโผล่มาตรงกลางหล่ะ อิอิ


รถไปที่จะไป Bern มาแล้ว เราขึ้นชั้น 1 เพื่อที่จะเดินสำรวจว่าหรูหราเพียงไรก่อนที่จะเดินมาชั้น 2 ตามที่เราซื้อสวิสพาสมา เห็นเบาะแล้วน่านั่งจัง แต่โดยรวมแล้วชั้น 1 กับ 2 ก็เหมือนๆกัน เพียงแต่เบาะนุ่มต่างกันและชั้น 1 มีที่นั่งน้อยกว่าเพื่อไม่ให้เบียดกันก็เท่านั้นเอง


รถไฟผ่านทะเลสาบทูนอีกครั้ง ทุกครั้งผมต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพไว้ ช่วงนี้ของรถไฟผมว่าเป็นช่วงที่คลาสสิคและสวยมากๆแม้จะไม่ใช่สาย Golden Pass หรือ Glacier Express ก็ตามที


ภาพวิวบ้านเรือนที่ตั้งตามริมทะเลสาบพร้อมๆกับเรือใบที่จอดไว้ริมน้ำจะเป็นภาพที่ทุกคนจะได้เห็นเมื่อเดินทางมาที่เมืองอินเตอร์ลาเค่นโดยรถไฟจะลัดเลาะขอบทะเลสาบทำให้ต้องแล่นช้าๆซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้สูดอากาศบริสุทธิ์ทางสายตาโดยคร่าวๆแล้วมากกว่าสิบนาทีด้วยกัน


ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงรถไฟก็พาเรามาถึงกรุงแบร์น หรือเบิร์น(Bern) เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เชื่อได้เลยว่ามากกว่า 50% ที่ใครๆตอบคำถามในเรื่องเมืองหลวงของประเทศสวิสผิด บ้างก็คิดว่าซูริค หรือไม่ก็เจนีวา ตามที่เราๆได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ผมเองก็เป็นเช่นนั้น แต่จริงๆแล้วแบร์นเป็นเมืองเก่าของสวิสที่ยังคงอนุรักษ์อาคารสถานที่ไว้แบบดั้งเดิมจนได้รับรับรองให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การ UNESCO

เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็เต็มไปด้วยบรรยากาศของฟุตบอลยูโย และด้วยกรุงแบร์นเองเป็นหนึ่งใน 4 เมืองที่จัดการแข่งขันของประเทศสวิสแล้วยิ่งคึกคักขึ้นไปกันใหญ่


เขาว่าแบร์นเป็นเมืองที่มีลักษณะคล้ายตัวยูทำให้เดินเที่ยวได้สะดวก ออกมาจากสถานีก็เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือเลยเพื่อเดินตามถนน Spitalgasse ไปเรื่อยๆ ณ ยามนี้ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ธงยูโร 2008 ก็ปลิวไสวไม่หยุดพักเพื่อบ่งบอกถึงเมืองนี้ว่าเป็นเมืองจัดการแข่งขันเมืองนึง


จ๊ะเอ๋ขอถ่ายวิวบ้าง ว่าเรามาถึงแล้ว


ทั้งสองข้างของถนนเป็นร้านขายของเพื่อขาช็อปเต็มที่โดยซ่อนตัวอยู่ในตึกเก่า ทำให้ดูกลมกลืนและไม่ขัดตาเรานักเมื่อมองจากด้านนอก


ที่แบร์นเขาว่าเป็นเมืองแห่งหมี มีบ่อหมีที่ใครหลายคนมาเมืองนี้ก็จะไปดูกัน แต่สำหรับเราคงไม่ได้ไปดู แต่จะละเลียดดูวัฒนธรรมอาคารสถานที่มากกว่า ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับเวลาช่วงเช้าที่มีอยู่ไม่มากนัก

เดินมาตามถนน Spitalgasse จนสุดถนนก็จะเจอกับ Kafigturm ซึ่งเป็นหอคอยคุกในสมัยก่อนซึ่งเอาไว้ขังนักโทษแต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว


เราเดินมาที่ถนน Marktgasse แล้ว ถนนที่ต่อจากถนน Spitalgasse มองย้อนกลับไปกับน้ำพุสวยงามกับฉากหลังที่เป็นหอคอยนักโทษ


เขาว่ากรุงแบร์นเมืองแห่งน้ำพุก็คงจะจริงเพราะเดินไปตรงไหนก็จะเจอเต็มไปหมดโดยเฉพาะถนนสายนี้มีไม่ขาดระยะ และที่สำคัญสวยๆทั้งนั้น


มาถึงแล้วหล่ะ หอนาฬิกา Zeitglockkenturm เป็นหอนาฬิกาแบบดาราศาสตร์


อีกเช่นกัน ใครมาที่นี่ก็ต้องมาหยุดยืนรอชมเจ้าตุ๊กตาสัตว์ที่มันจะออกมาโชว์ตัวทุกๆชั่วโมง ซึ่งเรามาก็ถึงตอนสิบโมงพอดี ทันได้เห็นแบบแว้บๆ


ปฏิทินดาราศาสตร์ ปีนี้ราศีอะไรน้า....


ร้านขายของตุ๊กตาสัตว์ที่ระลึกน่ารักๆ ใต้อาคารริมถนน Marktgasse แต่ราคาไม่น่ารักเอาซะเลย :(


แล้วเราก็เดินเลี้ยวซ้ายไปดูโบสถ์สวยๆกัน ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยมีใครมาชมที่นี่เท่าใดนัก(คนไทย) โบสถ์นี้ชื่อ Kirche Sankt Peter und Paul



พื้นถนนและอาคารอันสวยงาม


ภายในโบสถ์


กระจกสี หรือ Stain Glass ที่สวยงามบอกเล่าเรื่องราวของคริสตศาสนา


จ๊ะเอ๋ขอถ่ายมั่งค่ะ


ดูเสร็จก็เดินกลับออกมาที่ถนนเส้นเดิม เจอกับระเบียงหน้าต่างที่ตกแต่งอย่างน่ารักๆอันนึง มีเจ้าจบกำลังถือป้ายมีข้อความอะไรสักอย่าง


มีคนโดนแอบถ่ายด้วยหล่ะ....อิอิ

ข้ามฝั่งถนนมาชมดอกไม้สวยๆที่มีเจ้าภมรมาตอมอยู่มิขาด


ดอกสีส้มบ้าง


ยังมีดอกไม้อีกหลายๆดอกสวยๆงามรอคุณอยู่ที่แบร์น


แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆจนบรรจบแม่น้ำ Aare



คราวนี้จะกลับไปหน้าสถานีรถไฟดังเดิมแต่จะไปยังไงดี ก็นั่งรถสิครับ เดินกันไม่ไหวแล้ว


เห็นรถรางรูปแบบสมัยโบราญแล่นผ่านมาเลยชักภาพไว้ก่อน


แม่ลูกถ่ายรูปคู่กัน


ไม่ได้ไปดูหมีที่บ่อหมีงั้นดูหมีบนเสาไฟละกัน


รถรางหรือแทรม ลายต้อนรับฟุตบอลยูโร แล่นผ่านมา


ไม่แน่ใจว่าช่างกล้องทีวีคนนี้กำลังจะถ่ายอะไร ถึงกับวางกล้องในแนวพื้นกันเลยทีเดียว ช่วงนี้มีการถ่ายทอดเยอะมากครับ ไปไหนๆก็เจอกันคนถ่ายวีดิโอ เพราะช่วงเทศกลาลบอลยูโรนั่นเอง


เรากะจะเดินไปชมรัฐสภาซะหน่อย แต่ผลปรากฎว่าเขานำเอาลานโล่งด้านหน้าไปทำ Fan Zone ซะแล้ว เลยไม่เข้าไปดีกว่า


แล้วเราก็เดินต่อไปเพื่อไปชมโบสถ์ Bernermunster โบสถ์เก่าแก่ของเมืองแบร์นที่มีระฆังยักษ์อยู่ เสียค่าเข้าชมคนละ 4 CHF เพื่อเดินขึ้นบันไดเวียนขึ้นไปชมวิวด้านบน ซึ่งพวกเราไม่ไปกัน เลยทำเพียงถ่ายรูปด้านหน้าลานโล่งนี้แทน ถ้าดูข้อมูลไม่ผิดโบสถ์ดั้งเดิมจะเตี้ยกว่านี้ แต่ปัจจุบันทำต่อเติมจนสูงอย่างที่เห็น (ดูจากรูปถ่ายสมัยเก่า)


ด้านหน้าโบสถ์แบบใกล้ๆ

เหลือบดูนาฬิกา เลยบ่ายโมงมาแล้วทำให้ไปขึ้นรถไฟไปลูเซิร์นไม่ทัน เลยนั่งรถรางเล่นๆ ไปเรื่อยๆอีกทางหนึ่งของตัว U ไม่ต้องกลัวจะหลงหรือเสียเงินอะไรกันนักเนื่องจากใช้สวิสพาสได้ตลอด หลงก็เดินข้ามฝั่งมานั่งกลับย้อนไปอีกทางแค่นั้นเอง อิอิ


จ๊ะเอ๋กำลังหัวเราะอะไรอยู่เนี่ย??



กลับมาที่สถานีรถไฟแบร์นอีกครั้งเพื่อนั่งรถไฟไปลูเซิร์นตอนบ่ายสองโมง ระหว่างทางเดินเราจะเจอกับแฟนฟุตบอลโดยไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าทีมไหน ทีมฮอลแลนด์นั่นเอง เดินสวนมาอย่างเยอะ


แต่ก่อนจะไปก็หาอะไรทานกลางวันซะก่อน หนีไม่พ้นร้าน Coop ครับ ร้านอื่นๆนั้นแพงซะจริงๆ



ถึงเมืองลูเซิร์น(Luzern) บ่ายสามตรง  ออกมาจากสถานีลูเซิร์นก็เดินตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับป้ายรถเมล์และข้ามถนนไปก็จะเป็นทะเลสาบลูเซิร์นอันกว้างใหญ่ ในภาพเป็นการมองย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้ง ซุ้มประตูสวยงามจริงๆ


ห่านหรือหงส์กับลูกเป็ดน้อยๆกำลังเล่นน้ำอยู่


เราเดินข้ามฝั่งทะเลสาบด้วยสะพาน Seebrucke เพื่อเดินไปชมสิงโตร้องไห้หรือจะแสนเศร้าแล้วแต่จะเรียก

เอ๊ะ...ยอดแหลมๆสองยอดของโบสถ์อะไรกัน ต้องตามไปดูใกล้ๆ


พอข้ามสะพานเสร็จก็เดินเลี้ยวขวาเดินทางเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ แล้วข้ามถนนอีกครั้งเมื่อเห็นโบสถ์ Hofkirche แห่งนี้


ระหว่างทางเจอกับร้านนาฬิกาหลายร้านเลยทีเดียว บางร้านก็เจอกับพนักงานขายเป็นคนไทยซึ่งได้คุยสนทนากันพอหอมปากหอมคอ แต่พอมาเจอร้านนี้ที่มีป้ายภาษาไทยก็เลยเดินเข้าไป แต่ไม่มีคนขายเป็นคนไทยสักคนมีแต่คนจีน แปลกดีแท้


นาฬิกาสวยๆหลากหลายแบบ มีให้เลือกเยอะพอสมควร ไหนๆก็มาเยือนถึงเมืองสวิสเมืองต้นตำหรับทำนาฬิกาแล้ว จะกลับไปมือเปล่าก็คงไม่ได้ เลยเที่ยวตระเวนหาเรือนสวยๆมาครองเช่นกัน แต่ยังก่อน ไว้เดินดูหลายๆร้านและหลายๆเมืองก่อนจะตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อ


กว่าจะเดินหาสิงโตร้องไห้ (Loewendenkmal) ก็เดินหลงเลยไปอีกทางจนต้องย้อนกลับมาใหม่อีกครั้งเพราะเห็นป้ายชี้ย้อนกลับมานั่นเอง และแล้วก็ถึงจนได้ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม เดินเข้าไปชมและถ่ายรูปได้เลย แถมมีม้านั่งให้นั่งพักผ่อนด้วย 


ที่นี่เขาสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ทหารชาวสวิสที่เสียชีวิตลงในสมัยล้มล้างระบอบกษัตริย์ในประเทศฝรั่งเศส โดยเหลือทหารชาวสวิสที่เป็นคนสร้างที่นี่เหลือเพียงคเดียวเนื่องจากกลับมาเยิ่ยมญาติที่สวิสพอดี



เสร็จจากดูสิงโตฯเราก็เดินย้อนกลับมาโดยเดินเข้าถนน Hartensteinstrasse เป็นถนนเล็กๆไม่มีรถแล่นสามารถเดินชมได้อย่างสบายใจ ที่ถนนนี้จะมีร้านค้าและร้านอาหารอยู่มากมากตามถนน นับว่าเป็นถนนช็อปปิ้งถนนหนึ่งของเมืองลูเซิร์นเลยก็ว่าได้


เดินมาเห็นร้านกาแฟและขนมร้านนี้คึกคักเชียว เลยต้องหยุดพักเพื่อทานกาแฟแบบเขามั่ง บรรยากาศดีอย่างนี้มีไม่บ่อย


ผมสั่ง Kaffe Cremo และเค้กที่ราดหน้าด้วยสตรอเบอรี่ลูกโตๆอย่างที่เห็น น่าทานมั้ยหล่ะ


หลังจากอิ่มท้องกับเค้กและกาแฟสดเราก็เดินต่อและเลี้ยวขวาเพื่อตัดขึ้นไปที่กำแพงเมืองเก่า Museggmauer เจอทหารยามที่ดูเหมือนจะยืนหลับยามหรืออย่างไร


แล้วก็เดินขึ้นไปบนกำแพงโดยขึ้นที่หอคอย Schirmer ก็จะเห็นวิวเมืองลูเซิร์นอย่างที่เห็น


ขอถ่ายรูปหน่อยเพื่อยืนยันว่าได้เดินขึ้นมาทางเดินบนกำแพงเมืองเก่าแล้วนะ


อีกวิวหนึ่งที่มองจากกำแพงเมืองเก่า เห็นทะเลสาบลูเซิร์นด้านซ้ายมือ ยอดแหลมๆสีน้ำตาลทางด้านซ้ายมือคือหอคอยน้ำ(Wasserturm) ซึ่งเราจะไปชมหลังจากจบจากที่กำแพงเก่านี้


อีกรูปกับหอคอย Zyt ที่อยู่บนกำแพงเมืองเก่าที่มีนาฬิกาบอกเวลาโดยสิ่งที่พิเศษนั้นคือมันจะตีบอกเวลาก่อนนาฬิกาอื่นๆอยู่ 1 นาที ซึ่งเราก็ได้ยินพอดี แต่ไม่แน่ใจว่าตีก่อนหรือไม่อย่างไร


เราเดินลงมาจากกำแพงเก่าอย่างรีบด่วนเล็กน้อยเนื่องจากมีฝนพรำๆโปรยลงมาแล้ว ประกอบกับใกล้เวลารถไฟออกกลับเมืองอินเตอร์ลาเค่นอีกในครึ่งชั่วโมง แต่ไม่เป็นไร เราเดินลงมาถึงหน้าสะพานไม้ Kapell Brucke สะพานที่มีอายุอานามเก่าแก่ 600 กว่าปีมาแล้ว แถมยังเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองลูเซิร์นมาแต่ช้านาน แต่เสียดายที่เคยโดนเพลิงไหม้ไปทำให้เสียหายไปมากพอควร โดยเฉพาะภาพเขียนโบราณนั้นถูกเผาไปกับเพลิงเกือบจะหมด !


ระหว่างเดินไปบนสะพานไม้อันเก่าแก่แห่งนี้ทางด้านขวามือก็จะเป็นบ้านเรือนร้านอาหารริมทะเลสาบลูเซิร์น เห็นวิวโบสถ์ Jesuitenkirche ซึ่งอยู่ทางซ้ายของภาพ


มองผ่านทางเดินของสะพานไม้


ภาพวาดเล่าเรื่องราวสมัยยุคก่อนบนหน้าจั่วของทางเดินสะพานไม้ Kapell Brucke


ภาพเก่าประวัติศาสตร์เมื่อครั้งสะพานไม้ Kapell Brucke โดนไฟไหม้ ต้องรีบดับเพลิงกันชุลมุน


เดินข้ามสะพานไม้จนถึงอีกฝั่งของทะเลสาบลูเซิร์นแล้ว ต่อจากนั้นก็ค่อยๆเดินไปที่สถานีรถไฟ 

เราต้องลาจากเมืองลูเซิร์นด้วยวิวนี้แล้วครับ สะพานไม้ Kapell Brucke กับหอคอยน้ำ Wasserturm สิ่งคู่บ้านคู่เมืองชาวลูเซิร์น


มาถึงสถานีรถไฟเตรียมตัวขึ้นรถไฟขบวนนี้กัน หัวรถจักรแบบเก่าแสนคลาสสิค


สองทุ่มกว่าๆแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดิน วันนี้เราเพลียกันทั้งวัน


จากลูเซิร์นต้องเปลี่ยนรถไฟที่แบร์นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องรอรถไฟนานหน่อยครึ่งชั่วโมงกว่าๆเลยเดินดูอะไรไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา ต่อจากนั้นจึงเตรียมตัวมาขึ้นรถไฟตามชานชาลาที่แจ้งไว้

ในที่สุดก็โชคดีได้ขึ้นรถไฟ DB ของเยอรมันแบบเดียวกับที่แล่นผ่านในตอนเช้าที่อินเตอร์ลาเค่น หรูหราขนาดไหนดูเอาเอง ขนาดชั้นสองนะเนี่ย ยังมีห้องส่วนตัวสำหรับ 6 ที่นั่งอยู่ภายใน แต่เราเข้าไปนั่งเพียง 3 คนเท่านั้น


มาสำรวจห้องน้ำกันบ้าง ที่นั่งหรูหราแล้วห้องน้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หรูและสะอาดมากๆครับ เหมือนกับห้องน้ำในเครื่องบินยังไงยังงั้นเลย สงสัยเข้าแล้วไม่ค่อยจะอยากออก


และส่งท้ายด้วยตั๋วแบบนี้ Swiss Saver Pass ตั๋วแบบ 8 วันที่ทำให้เราสามคนเดินทางไปไหนต่อไหนในสวิตเซอร์แลนด์แบบเหมาจ่ายสะดวกที่สุดและประหยัดที่สุดแล้ว ขึ้นรถบัส ลงเรือล่องทะเลสาบ ขึ้นรถไฟ นั่งรถ tram จะนั่งอะไรกี่ครั้งกี่เที่ยวภายในระยะเวลากำหนดก็ไม่เสียเงินเพิ่มอีกแล้ว เราขอแนะนำ !

ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาชมและลงชื่อนะครับ ตอนนี้อาจจะโหลดนานหน่อย แต่รับรองว่าภาพน่าชมมีเยอะให้ติดตามกันครับ แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้าจะไปไหนต้องติดตามชมกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

Original Published on http://www.pantip.com on [ 23 มิ.ย. 51 22:27:00 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/06/E6733534/E6733534.html



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น