วันนี้เป็นวันที่สองของทริปสวิส เมื่อคืนนอนหลับปุ๋ยเนื่องจากเพลียจากการเดินทางที่พอมาถึงก็เริ่มเดินทางเที่ยวสวิสวันแรกกันเลย มาในเช้าวันใหม่นี้เราตื่นแบบไม่รีบเร่งมากนัก เนื่องจากพอสลับเอาวันที่เที่ยวแบร์น(เบิร์น) และลูเซิร์นมาแทนทำให้รถไฟที่จะเดินทางจากอินเตอร์ลาเค่นไปกรุงแบร์นเมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์นั้นออกประมาณ 8 โมงครึ่งซึ่งยังพอได้พักผ่อนกันยาวนิดนึง
วันนี้ทั้งวันเราจะไปเพียง 2 เมืองเท่านั้นแต่คงจะใช้เวลากับสองเมืองนี้อย่างคุ้มค่าก่อนจะกลับมาค้างคืนที่อินเตอร์ลาเค่นอีกเป็นคืนที่สอง
==========
Today plan(2) : Interlaken --> Bern --> Luzern --> Interlaken
เช้าวันนี้เราออกจากที่พักเช้าตรู่ประมาณ 7 โมงเช้า น้ำดื่มสามารถรองได้จากจุดที่ออกมาจากน้ำพุที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ไม่จำเป็นต้องซื้อดื่มเพราะมีราคาแพงมาก เรารองน้ำจนเต็มขวดพลาสติกที่นำมาด้วยก็ถือเป็นอันเสร็จ
ตื่นมากับเช้าวันใหม่กับสภาพอากาศขมุกขมัว ดีแล้วที่เราเปลี่ยนแผนจากเดิมที่จะขึ้นยุงฟราวในวันนี้เป็นไปขึ้นในวันที่ 4 ของทริปหรือไม่ก็จนกว่าสภาพอากาศจะเคลียร์กว่าที่เป็นอยู่ แต่อากาศอย่างนี้ก็ทำให้เราเห็นวิวสวยๆของเมืองอินเตอร์ลาเค่นที่ปกคลุมด้วยหมอกบนยอดเขาที่ขนาบอยู่รอบๆ ถ้าเปรียบกับไทยคงคล้ายๆเมืองแม่ฮ่องสอนที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาก็อาจจะได้อยู่
สะพานนี้เป็นสะพานที่อยู่ติดกับโฮสเทลที่พักดังที่สามารถมองเห็นได้จากห้องพักในตอนก่อนหน้านี้ ยามเช้าเกือบเจ็ดโมงแบบนี้เมืองยังร้างผู้คง คงจะทะยอยตื่นกันก็ตอนสายๆ สายน้ำที่เห็นตรงเบื้องหน้าคือสายน้ำที่เชื่อมระหว่าง ทะเลสาบทูน และ ทะเลสาบเบรียนซ์ จึงเป็นที่มาว่าเมืองนี้( Interken ) มีที่มาคือ เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลสาบทั้งสองแห่งนั่นเอง
--> Inter + Lake(n)
เราเดินออกจากที่พักมาแป๊บเดียวก็มาเจอกับทางรถไฟที่เวลานี้มีรถเร็วจากสถานี Interlaken West สถานีที่เราจะเดินไปขึ้นรถไฟนั่นเองแล่นผ่านมา เป็นรถไฟ DB ของเยอรมัน ขับเข้ามาถึงในนี้ ดูซิว่าเราจะมีโอกาสได้นั่งเจ้าขบวนนี้บ้างมั้ย ?
เรามาถึงสถานีก่อนเที่ยวที่เราจะไปมาถึงประมาณ 15 นาที หลายๆที่จะเจอกับน้ำพุ นำมารองดื่มได้ ในรูปเป็นเจ้าแมวน้ำหรือตัวนากก็ไม่รู้ แต่ไหงมีใครโผล่มาตรงกลางหล่ะ อิอิ
รถไปที่จะไป Bern มาแล้ว เราขึ้นชั้น 1 เพื่อที่จะเดินสำรวจว่าหรูหราเพียงไรก่อนที่จะเดินมาชั้น 2 ตามที่เราซื้อสวิสพาสมา เห็นเบาะแล้วน่านั่งจัง แต่โดยรวมแล้วชั้น 1 กับ 2 ก็เหมือนๆกัน เพียงแต่เบาะนุ่มต่างกันและชั้น 1 มีที่นั่งน้อยกว่าเพื่อไม่ให้เบียดกันก็เท่านั้นเอง
รถไฟผ่านทะเลสาบทูนอีกครั้ง ทุกครั้งผมต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพไว้ ช่วงนี้ของรถไฟผมว่าเป็นช่วงที่คลาสสิคและสวยมากๆแม้จะไม่ใช่สาย Golden Pass หรือ Glacier Express ก็ตามที
ภาพวิวบ้านเรือนที่ตั้งตามริมทะเลสาบพร้อมๆกับเรือใบที่จอดไว้ริมน้ำจะเป็นภาพที่ทุกคนจะได้เห็นเมื่อเดินทางมาที่เมืองอินเตอร์ลาเค่น โดยรถไฟจะลัดเลาะขอบทะเลสาบทำให้ต้องแล่นช้าๆซึ่งนั่นก็ทำให้เราได้สูดอากาศบริสุทธิ์ทางสายตาโดยคร่าวๆแล้วมากกว่าสิบนาทีด้วยกัน
ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงรถไฟก็พาเรามาถึงกรุงแบร์น หรือเบิร์น(Bern) เมืองหลวงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เชื่อได้เลยว่ามากกว่า 50% ที่ใครๆตอบคำถามในเรื่องเมืองหลวงของประเทศสวิสผิด บ้างก็คิดว่าซูริค หรือไม่ก็เจนีวา ตามที่เราๆได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ผมเองก็เป็นเช่นนั้น แต่จริงๆแล้วแบร์นเป็นเมืองเก่าของสวิสที่ยังคงอนุรักษ์อาคารสถานที่ไว้แบบดั้งเดิมจนได้รับรับรองให้เป็นเมืองมรดกโลก จากองค์การ UNESCO
เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟก็เต็มไปด้วยบรรยากาศของฟุตบอลยูโย และด้วยกรุงแบร์นเองเป็นหนึ่งใน 4 เมืองที่จัดการแข่งขันของประเทศสวิสแล้วยิ่งคึกคักขึ้นไปกันใหญ่
เขาว่าแบร์นเป็นเมืองที่มีลักษณะคล้ายตัวยูทำให้เดินเที่ยวได้สะดวก ออกมาจากสถานีก็เดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือเลยเพื่อเดินตาม
ถนน Spitalgasse ไปเรื่อยๆ ณ ยามนี้ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ธงยูโร 2008 ก็ปลิวไสวไม่หยุดพักเพื่อบ่งบอกถึงเมืองนี้ว่าเป็นเมืองจัดการแข่งขันเมืองนึง
จ๊ะเอ๋ขอถ่ายวิวบ้าง ว่าเรามาถึงแล้ว
ทั้งสองข้างของถนนเป็นร้านขายของเพื่อขาช็อปเต็มที่โดยซ่อนตัวอยู่ในตึกเก่า ทำให้ดูกลมกลืนและไม่ขัดตาเรานักเมื่อมองจากด้านนอก
ที่แบร์นเขาว่าเป็นเมืองแห่งหมี มีบ่อหมีที่ใครหลายคนมาเมืองนี้ก็จะไปดูกัน แต่สำหรับเราคงไม่ได้ไปดู แต่จะละเลียดดูวัฒนธรรมอาคารสถานที่มากกว่า ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับเวลาช่วงเช้าที่มีอยู่ไม่มากนัก
เดินมาตาม
ถนน Spitalgasse จนสุดถนนก็จะเจอกับ
Kafigturm ซึ่งเป็นหอคอยคุกในสมัยก่อนซึ่งเอาไว้ขังนักโทษแต่สมัยนี้ไม่มีแล้ว
เราเดินมาที่ถนน Marktgasse แล้ว ถนนที่ต่อจากถนน Spitalgasse มองย้อนกลับไปกับน้ำพุสวยงามกับฉากหลังที่เป็นหอคอยนักโทษ
เขาว่ากรุงแบร์นเมืองแห่งน้ำพุก็คงจะจริงเพราะเดินไปตรงไหนก็จะเจอเต็มไปหมดโดยเฉพาะถนนสายนี้มีไม่ขาดระยะ และที่สำคัญสวยๆทั้งนั้น
มาถึงแล้วหล่ะ หอนาฬิกา Zeitglockkenturm เป็นหอนาฬิกาแบบดาราศาสตร์
อีกเช่นกัน ใครมาที่นี่ก็ต้องมาหยุดยืนรอชมเจ้าตุ๊กตาสัตว์ที่มันจะออกมาโชว์ตัวทุกๆชั่วโมง ซึ่งเรามาก็ถึงตอนสิบโมงพอดี ทันได้เห็นแบบแว้บๆ
ปฏิทินดาราศาสตร์ ปีนี้ราศีอะไรน้า....
ร้านขายของตุ๊กตาสัตว์ที่ระลึกน่ารักๆ ใต้อาคารริมถนน Marktgasse แต่ราคาไม่น่ารักเอาซะเลย :(
แล้วเราก็เดินเลี้ยวซ้ายไปดูโบสถ์สวยๆกัน ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยมีใครมาชมที่นี่เท่าใดนัก(คนไทย) โบสถ์นี้ชื่อ Kirche Sankt Peter und Paul
พื้นถนนและอาคารอันสวยงาม
ภายในโบสถ์
กระจกสี หรือ Stain Glass ที่สวยงามบอกเล่าเรื่องราวของคริสตศาสนา
จ๊ะเอ๋ขอถ่ายมั่งค่ะ
ดูเสร็จก็เดินกลับออกมาที่ถนนเส้นเดิม เจอกับระเบียงหน้าต่างที่ตกแต่งอย่างน่ารักๆอันนึง มีเจ้าจบกำลังถือป้ายมีข้อความอะไรสักอย่าง
มีคนโดนแอบถ่ายด้วยหล่ะ....อิอิ
ข้ามฝั่งถนนมาชมดอกไม้สวยๆที่มีเจ้าภมรมาตอมอยู่มิขาด
ดอกสีส้มบ้าง
ยังมีดอกไม้อีกหลายๆดอกสวยๆงามรอคุณอยู่ที่แบร์น
แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆจนบรรจบแม่น้ำ Aare
คราวนี้จะกลับไปหน้าสถานีรถไฟดังเดิมแต่จะไปยังไงดี ก็นั่งรถสิครับ เดินกันไม่ไหวแล้ว
เห็นรถรางรูปแบบสมัยโบราญแล่นผ่านมาเลยชักภาพไว้ก่อน
แม่ลูกถ่ายรูปคู่กัน
ไม่ได้ไปดูหมีที่บ่อหมีงั้นดูหมีบนเสาไฟละกัน
รถรางหรือแทรม ลายต้อนรับฟุตบอลยูโร แล่นผ่านมา
ไม่แน่ใจว่าช่างกล้องทีวีคนนี้กำลังจะถ่ายอะไร ถึงกับวางกล้องในแนวพื้นกันเลยทีเดียว ช่วงนี้มีการถ่ายทอดเยอะมากครับ ไปไหนๆก็เจอกันคนถ่ายวีดิโอ เพราะช่วงเทศกลาลบอลยูโรนั่นเอง
เรากะจะเดินไปชมรัฐสภา ซะหน่อย แต่ผลปรากฎว่าเขานำเอาลานโล่งด้านหน้าไปทำ Fan Zone ซะแล้ว เลยไม่เข้าไปดีกว่า
แล้วเราก็เดินต่อไปเพื่อไปชมโบสถ์ Bernermunster โบสถ์เก่าแก่ของเมืองแบร์นที่มีระฆังยักษ์ อยู่ เสียค่าเข้าชมคนละ 4 CHF เพื่อเดินขึ้นบันไดเวียนขึ้นไปชมวิวด้านบน ซึ่งพวกเราไม่ไปกัน เลยทำเพียงถ่ายรูปด้านหน้าลานโล่งนี้แทน ถ้าดูข้อมูลไม่ผิดโบสถ์ดั้งเดิมจะเตี้ยกว่านี้ แต่ปัจจุบันทำต่อเติมจนสูงอย่างที่เห็น (ดูจากรูปถ่ายสมัยเก่า)
ด้านหน้าโบสถ์แบบใกล้ๆ
เหลือบดูนาฬิกา เลยบ่ายโมงมาแล้วทำให้ไปขึ้นรถไฟไปลูเซิร์นไม่ทัน เลยนั่งรถรางเล่นๆ ไปเรื่อยๆอีกทางหนึ่งของตัว U ไม่ต้องกลัวจะหลงหรือเสียเงินอะไรกันนักเนื่องจากใช้
สวิสพาส ได้ตลอด หลงก็เดินข้ามฝั่งมานั่งกลับย้อนไปอีกทางแค่นั้นเอง อิอิ
จ๊ะเอ๋กำลังหัวเราะอะไรอยู่เนี่ย??
กลับมาที่สถานีรถไฟแบร์นอีกครั้งเพื่อนั่งรถไฟไปลูเซิร์นตอนบ่ายสองโมง ระหว่างทางเดินเราจะเจอกับแฟนฟุตบอลโดยไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าทีมไหน ทีมฮอลแลนด์นั่นเอง เดินสวนมาอย่างเยอะ
แต่ก่อนจะไปก็หาอะไรทานกลางวันซะก่อน หนีไม่พ้นร้าน Coop ครับ ร้านอื่นๆนั้นแพงซะจริงๆ
ถึงเมืองลูเซิร์น(Luzern) บ่ายสามตรง ออกมาจากสถานีลูเซิร์นก็เดินตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับป้ายรถเมล์และข้ามถนนไปก็จะเป็นทะเลสาบลูเซิร์น อันกว้างใหญ่ ในภาพเป็นการมองย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้ง ซุ้มประตูสวยงามจริงๆ
ห่านหรือหงส์กับลูกเป็ดน้อยๆกำลังเล่นน้ำอยู่
เราเดินข้ามฝั่งทะเลสาบด้วยสะพาน Seebrucke เพื่อเดินไปชมสิงโตร้องไห้หรือจะแสนเศร้าแล้วแต่จะเรียก
เอ๊ะ...ยอดแหลมๆสองยอดของโบสถ์อะไรกัน ต้องตามไปดูใกล้ๆ
พอข้ามสะพานเสร็จก็เดินเลี้ยวขวาเดินทางเดินเลียบทะเลสาบไปเรื่อยๆ แล้วข้ามถนนอีกครั้งเมื่อเห็นโบสถ์ Hofkirche แห่งนี้
ระหว่างทางเจอกับร้านนาฬิกาหลายร้านเลยทีเดียว บางร้านก็เจอกับพนักงานขายเป็นคนไทยซึ่งได้คุยสนทนากันพอหอมปากหอมคอ แต่พอมาเจอร้านนี้ที่มีป้ายภาษาไทย ก็เลยเดินเข้าไป แต่ไม่มีคนขายเป็นคนไทยสักคนมีแต่คนจีน แปลกดีแท้
นาฬิกาสวยๆหลากหลายแบบ มีให้เลือกเยอะพอสมควร ไหนๆก็มาเยือนถึงเมืองสวิสเมืองต้นตำหรับทำนาฬิกาแล้ว จะกลับไปมือเปล่าก็คงไม่ได้ เลยเที่ยวตระเวนหาเรือนสวยๆมาครองเช่นกัน แต่ยังก่อน ไว้เดินดูหลายๆร้านและหลายๆเมืองก่อนจะตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อ
กว่าจะเดินหาสิงโตร้องไห้ (Loewendenkmal) ก็เดินหลงเลยไปอีกทางจนต้องย้อนกลับมาใหม่อีกครั้งเพราะเห็นป้ายชี้ย้อนกลับมานั่นเอง และแล้วก็ถึงจนได้ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม เดินเข้าไปชมและถ่ายรูปได้เลย แถมมีม้านั่งให้นั่งพักผ่อนด้วย
ที่นี่เขาสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแด่ทหารชาวสวิสที่เสียชีวิตลงในสมัยล้มล้างระบอบกษัตริย์ในประเทศฝรั่งเศส โดยเหลือทหารชาวสวิสที่เป็นคนสร้างที่นี่เหลือเพียงคเดียวเนื่องจากกลับมาเยิ่ยมญาติที่สวิสพอดี
เสร็จจากดูสิงโตฯเราก็เดินย้อนกลับมาโดยเดินเข้าถนน Hartensteinstrasse เป็นถนนเล็กๆไม่มีรถแล่นสามารถเดินชมได้อย่างสบายใจ ที่ถนนนี้จะมีร้านค้าและร้านอาหารอยู่มากมากตามถนน นับว่าเป็นถนนช็อปปิ้งถนนหนึ่งของเมืองลูเซิร์นเลยก็ว่าได้
เดินมาเห็นร้านกาแฟและขนมร้านนี้คึกคักเชียว เลยต้องหยุดพักเพื่อทานกาแฟแบบเขามั่ง บรรยากาศดีอย่างนี้มีไม่บ่อย
ผมสั่ง Kaffe Cremo และเค้กที่ราดหน้าด้วยสตรอเบอรี่ลูกโตๆอย่างที่เห็น น่าทานมั้ยหล่ะ
หลังจากอิ่มท้องกับเค้กและกาแฟสดเราก็เดินต่อและเลี้ยวขวาเพื่อตัดขึ้นไปที่กำแพงเมืองเก่า Museggmauer เจอทหารยามที่ดูเหมือนจะยืนหลับยามหรืออย่างไร
แล้วก็เดินขึ้นไปบนกำแพงโดยขึ้นที่หอคอย Schirmer ก็จะเห็นวิวเมืองลูเซิร์น อย่างที่เห็น
ขอถ่ายรูปหน่อยเพื่อยืนยันว่าได้เดินขึ้นมาทางเดินบนกำแพงเมืองเก่าแล้วนะ
อีกวิวหนึ่งที่มองจากกำแพงเมืองเก่า เห็นทะเลสาบลูเซิร์นด้านซ้ายมือ ยอดแหลมๆสีน้ำตาลทางด้านซ้ายมือคือหอคอยน้ำ(Wasserturm) ซึ่งเราจะไปชมหลังจากจบจากที่กำแพงเก่านี้
อีกรูปกับหอคอย Zyt ที่อยู่บนกำแพงเมืองเก่าที่มีนาฬิกาบอกเวลาโดยสิ่งที่พิเศษนั้นคือมันจะตีบอกเวลาก่อนนาฬิกาอื่นๆอยู่ 1 นาที ซึ่งเราก็ได้ยินพอดี แต่ไม่แน่ใจว่าตีก่อนหรือไม่อย่างไร
เราเดินลงมาจากกำแพงเก่าอย่างรีบด่วนเล็กน้อยเนื่องจากมีฝนพรำๆโปรยลงมาแล้ว ประกอบกับใกล้เวลารถไฟออกกลับเมืองอินเตอร์ลาเค่นอีกในครึ่งชั่วโมง แต่ไม่เป็นไร เราเดินลงมาถึงหน้าสะพานไม้ Kapell Brucke สะพานที่มีอายุอานามเก่าแก่ 600 กว่าปี มาแล้ว แถมยังเป็นสัญลักษณ์คู่เมืองลูเซิร์นมาแต่ช้านาน แต่เสียดายที่เคยโดนเพลิงไหม้ไปทำให้เสียหายไปมากพอควร โดยเฉพาะภาพเขียนโบราณนั้นถูกเผาไปกับเพลิงเกือบจะหมด !
ระหว่างเดินไปบนสะพานไม้อันเก่าแก่แห่งนี้ทางด้านขวามือก็จะเป็นบ้านเรือนร้านอาหารริมทะเลสาบลูเซิร์น เห็นวิวโบสถ์ Jesuitenkirche ซึ่งอยู่ทางซ้ายของภาพ
มองผ่านทางเดินของสะพานไม้
ภาพวาดเล่าเรื่องราวสมัยยุคก่อนบนหน้าจั่วของทางเดินสะพานไม้ Kapell Brucke
ภาพเก่าประวัติศาสตร์เมื่อครั้งสะพานไม้ Kapell Brucke โดนไฟไหม้ ต้องรีบดับเพลิงกันชุลมุน
เดินข้ามสะพานไม้จนถึงอีกฝั่งของทะเลสาบลูเซิร์นแล้ว ต่อจากนั้นก็ค่อยๆเดินไปที่สถานีรถไฟ
เราต้องลาจากเมืองลูเซิร์นด้วยวิวนี้แล้วครับ
สะพานไม้ Kapell Brucke กับ
หอคอยน้ำ Wasserturm สิ่งคู่บ้านคู่เมืองชาวลูเซิร์น
มาถึงสถานีรถไฟเตรียมตัวขึ้นรถไฟขบวนนี้กัน หัวรถจักรแบบเก่าแสนคลาสสิค
สองทุ่มกว่าๆแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดิน วันนี้เราเพลียกันทั้งวัน
จากลูเซิร์นต้องเปลี่ยนรถไฟที่แบร์นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องรอรถไฟนานหน่อยครึ่งชั่วโมงกว่าๆเลยเดินดูอะไรไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา ต่อจากนั้นจึงเตรียมตัวมาขึ้นรถไฟตามชานชาลาที่แจ้งไว้
ในที่สุดก็โชคดีได้ขึ้นรถไฟ
DB ของเยอรมัน แบบเดียวกับที่แล่นผ่านในตอนเช้าที่อินเตอร์ลาเค่น หรูหราขนาดไหนดูเอาเอง ขนาดชั้นสองนะเนี่ย ยังมีห้องส่วนตัวสำหรับ 6 ที่นั่งอยู่ภายใน แต่เราเข้าไปนั่งเพียง 3 คนเท่านั้น
มาสำรวจห้องน้ำกันบ้าง ที่นั่งหรูหราแล้วห้องน้ำจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หรูและสะอาดมากๆครับ เหมือนกับห้องน้ำในเครื่องบินยังไงยังงั้นเลย สงสัยเข้าแล้วไม่ค่อยจะอยากออก
และส่งท้ายด้วยตั๋วแบบนี้ Swiss Saver Pass ตั๋วแบบ 8 วัน ที่ทำให้เราสามคนเดินทางไปไหนต่อไหนในสวิตเซอร์แลนด์แบบเหมาจ่ายสะดวกที่สุดและประหยัดที่สุดแล้ว ขึ้นรถบัส ลงเรือ ล่องทะเลสาบ ขึ้นรถไฟ นั่งรถ tram จะนั่งอะไรกี่ครั้งกี่เที่ยวภายในระยะเวลากำหนดก็ไม่เสียเงินเพิ่มอีกแล้ว เราขอแนะนำ !
ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาชมและลงชื่อนะครับ ตอนนี้อาจจะโหลดนานหน่อย แต่รับรองว่าภาพน่าชมมีเยอะให้ติดตามกันครับ แล้วเจอกันใหม่ในตอนหน้าจะไปไหนต้องติดตามชมกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
Original Published on http://www.pantip.com on [ 23 มิ.ย. 51 22:27:00 ] as below linkhttp://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/06/E6733534/E6733534.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
www.Stats.in.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น