วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

สวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝัน ตอน 1 First time in Europe...Switzerland


หลังจากที่ผมได้ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัดเล่งเน่งยี่ เยาวราชเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเนื่องมาจากเกิดปีชงพอดี ใจจริงไม่ได้เชื่ออะไรมากมายแต่เพราะมีเรื่องต่างๆที่ผ่านมาในชีวิตตั้งแต่ก่อนจะสิ้นปีจวบจนต้นปีใหม่ ก็เลยตัดสินใจไปทำตามความเชื่อของคนจีน ซึ่งก็ดูเหมือนได้ผลเอามากๆ เพราะในวันจันทร์วันแรกของการทำงานถัดมาผมก็ต้องเซอร์ไพร์ซกับอีเมลของบริษัทที่ส่งมาแจ้งว่า "ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนไปร่วม ...ฟอรั่ม 2008 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 1 - 6 มิถุนายน 2551 ...." ซึ่งทำเอาผมงงมากๆเพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ไปต่างประเทศไกลถึงยุโรปอย่างสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนในฝันของใครๆหลายคน แต่สำหรับผมแล้วนั้น ยังเฉยๆเพราะคงไกลเกินไปนัก แต่ด้วยการเดินทางไปแบบสัมมนาอย่างนี้แล้ว ค่าใช้จ่ายเรื่องตั๋วเครื่องบินไป-กลับคงทุ่นไปได้เยอะเลย ผมเลยมาแพลนทริปเที่ยวสวิสเพิ่มหลังจากเสร็จสิ้นงานในสัปดาห์แรกอีกหนึ่งสัปดาห์ โดยมีอีก 2 ชีวิตจะบินตามผมมาในวันแรกของสัปดาห์ที่สองที่ผมเสร็จสิ้นภาระกิจเรื่องงาน

การขอวีซ่าและเอกสารต่างๆก็เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวันนั้น ขั้นตอนวีซ่าไม่ยากเย็นอะไรนักโดยเฉพาะที่มี Invitation letter ที่ออกจากบริษัทในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยยิ่งแล้วจะเร็วมากๆ เพียงไม่ถึงสัปดาห์ก็ได้แล้ว แต่ก็ต้องให้ลุ้นเล็กน้อยเนื่องจากเงินในบัญชีผมเหลือไม่มากนัก เจ้าหน้าที่เขาเลยยังลังเลอยู่ และอีกอย่าง พาสปอร์ตผมต้องได้คืนก่อนวันที่ 11 เมษายน 51 เพราะผมต้องใช้บินไปเนปาลในวันที่ 12 เมษายนนั่นเอง จึงมีเวลาเพียง 3 วันเท่านั้นในการตัดสินใจของสถานฑูต แต่สุดท้ายก็ได้รับข่าวดีในเช้าวันศุกร์ที่ 11 เมษายน ว่าผ่านให้มารับพาสปอร์ตในวันนั้นเลย การเตรียมข้อมูลเที่ยวสวิสจึงเริ่มต้นขึ้นแต่ต้องกลับมาจากเนปาลก่อน

พอกลับจากเนปาลก็ไม่ค่อยมีเวลาเท่าใดนัก ข้อมูลเลยไม่ค่อยได้หา จึงต้องขอรบกวนเพื่อนใน BP แห่งนี้ให้จัดทริปให้ นั่นคือคุณ BaNkmAn นั่นเอง ต้องขอขอบคุณที่ช่วยสละเวลาจัดทริปให้ผม 8 วัน ละเอียดดีเลยครับ และผมได้รบกวนโทรไปสอบถามด้วย ต้องขอขอบคุณเพื่อนใจดีคนนี้มากๆ ครับ อีกคนก็คือคุณ Clinker รุ่นน้องที่บริษัทคนเดิมที่เคยให้ยืมเลนส์มาใช้งานหลายต่อหลายทริป มาครั้งนี้ได้ให้ยืมโบรชัวร์และหนังสือเที่ยวสวิสของคุณมดเอ็กซ์ ขอขอบคุณอีกเช่นกันครับ

งั้นเรามาดูทริปแบบไม่ค่อยจะมีเวลาเก็บข้อมูลมากนักกันเลยครับ


ผมไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณสามทุ่มกว่าๆ ไม่ได้รีบเร่งอะไรมากนักเนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ พอไปถึงก็เข้าไปเช็คอินที่เคานเตอร์ B ของการบินไทย ครั้งแรกอีกเช่นกันที่ได้นั่ง Business class


ไฟล์ทนี้บินตรงจากสุวรรณภูมิไปลงที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์เลย ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ตั๋วไประบุว่าออกเดินทาง 0:30 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม 51 ซึ่งก็เกือบทำให้รุ่นพี่ที่ไปด้วยเกือบตกเครื่องมาแล้วเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นอีกวันหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จับรถแท็กซี่มาทัน

คนทะยอยขึ้นมาบนเครื่องแล้ว กัปตันแจ้งมาว่ามีไฟล์ทไปต่างประเทศช่วงนี้เยอะมากเลยเครื่องเราต้องเลื่อนบินไปเป็น 1:00 น. แทน ไม่เป็นไรอีกครึ่งชั่วโมงเอง


พอเครื่องไต่ระดับได้แล้ว แอร์ก็เตรียมเสริฟอาหารมื้อแรกกันเลยทีเดียว อะไรนะ เสริฟตีหนึ่งกว่าๆเนี่ยนะ ? โอเคไม่เป็นไร ยังดีกว่าไม่มีให้ทาน งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรให้ทานกันบ้าง


ไหนดูซิ เส้นทางบินและจุดหมายปลายทางเราอยู่ส่วนไหนของโลก เห็นแล้วก็โอ้โห ไกลจริงๆ เป็นครั้งแรกที่นั่งบนเครื่องนานเกิน 5 ชม. นานก่อนหน้านี้ก็คือบินไปเกาหลีใต้


ไม่นานอาหารจานแรกก็มาเสริฟแล้ว นั่นคือเนื้อสันใน, ปลาแซลมอล และสลัดถั่ว รสชาติถือว่าใช้ได้สอบผ่านไปในรายการแรก


หลังจากอิ่มเอมกับอาหารมื้อแรกจนเพลียหลับไป แต่แล้วก็ต้องมาตื่นนอนเพื่อทานอาหารมื้อที่สองอีกครั้งในตอนเช้ามืดก่อนที่จะลงจอดที่สนามบินปลายทางที่ซูริค ณ ตอนนี้ 6:55 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่สวิตเซอร์แลนด์แล้ว เครื่องกำลังทำการลดระดับลง


ปุยเมฆสีขาวอย่างกับปุยฝ้ายน่ากระโดดลงไปว่ายเล่นนัก


กัปตันกำลังนำเครื่องแอร์บัสแบบ A340-600 ลงจอดที่สนามบินซูริคเข้าไปทุกทีแล้ว กำลังมองเห็นทะเลสาบอยู่สองแห่ง อันหนึ่งใหญ่ๆน่าจะเป็นทะเลสาบซูริค อีกอันไม่แน่ใจ


ประมาณ 7:30 น. ก็ลงมาถึงสนามบินเพื่อต่อรถไฟรางระหว่างเกตไปจุดทางออก เดินมาก็จะเริ่มเห็นป้ายโฆษณาเกี่ยวกับบอลยูโรกันอยู่หลายจุด


เข้ามาในรถไฟรางแล้ว อย่างแรกที่ชอบก็คือเสียง มอ..มอ.... ของเหล่าวัวหลายๆตัวมาส่งเสียงกันออกลำโพงพร้อมๆกับเสียงกระพวนที่สั่นไปมาของวัวเหล่านั้น ทำให้นึกถึงชีวิตชนบทของชาวสวิสขึ้นมาเลยเชียว


ตอนก่อนเข้าตม.สวิสถ่ายรูปไม่ได้ เลยแอบมาถ่ายตอนออกมารอกระเป๋าที่สายพานละกัน อิอิ ไม่ได้สอบถามอะไรมากหรอกครับ ไม่น่ากลัวเลย


มาถึงก็ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง โดยสวิสเป็นประเทศที่ไม่ต้องกรอกแบบฟอร์ม Immigration ครับ ใช้พาสปอร์ตเล่มเดียวยื่นให้เจ้าหน้าที่เลย ถามไม่มากก็ตอบๆไป แล้วก็ออกมารอรถ Shuttle bus จากโรงแรม โดยจะมีวิ่งทุกครึ่งชั่วโมง ในใบแจ้งว่าไม่เสียเงินแต่ที่ไหนได้เขาไปเก็บในบิลตอนเราเช็คเอ้าท์นั่นเอง

คันนี้แหล่ะจะพาเราไป Courtyard Hotel by Marriott ที่ Zurich Oerikon ครับ ห่างจากสนามบินเพียงแค่ 6 กม. เท่านั้น


พอถึงโรงแรมก็ประมาณแปดโมงเช้า เข้าไปเช็คอิน ปรากฎว่ายังเข้าห้องไม่ได้ เพราะรอจนกว่าจะบ่ายสองโมงก่อน ดังนั้นเราจึงฝากสัมภาระและเดินไปนั่งรถไฟที่สถานี Oerikon ใกล้ๆนี้เพื่อไป Zurich HB ดาวน์ทาวน์ของเมืองซูริค ระหว่างทางเดินไปสถานีรถไฟก็จะเห็นคนเอาจักรยานมือสองมาขายกัน ดูครึกครื้นทีเดียว เนื่องจากคนที่นี่ก็จะใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางระยะสั้นๆด้วย


มาถึงสถานีก็เงอะๆงะๆกันไปก่อนเพราะยังงงๆกับเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติและเวลาออกของรถไฟของแต่ละขบวนอยู่มาก พอจับต้นชนปลายกันได้แล้วก็เดินไปขอให้ชาวสวิสคนหนึ่งที่กำลังจะหยอดเงินเพื่อซื้อตั๋วเขาเอง ให้ช่วยสอนเราซื้อตั๋วหน่อย ฝรั่งคนนี้ช่วยเหลืออย่างดี พร้อมกับแนะนำเราให้เข้าไปซื้อที่ออฟฟิศกับเจ้าหน้าที่ดีกว่า เพราะจะมีตั๋วแบบ 24 hrs. ในโซน 10 ภายในตัวเมืองซูริคที่สามารถใช้ได้ตลอดกี่เที่ยวก็ได้ในเวลา 24 ชม.ที่เขาให้ไว้ ราคา 7.8 CHF(~242 บาท) ได้ตั๋วแล้วก็มารอที่ชานชาลา 1 (Gate 1) เพื่อรอขึ้นขบวน S14 ดังป้ายที่แจ้งเหนือศรีษะ โดยรถไฟจะออกเวลา 9:42 น. ซึ่งก็มาตามนั้นจริงๆ รู้แล้วหล่ะว่ารถไฟสวิสตรงเวลายังไง


สัมผัสแรกกับเบาะนุ่มๆและเสียงที่เงียบมากๆเวลารถไฟแล่น เงียบจริงๆ ไม่มีเสียงฉึกฉักให้ได้ยินแบบไทยเราเลย


ไม่ถึงสิบนาที ผ่านแค่ 1 สถานีก็มาถึงยังสถานี Zurich HB ด้วยรถไฟหัวสีแดงขบวนนี้ SBB CFF FFS


อาคารพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟกำลังก่อสร้างต่อเติมกันอยู่


นี่ไง หัวลำโพงสวิตเซอร์แลนด์ จะมองยังไงผมก็ว่าคล้ายกับหัวลำโพงเรามากในแง่เป็นศูนย์รวมของเส้นทางรถไฟของประเทศและร้านค้าขายของต่างๆ คนเดินกันให้ขวักไขว่


ณ วันนี้วันที่ 31 พค. 51 เริ่มมีการจัดสถานที่ตกแต่งให้เข้ากับบอลยูโรที่จะมาถึงในอีกสัปดาห์กันแล้ว หุ่นนักเตะฟุตบอลขนาดมหึมากำลังถูกติดตั้งทีละตัว ดูไว้ก่อน แล้วค่อยมาดูอีกครั้งในอีกสัปดาห์หนึ่งว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน


 เดินออกมาจากชุมทางรถไฟซูริค ก็เห็นรถรางตกแต่งต้อนรับบอลยุโรปเลยครับ


แล้วเราก็เดินออกจากหัวลำโพงสวิสแล้วตรงไปเพื่อเดินข้ามสะพาน Bahnhof Brucke ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Limmat ไปยัง Central




จาก Central เลี้ยวขวาเข้าถนน Niederdorfstrasse เพื่อดูร้านอาหารต่างๆ ที่จัดวางโต๊ะที่หน้าร้านตรงทางเดินทั้งสองข้าง


ตึกหลายตึกสีสันแปลกตากว่าที่เคยๆ เห็น


อีกตึกหนึ่งใกล้ๆกันที่มีภาพเพ้นบนผนังตึก แค่นี้คงเป็นแค่ออร์เดิฟแต่ที่เมืองอื่นๆเขาเพ้นกันสวยๆงามๆเยอะแยะทีเดียว แล้วค่อยตามกันดูต่อไป


ไม่แน่ใจว่าเป็นหอนาฬิกาของ Zentral Bibliothek หรือไม่ เห็นแหลมๆมาแต่ไกลเลยต้องเดินไปหา


หลังจากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ เป็นอาคารส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยซูริคนั่นเอง


ถนนกับทางเดินที่อยู่ต่างระดับกันมากเห็นแล้วแปลกๆดี


เดินลัดเลาะมหา'ลัยซูริคจนหนำใจก็กลับมาข้ามถนนเพื่อเข้าเส้น Rinder markt เพื่อกลับมายังถนน Niederdorfstrasse อีกครั้ง


เห็นหน้าต่างของตึกอยู่หลังหนึ่งแขวนธงสีน่าจะเป็นธงมนตราแน่ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าแขวนเพราะอะไร หรือคนพักห้องดังกล่าวนั้นเป็นคนชาวเนปาลหรือไม่ก็ธิเบต เห็นแล้วก็ให้คิดถึงเนปาลเป็นไม่ได้


เจอน้ำพุตรงทางเดินแยกของซอย ตรงไปทางขวามือเลย


มาที่สวิสนี่จะเจอป้ายชื่อของร้านพร้อมๆกับตัวสัตว์หรือการ์ตูนต่างๆทำแขวนไว้ น่ารักทีเดียว ในรูปเป็นเจ้าวัวกำลังยืนสองขาแสดงกายกรรม


ตัดมาเข้าถนน Niederdorfstrasse จนสุดทางก็จะเจอกับโบสถ์ Gross Munster โบสถ์ของคริสศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ ลักษณะเด่นคือมีหอสูงคู่แฝด ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองซูริค


เดินเข้าไปข้างในจะพบกับกระจกสีสวยงาม


กระจกสีด้านหลังโบสถ์


จริงๆแล้วยังสามารถขึ้นไปชมวิวที่ด้านบนโบสถ์ได้แต่สำหรับวันนี้คงยังก่อนไว้รอขึ้นกับสองคนที่ตามมาสมทบทีหลังจะดีกว่า ดังนั้นจึงเดินออกมาด้านนอกชมวิวโบสถ์สำคัญที่เหลืออีก 2 โบสถ์คือ Fraumunster กับ St. Peter จากซ้ายไปขวาตามลำดับ พร้อมๆกับวิวถนน Limmatquai ที่ขนานกับแม่น้ำ Limmat และตัดกับสะพาน Munster brucke


แล้วเราก็เดินไปข้ามสะพาน Munster brucke ที่นี่เราจะเห็นคนจูงหมากันเป็นปกติธรรมดา


โบสถ์ Fraumunster สีเขียวทางด้านซ้ายมือ กับ โบสถ์ St. Peter สีน้ำตาลที่มีนาฬิกาใหญ่ที่สุดในยุโรปทางด้านขวามือ


โบสถ์ St. Peter นับได้ว่าเป็นโบสถ์ที่มีนาฬิกาบอกเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวถึง 8.7 เมตร




โบสถ์ Fraumunster เราไม่ได้เข้าไปจึงเดินตามถนนเพื่อไปยังโบสถ์ St. Peter ระหว่างทางเห็นรถม้าจอดอยู่ เลยเข้าไปเก็บภาพซะ ม้าสองตัวน่ารักดี


ร้านอาหารจีนที่มีมังกรคาบป้ายชื่อร้านอยู่


บางบ้านหรือร้านก็ทำประตูเหล็กดัดซะน่ารักแบบนี้


เข้ามาถึงโบสถ์ St. Peter แล้ว แหงนดูนาฬิกาแล้วก็ใหญ่จริงๆ สมแล้วกับเป็นเมืองต้นแบบทำนาฬิกา


ภายในโบสถ์ไม่ได้มีกระจกสีเหมือนกับโบสถ์ Grossmunster แต่ก็คงความสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง


เสร็จจากชมภายในโบสถ์ St. Peter ก็เดินตัดไปออกถนน Bahnhofstrasse ถนนที่ขึ้นชื่อในเรื่องย่านช๊อปปิ้งของเมืองซูริคโดยปลายอีกด้านถนนไปบรรจบกับทะเลสาบซูริคอีกด้านบรรจบกับสถานีรถไฟ Zurich HB


มีรถ tram หรือรถรางบริการตลอดถ้าไม่อยากเดินเมื่อย


อาคาร Credit Suise สถาปัตยกรรมแบบโรมัน


เดินไปสุดถนน Bahnhofstrasse ที่ท่าเรือ Zurichsee น่าล่องเรือเหมือนกันนะ แต่ยังก่อน เรายังมีโปรแกรมล่องเรือที่อื่นที่น่าสนใจกว่าที่นี่


ใครเดินจนเมื่อยก็มาแวะนั่งชมเป็ดและห่านเล่นน้ำได้ที่นี่


รถรางกับภายนอกตัวรถที่เต็มไปด้วยสีสันเพื่อต้อนรับเทศกาลบอลยูโร 2008 ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้


ในที่สุดพอเดินกันจนเมื่อยก็นั่งรถไฟกลับมาที่พัก Courtyard Hotel ที่ Oerikon เหมือนอย่างเดิม คราวนี้ได้เข้าไปในห้องพักสมใจแล้ว


มองจากหน้าต่างไปทางเข้าประตูบ้าง


ธนบัตรสวิสเนี่ย สีสันสดใจจริงๆนะครับ ลองเอาออกมานับดูดีกว่า อ๊ะๆ ... อย่าเพิ่งตกใจไปว่าเป็นเงินผม จริงๆแล้วเป็นของบริษัทที่ให้ยืมมาเพื่อจ่ายค่าห้องพัก 7 คืนในซูริคและอาหารที่บางมื้อเขาไม่ได้เลี้ยงเท่านั้น นอกนั้นกลับไปต้องคืนครับ


พอช่วงเย็นผมและรุ่นพี่ก็ออกไปหาอะไรทานและระหว่างทางกลับโรงแรมก็จะเจอกับการเล่นหมากฮอสอันใหญ่เบิ้ม เล่นกันหลายกระดานทีเดียว ฝากไว้ด้วยภาพสุดท้ายนี้ครับ

คงขอจบทริปสวิตเซอร์แลนด์ในวันแรกกับการมาเยือนยุโรปไว้เพียงเท่านี้ ต่อจากวันนี้อีก 6 วันจะเป็นวันสัมมนาของผม จึงขอตัดไปเริ่มตอนที่สองอีกครั้งในวันที่ 7 มิถุนายนคือวันที่อีก 2 ชีวิตบินมาสมทบจากประเทศไทยเพื่อมาเริ่มเที่ยวในสวิสอีก 8 วันอย่างเป็นทางการด้วยกันครับ แล้วติดตามกันต่อ สวัสดีครับ

Published on http://www.pantip.com on [ 17 มิ.ย. 51 02:26:11 ] as below link

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น