วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551

เนปาล (Day IX) ท่ามกลางอ้อมกอดหิมาลัย ตอน 9 ด้วยแรงศรัทธา นำพาข้าพเจ้าสู่ "ดวงตาเห็นธรรม"


วันนี้พวกเราตื่นนอนมาแต่เช้าเพื่อให้ทันไฟล์ขากลับไปกาฐมาณฑุ เช็คเอ้าท์โรงแรมเรียบร้อยแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าซึ่งเป็นร้านเดิมที่เคยทานเมื่อวาน วันนี้เร่งรีบเล็กน้อยเพราะรถที่จะไปส่งมาจอดรอแล้ว ดังนั้นจึงมีเวลาไม่มากนักที่จะละเลียดกับขนมปังที่มาเสริฟพร้อมไข่ดาวและกาแฟ

เวลาตามตั๋วบอกไว้ว่าเดินทาง 9:15 น. ดังนั้นเราต้องเร่งมือกันหน่อย ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองของผมที่จะได้ขึ้นเครื่องบินเล็กแบบใบพัดโดยครั้งแรกเคยขึ้นจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน สำหรับผมคงไม่ตื่นเต้นแล้วคงมีแต่สองคนที่เหลือที่ยังตื่นเต้นเนื่องจากยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินแบบนี้มาก่อน

วันนี้โปรแกรมเราทั้งสามคนคงจะไปเก็บตกวัดปศุปตินาถ(Pashupatinath) และวัดที่เหลือในเมืองกาฐมาณฑุที่ยังไม่ได้ไปชมกันนั่นคือ วัดโบดะนาถ(Boudhanath) และวัดสวยัมภูนาถ(Swayambhunath) ซึ่งมีองค์สถูปสีขาวใหญ่ด้านบนทั้งสี่ทิศเป็น"ดวงตาเห็นธรรม" หรือ "Wisdom Eyes" หรือ "Buddha Eyes" ผมเฝ้ารอวันนี้มานานแล้วเนื่องจากเห็นภาพดวงตาเห็นธรรมอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่จากประเทศอันเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า-เนปาล ทางสื่อหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ มาครั้งได้เดินทางมาเห็นเองกับตาโดยตรงแล้ว คงให้ความรู้สึกอิ่มเอิบจากการได้มาเห็นอย่างบอกไม่ถูก โดยวันนี้ผมเลือกที่จะสวมเสื้อยืดที่ซื้อมาเมื่อวานปักเป็นรูปดวงตาเห็นธรรมและมีข้อความว่า "โชคดี" ในภาษาเนปาล หมวกเป็นแบบใบใหญ่ปักดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ซึ่งได้มาจากตลาดแถวๆน้ำตกเดวี่ แถมยังพ่วงด้วยย่ามปักสีสันสดใสปักดวงตาเห็นธรรมอีกเช่นกัน  เต็มยศขนาดนี้คงไม่บอกก็รู้ว่าเกิดจากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของผมขนาดไหน เรามาพบดวงตาของพระพุทธเจ้าอันเป็นสิ่งที่จะบอกความจริงของชีวิตด้วยกันครับ


เราไปถึงสนามบินภายในประเทศเมืองโพคราก่อนเวลาเครื่องออกไม่นานนัก สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือจ่ายภาษีสนามบินและชั่งน้ำหนักสัมภาระ ต่อจากนั้นก็จะต้องให้ทางเจ้านหน้าที่สนามบินเนปาลตรวจดูสิ่งของที่ใส่ในกระเป๋าและเป้โดยให้เราเป็นผู้เปิดให้ดู แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีเรื่องสัมภาระ และเราก็เข้าสู่ห้องผู้โดยสารโดยต้องผ่านการตรวจเช็คสิ่งของแยกตามเพศ ซึ่งเขาจะถามเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ว่าสูบหรือไม่แค่นั้นเองก็ปล่อยออกมา


เข้าไปก็นั่งรอสักครึ่งชั่วโมง คนรอขึ้นเครื่องพอประมาณ เนื่องจากมีหลายสายการบินแบ่งๆกันไป


ลำนี้หรือเปล่าที่จะพาเรากลับไปเมืองหลวงของเนปาล ?


ไม่ใช่....ลำนี้ต่างหากที่จะพาเราไป เป็นของสายการบิน Sita Air จุคนได้ประมาณ 20 กว่าคนเองมั้ง


ภายในห้องโดยสารก็มีเพียง 2 ที่นั่งต่อ 1 แถวคือซ้ายและขวาอย่างละที่นั่งเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะนั่งริมหน้าต่างเพราะเกือบทุกคนได้นั่งริมหน้าต่างอยู่แล้วยกเว้นสองแถวสุดท้าย


ผมนับว่าโชคดีที่ขนาดขึ้นเครื่องคนหลังๆยังได้มีโอกาสนั่งหน้าสุดจะรองก็แต่กัปตันทั้งสองท่านเท่านั้นเอง มองออกไปด้านขวาเห็นใบพัดสวยๆกำลังหมุนทำหน้าที่ของมันอยู่


บนเครื่องบินลำนี้ไม่มีอะไรมาปิดกั้นระหว่างห้องผู้โดยสารกับห้องกัปตันอีกต่อไป ผมสามารถเห็นทุกอิริยาบทในการบังคับเครื่องบินของกัปตันทั้งสองท่านนี้แบบเต็มๆ คนซ้ายเป็นกัปตันคนที่หนึ่งชาวเนปาล ส่วนคนขวาเป็นกัปตันคนที่สองซึ่งเป็นชาวต่างชาติ รู้สึกไฟล์นี้เขาจะมาฝึกบินกับกัปตันคนด้านซ้ายมือ เห็นเขาสอนการบังคับเครื่องบินให้กับกัปตันด้านขวามือตลอดเวลา


พอบินไต่ระดับได้สักพักเราก็จะเห็นกับเทือกเขาหิมาลัยอีกแล้ว ดูกันให้อิ่มอิ่มกับทริปนี้เลย


รู้สึกเขาจะบินวนไปมาหลายรอบ ไม่แน่ใจว่าเป็นเส้นทางที่ต้องบินอย่างนี้หรือครั้งนี้เพื่อฝึกสอนกัปตันคนที่สองกันแน่ แต่ดีอย่างที่เราได้ชมหิมาลายาแบบเต็มอิ่มในมุมมอง Bird's Eye View ก่อนลาเมืองโพครา


สี่สิบนาทีผ่านไป กัปตันที่สองเตรียมลดระดับเพื่อนำเครื่องลงจอดที่สนามบินกาฐมาณฑุแล้ว


ลงจากเครื่องบินก็รอขึ้นรถไปอาคารผู้โดยสารขาเข้า


พอลงจอดเรียบร้อยแล้วก็เตรียมมารับสัมภาระแบบง่ายๆอย่างนี้ ไม่มีสายพานลำเลียงแต่อย่างใด อย่างนี้เร็วที่สุดแล้วผมเห็นด้วย


ด้วยความที่เรามีประสบการณ์กับการเรียกแท็กซี่ในสนามบินตรีภูวัน กาฐมาณฑุแล้ว ผมจึงลองต่อราคาให้ลงมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้แท็กซี่ที่รับราคาที่ผมขอไป 150 Rs. จากเดิมในครั้งแรกเราเสียไป 300 Rs. ตอนเรียกไปย่ายทาเมล


ในที่สุดเราก็กลับมาถึงยังเมืองที่แสนจะวุ่นวายอย่างกาฐมาณฑุ ! เสียงบีบแตรกันไปมากลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานเมื่อเราไปเมืองโพครา

กลับมาถึงย่านทาเมล เราก็เลือกพักโรงแรมใกล้ๆ พอดีมีคนชาวเนปาลเดินเข้ามาแนะนำโรงแรมนี้ North Field Hotel ราคาแค่ 10 USD แต่สภาพห้องดีกว่า ACME Guesthouse ที่วันแรกเรามาพักกว่าตั้งเยอะ แถม ACME ยังราคาแพงกว่าอีก


เราเก็บสัมภาระเสร็จและพักผ่อนเล็กน้อยก็ออกมาทานอาหารกลางวันกัน โดยกอล์ฟได้ไปชวน Ahni สาวชาวเกาหลีที่เจอกันตอนกลับจากเทร็คกิ้งและได้ขอที่อยู่ที่พักในกาฐมาณฑุไว้ เจ้ากอล์ฟนี่ร้ายจริงๆ


หลังจากที่คุยกันเรื่องโปรแกรมและเส้นทางที่จะไปกันแล้วทั้งสี่คน เราก็เดินออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่
อ๊ะ....พี่สามล้อคนนี้แอบหลับในงานด้วย


หน้ากากหลากหลายแบบและสีสันสดใสวางขายอยู่ริมถนนย่านทาเมล


ย่านทาเมล ย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติที่มาเที่ยวเนปาลแห่งนี้ ถือเป็นศูนย์รวมสินค้า อาหาร และของที่ระลึกของเมืองกาฐมาณฑุ คล้ายๆกับย่านตรอกข้าวสารของกรุงเทพเรา


เกือบๆจะบ่ายสอง เราก็มาถึงวัดปศุปตินาถ(Pashupatinath) วัดที่เราเคยมาแล้วในวันแรกที่เหยียบเนปาล แต่ตอนนั้นฝนตกและไม่ได้เข้าไปชมการเผาศพแบบใกล้ๆ ใกล้ๆกันนั้นเป็น Social Welfare Center (Elderly's home) หรือบ้านพักคนชรานั่นเอง มีคนชราชายมานั่งคุยกันเต็มเลยครับ


มาวันนี้ผมเองก็ไม่ได้เข้าไปที่วัดปศุปตินาถ(Pashupatinath) เพราะต้องเสียค่าเข้าคนละ 250 Rs. เลยให้กอล์ฟกับอานี่เข้าไปถ่ายรูปให้ พิธีการเผาศพคนตายชาวฮินดูไม่เกิน 24 ชม.ก็จะเป็นดังที่เห็น


เขาจะนำศพมาวางบนเชิงตะกอนแล้วเอาฝางกลบด้านบนแล้วจุดไฟเผา เห็นแล้วก็ต้องปลงครับ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า คือสัจธรรมของชีวิต


มีชาวเนปาลมายืนมุงดูเยอะแยะเชียว


รูปนี้เครดิตฝีมือกอล์ฟ


เราสองไม่ได้เข้าไปดูเผาศพเลยเดินชมละแวกร้านค้ารอบๆ เห็นทิก้าซึ่งคือผงที่ทาหน้าผากแสดงสถานะของชาวเนปาลในแบบต่างๆ โดยมีให้เลือกหลากหลายสี สวยจริงๆเลย


และแล้วบ่ายสามโมงสิบห้าเราก็มาถึงยังวัดโบดะนาถ(Boudhnath) วัดที่มีสถูปสีขาวใหญ่ที่สุดในเนปาล ตรงนี้เป็นทางเข้าวัด


ทั้งสี่ทิศของสถูปสีขาวจะมีดวงตาเห็นธรรม (Wisdom eyes) อยู่โดยรอบ ได้เห็นเป็นครั้งแรกกับตาถึงกับขนลุกเลย นี่เรามาถึงที่นี่จริงๆแล้วหรือ ?


เดินเข้าไปใกล้ๆก็จะเห็นภาพนี้ ขลังมากๆครับ


ซูมไปชมใกล้ๆ ดวงตาเห็นธรรมสีน้ำเงิน ฟ้า ขาว ส้ม และแดง ดูช่างยิ่งใหญ่นัก


องค์สถูปสีขาวใหญ่แห่งพระพุทธศาสนาของวัดโบดะนาถถือเป็นองค์สถูปที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในโลก อยู่ห่างจากศูนย์กลางเมืองหลวงอย่างกาฐมาณฑุ 11 กม. บริเวณรอบๆสถูปจะมีชาวธิเบตอพยพมาจากจีนมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่


ตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา สถูปโบดะนาถได้รับการรับรองเป็นมรดกโลก



เราเดินไปรอบๆองค์สถูปแบบทักษิณาวรรต ได้เห็นมุมต่างๆของดวงตาเห็นธรรม


ระหว่างเดินเราก็หมุนล้อมนต์(เรียกอย่างนี้หรือเปล่า)ตามไปด้วย โดยจะมีอยู่รอบสถูป


มุมนี้อีกด้านหนึ่ง สวยงามมากๆ


ซูมไปชมดวงตาเห็นธรรมกันใกล้ๆครับ


แรงศรัทธาไม่มีวันหมดสิ้นจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกที่หลั่งไหลมาเยี่ยมชมและทำบุญ ณ วัดโบดะนาถ(Boudhanath) แห่งนี้


มาชมในแนวตั้งกันบ้างครับ มองมุมไหนๆก็สวยสง่า ไม่เสียแรงศรัทธาที่ได้มาชมกับตา


เห็นแล้วรู้สึกอิ่มเอิบจัง


อีกหลายๆศรัทธาที่เดินหมุนล้อมนต์ไปรอบๆสถูปด้วยกัน



ยามนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เดินไปรอบๆพร้อมๆกับเก็บภาพดวงตาเห็นธรรมในมุมต่างๆ


ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปปั้นอะไรที่นั่งอยู่บนช้าง ตั้งอยู่เข้าไปในเขตสถูปอีกชั้น


ขนาดพระธิเบตสูงอายุก็ยังยอมเบียดเสียดยัดเยียดเข้ามาด้านใน


นี่เป็นองค์สถูปจำลองที่อยู่ข้างๆสถูปของจริง ขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนักเหมือนสถูปจริง


แสงแดดยามบ่ายสาดส่องมาแต่ก็ไม่ทำให้เราหยุดที่จะสำรวจสถูปสีขาวนี้ไปได้


เราเดินเข้าไปภายในกัน มีล้อมนต์อันใหญ่ให้หมุนกันอีกแล้ว


เราสองคนเดินขึ้นไปถ่ายด้านบนของสถูปกัน ได้วิวสวยๆของดวงตาเห็นธรรมเหมือนๆกับจ้องลงมาให้เราหมั่นสร้างความดี ละเว้นความชั่ว


นักบวช 2 คนนี้คือผู้หญิงใช่เปล่าน้าาา


เอ๊ะ....เสียงอะไรดังมาจากบนท้องฟ้า ... นั่นไง เครื่องบินเล็กภายในประเทศนั่นเอง


อิ่มบุญกับวัดโบดะนาถเราก็มาต่อที่สถานที่พักผ่อนของชาวพุทธอีกแห่ง


สถานที่แห่งนี้เป็นจุดที่ถึงก่อนวัดสวยัมภูนาถ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากๆ


เนื่องจากรถที่ติดมากๆ แท็กซี่เลยเลือกที่จอดตรงนี้แล้วให้เราเดินขึ้นไปเอง


จากการสอบถามชาวบ้านถึงทางไปวัดสวยัมภูนาถ ทำให้เราทราบเส้นทางและรีบเดินไปเพราะเกรงว่าจะมืดซะก่อน ผมไม่ลังเลที่จะเดินไปคนเดียวครับ เพราะเอ๋ปวดขาเดินไม่ไหว


 จุดหมายก็อยู่บนเนินเขาเตี้ยๆอย่างที่เห็น ด้วยแรงศรัทธาเราไม่ย่อท้ออยู่แล้ว


ระหว่างทางก็จะเจอกับสถูปจำลองสีขาวขนาดเล็ก


ที่วัดนี้เรียกอีกชื่อว่าวัดลิง เนื่องจากมีลิงมาอาศัยเยอะมาก


แสงเริ่มน้อยแล้ว ผมจึงรีบถ่ายรูปไว้ก่อนเมื่อเจอดวงตาเห็นธรรมครั้งแรก


สถูปขาวแห่งวัดสวยัมภูนาถ(Swayambhunath) นี้เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในประเทศเนปาลเช่นกัน ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากวัดโบดะนาถ

องค์สถูปครึ่งทรงกลมสีขาวเป็นสัญญลักษณ์แทนธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปล้องไฉนสีทองอร่าม 13 ชั้นเหนือองค์สถูป เป็นสัญญลักษณ์แทนระดับธรรม 13 ชั้นก่อนบรรลุพระนิพพาน(ข้อมูลจากเว็บ TKT)


อีกสองศรัทธาจากพระชาวธิเบตที่ประนมมือไหว้พร้อมกับเดินรอบสถูปแบบทักษิณาวรรต


ดวงตาเห็นธรรม สีสันที่แตกต่างจากวัดโบดะนาถ


เหนื่อยจากการเดินก็มาชมวิวบ้าง เสียดายที่วันนี้อากาศไม่เปิด เลยเห็นท้องฟ้าขุ่นๆมัวๆแบบนี้


แสงใกล้จะหมดลงไปแล้วแต่ก็ยังที่จะเก็บภาพสถูปมาได้


ชาวพุทธผู้เลื่อมใสกำลังหมุนล้อมนต์ที่อยู่รอบๆสถูป


องค์สถูปที่เป็นโค้งๆสีขาวลายเหลืององค์นี้รู้สึกจะไม่ตรงนะครับ


วันนี้คงเป็นวันสำคัญอะไรสักอย่างหรือไม่ก็คือวันอาทิตย์ที่มีผู้คนมาชุมนุมกันและมีการเลี้ยงอาหารมื้อเย็นให้แก่ทุกคนที่มาในวันนี้ เท่าที่เห็นจะเป็นข้าวกับแกงไก่


คนมานั่งทานกันเยอะแยะเลย


ดวงตาเห็นธรรมภาพสุดท้ายก่อนจะหมดแสงแห่งวันนี้ไป


และแล้วผมต้องจากลาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงเป็นความทรงจำที่มิมีวันลืมเลือนไปจากสมองผมได้ เนื่องจากผมได้มาเจอกับสถานที่จริงๆ ได้เห็น "ดวงตาเห็นธรรม" กับตาตัวเองจริงๆหลังจากที่ดูจากหนังสือการท่องเที่ยวมากมาย และอีกอย่างการมาของผมในครั้งนี้เป็นการมากับคนรู้ใจที่ผมมีความทรงจำอันยาวนานถึง 20 ปี เราสองคนจะไม่มีวันลืมตลอดไป...

ขอบคุณเพื่อนๆที่อุตส่าห์รอโหลดกระทู้นี้กันนานเลย แต่เพราะต้องการรูปที่ใหญ่และมีรายละเอียดเลยต้องทำแบบนี้ครับ แล้วตามตอนจบกับทริปเนปาลอันยาวนานถึง 10 วัน ในวันที่ 10 ต่อไปครับ สวัสดี ...

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น