วันนี้พวกเราตื่นนอนมาแต่เช้าเพื่อให้ทันไฟล์ขากลับไปกาฐมาณฑุ เช็คเอ้าท์โรงแรมเรียบร้อยแล้วก็ลงมาทานอาหารเช้าซึ่งเป็นร้านเดิมที่เคยทานเมื่อวาน วันนี้เร่งรีบเล็กน้อยเพราะรถที่จะไปส่งมาจอดรอแล้ว ดังนั้นจึงมีเวลาไม่มากนักที่จะละเลียดกับขนมปังที่มาเสริฟพร้อมไข่ดาวและกาแฟ
เวลาตามตั๋วบอกไว้ว่าเดินทาง 9:15 น. ดังนั้นเราต้องเร่งมือกันหน่อย ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองของผมที่จะได้ขึ้นเครื่องบินเล็กแบบใบพัดโดยครั้งแรกเคยขึ้นจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอน สำหรับผมคงไม่ตื่นเต้นแล้วคงมีแต่สองคนที่เหลือที่ยังตื่นเต้นเนื่องจากยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินแบบนี้มาก่อน
วันนี้โปรแกรมเราทั้งสามคนคงจะไปเก็บตกวัดปศุปตินาถ(Pashupatinath) และวัดที่เหลือในเมืองกาฐมาณฑุที่ยังไม่ได้ไปชมกันนั่นคือ วัดโบดะนาถ(Boudhanath) และวัดสวยัมภูนาถ(Swayambhunath) ซึ่งมีองค์สถูปสีขาวใหญ่ด้านบนทั้งสี่ทิศเป็น"ดวงตาเห็นธรรม" หรือ "Wisdom Eyes" หรือ "Buddha Eyes" ผมเฝ้ารอวันนี้มานานแล้วเนื่องจากเห็นภาพดวงตาเห็นธรรมอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่จากประเทศอันเป็นที่ประสูติของพระพุทธเจ้า-เนปาล ทางสื่อหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างๆ มาครั้งได้เดินทางมาเห็นเองกับตาโดยตรงแล้ว คงให้ความรู้สึกอิ่มเอิบจากการได้มาเห็นอย่างบอกไม่ถูก โดยวันนี้ผมเลือกที่จะสวมเสื้อยืดที่ซื้อมาเมื่อวานปักเป็นรูปดวงตาเห็นธรรมและมีข้อความว่า "โชคดี" ในภาษาเนปาล หมวกเป็นแบบใบใหญ่ปักดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ซึ่งได้มาจากตลาดแถวๆน้ำตกเดวี่ แถมยังพ่วงด้วยย่ามปักสีสันสดใสปักดวงตาเห็นธรรมอีกเช่นกัน เต็มยศขนาดนี้คงไม่บอกก็รู้ว่าเกิดจากแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาของผมขนาดไหน เรามาพบดวงตาของพระพุทธเจ้าอันเป็นสิ่งที่จะบอกความจริงของชีวิตด้วยกันครับ
เข้าไปก็นั่งรอสักครึ่งชั่วโมง คนรอขึ้นเครื่องพอประมาณ เนื่องจากมีหลายสายการบินแบ่งๆกันไป
ไม่ใช่....ลำนี้ต่างหากที่จะพาเราไป เป็นของสายการบิน Sita Air จุคนได้ประมาณ 20 กว่าคนเองมั้ง
ผมนับว่าโชคดีที่ขนาดขึ้นเครื่องคนหลังๆยังได้มีโอกาสนั่งหน้าสุดจะรองก็แต่กัปตันทั้งสองท่านเท่านั้นเอง มองออกไปด้านขวาเห็นใบพัดสวยๆกำลังหมุนทำหน้าที่ของมันอยู่
บนเครื่องบินลำนี้ไม่มีอะไรมาปิดกั้นระหว่างห้องผู้โดยสารกับห้องกัปตันอีกต่อไป ผมสามารถเห็นทุกอิริยาบทในการบังคับเครื่องบินของกัปตันทั้งสองท่านนี้แบบเต็มๆ คนซ้ายเป็นกัปตันคนที่หนึ่งชาวเนปาล ส่วนคนขวาเป็นกัปตันคนที่สองซึ่งเป็นชาวต่างชาติ รู้สึกไฟล์นี้เขาจะมาฝึกบินกับกัปตันคนด้านซ้ายมือ เห็นเขาสอนการบังคับเครื่องบินให้กับกัปตันด้านขวามือตลอดเวลา
พอบินไต่ระดับได้สักพักเราก็จะเห็นกับเทือกเขาหิมาลัยอีกแล้ว ดูกันให้อิ่มอิ่มกับทริปนี้เลย
ลงจากเครื่องบินก็รอขึ้นรถไปอาคารผู้โดยสารขาเข้า
พอลงจอดเรียบร้อยแล้วก็เตรียมมารับสัมภาระแบบง่ายๆอย่างนี้ ไม่มีสายพานลำเลียงแต่อย่างใด อย่างนี้เร็วที่สุดแล้วผมเห็นด้วย
ด้วยความที่เรามีประสบการณ์กับการเรียกแท็กซี่ในสนามบินตรีภูวัน กาฐมาณฑุแล้ว ผมจึงลองต่อราคาให้ลงมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้แท็กซี่ที่รับราคาที่ผมขอไป 150 Rs. จากเดิมในครั้งแรกเราเสียไป 300 Rs. ตอนเรียกไปย่ายทาเมล
ในที่สุดเราก็กลับมาถึงยังเมืองที่แสนจะวุ่นวายอย่างกาฐมาณฑุ ! เสียงบีบแตรกันไปมากลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปนานเมื่อเราไปเมืองโพครา
กลับมาถึงย่านทาเมล เราก็เลือกพักโรงแรมใกล้ๆ พอดีมีคนชาวเนปาลเดินเข้ามาแนะนำโรงแรมนี้ North Field Hotel ราคาแค่ 10 USD แต่สภาพห้องดีกว่า ACME Guesthouse ที่วันแรกเรามาพักกว่าตั้งเยอะ แถม ACME ยังราคาแพงกว่าอีก
หลังจากที่คุยกันเรื่องโปรแกรมและเส้นทางที่จะไปกันแล้วทั้งสี่คน เราก็เดินออกมาเพื่อเรียกแท็กซี่
อ๊ะ....พี่สามล้อคนนี้แอบหลับในงานด้วย
หน้ากากหลากหลายแบบและสีสันสดใสวางขายอยู่ริมถนนย่านทาเมล
ย่านทาเมล ย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างชาติที่มาเที่ยวเนปาลแห่งนี้ ถือเป็นศูนย์รวมสินค้า อาหาร และของที่ระลึกของเมืองกาฐมาณฑุ คล้ายๆกับย่านตรอกข้าวสารของกรุงเทพเรา
เกือบๆจะบ่ายสอง เราก็มาถึงวัดปศุปตินาถ(Pashupatinath) วัดที่เราเคยมาแล้วในวันแรกที่เหยียบเนปาล แต่ตอนนั้นฝนตกและไม่ได้เข้าไปชมการเผาศพแบบใกล้ๆ ใกล้ๆกันนั้นเป็น Social Welfare Center (Elderly's home) หรือบ้านพักคนชรานั่นเอง มีคนชราชายมานั่งคุยกันเต็มเลยครับ
เขาจะนำศพมาวางบนเชิงตะกอนแล้วเอาฝางกลบด้านบนแล้วจุดไฟเผา เห็นแล้วก็ต้องปลงครับ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า คือสัจธรรมของชีวิต
มีชาวเนปาลมายืนมุงดูเยอะแยะเชียว
รูปนี้เครดิตฝีมือกอล์ฟ
เราสองไม่ได้เข้าไปดูเผาศพเลยเดินชมละแวกร้านค้ารอบๆ เห็นทิก้าซึ่งคือผงที่ทาหน้าผากแสดงสถานะของชาวเนปาลในแบบต่างๆ โดยมีให้เลือกหลากหลายสี สวยจริงๆเลย
และแล้วบ่ายสามโมงสิบห้าเราก็มาถึงยังวัดโบดะนาถ(Boudhnath) วัดที่มีสถูปสีขาวใหญ่ที่สุดในเนปาล ตรงนี้เป็นทางเข้าวัด
ทั้งสี่ทิศของสถูปสีขาวจะมีดวงตาเห็นธรรม (Wisdom eyes) อยู่โดยรอบ ได้เห็นเป็นครั้งแรกกับตาถึงกับขนลุกเลย นี่เรามาถึงที่นี่จริงๆแล้วหรือ ?
เดินเข้าไปใกล้ๆก็จะเห็นภาพนี้ ขลังมากๆครับ
ซูมไปชมใกล้ๆ ดวงตาเห็นธรรมสีน้ำเงิน ฟ้า ขาว ส้ม และแดง ดูช่างยิ่งใหญ่นัก
องค์สถูปสีขาวใหญ่แห่งพระพุทธศาสนาของวัดโบดะนาถถือเป็นองค์สถูปที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในโลก อยู่ห่างจากศูนย์กลางเมืองหลวงอย่างกาฐมาณฑุ 11 กม. บริเวณรอบๆสถูปจะมีชาวธิเบตอพยพมาจากจีนมาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่
เราเดินไปรอบๆองค์สถูปแบบทักษิณาวรรต ได้เห็นมุมต่างๆของดวงตาเห็นธรรม
ระหว่างเดินเราก็หมุนล้อมนต์(เรียกอย่างนี้หรือเปล่า)ตามไปด้วย โดยจะมีอยู่รอบสถูป
มุมนี้อีกด้านหนึ่ง สวยงามมากๆ
ซูมไปชมดวงตาเห็นธรรมกันใกล้ๆครับ
แรงศรัทธาไม่มีวันหมดสิ้นจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกที่หลั่งไหลมาเยี่ยมชมและทำบุญ ณ วัดโบดะนาถ(Boudhanath) แห่งนี้
มาชมในแนวตั้งกันบ้างครับ มองมุมไหนๆก็สวยสง่า ไม่เสียแรงศรัทธาที่ได้มาชมกับตา
เห็นแล้วรู้สึกอิ่มเอิบจัง
อีกหลายๆศรัทธาที่เดินหมุนล้อมนต์ไปรอบๆสถูปด้วยกัน
ยามนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เดินไปรอบๆพร้อมๆกับเก็บภาพดวงตาเห็นธรรมในมุมต่างๆ
ไม่แน่ใจว่าเป็นรูปปั้นอะไรที่นั่งอยู่บนช้าง ตั้งอยู่เข้าไปในเขตสถูปอีกชั้น
นี่เป็นองค์สถูปจำลองที่อยู่ข้างๆสถูปของจริง ขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากนักเหมือนสถูปจริง
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องมาแต่ก็ไม่ทำให้เราหยุดที่จะสำรวจสถูปสีขาวนี้ไปได้
เราเดินเข้าไปภายในกัน มีล้อมนต์อันใหญ่ให้หมุนกันอีกแล้ว
นักบวช 2 คนนี้คือผู้หญิงใช่เปล่าน้าาา
เอ๊ะ....เสียงอะไรดังมาจากบนท้องฟ้า ... นั่นไง เครื่องบินเล็กภายในประเทศนั่นเอง
อิ่มบุญกับวัดโบดะนาถเราก็มาต่อที่สถานที่พักผ่อนของชาวพุทธอีกแห่ง
สถานที่แห่งนี้เป็นจุดที่ถึงก่อนวัดสวยัมภูนาถ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มากๆ
เนื่องจากรถที่ติดมากๆ แท็กซี่เลยเลือกที่จอดตรงนี้แล้วให้เราเดินขึ้นไปเอง
จากการสอบถามชาวบ้านถึงทางไปวัดสวยัมภูนาถ ทำให้เราทราบเส้นทางและรีบเดินไปเพราะเกรงว่าจะมืดซะก่อน ผมไม่ลังเลที่จะเดินไปคนเดียวครับ เพราะเอ๋ปวดขาเดินไม่ไหว
จุดหมายก็อยู่บนเนินเขาเตี้ยๆอย่างที่เห็น ด้วยแรงศรัทธาเราไม่ย่อท้ออยู่แล้ว
ระหว่างทางก็จะเจอกับสถูปจำลองสีขาวขนาดเล็ก
ที่วัดนี้เรียกอีกชื่อว่าวัดลิง เนื่องจากมีลิงมาอาศัยเยอะมาก
แสงเริ่มน้อยแล้ว ผมจึงรีบถ่ายรูปไว้ก่อนเมื่อเจอดวงตาเห็นธรรมครั้งแรก
สถูปขาวแห่งวัดสวยัมภูนาถ(Swayambhunath) นี้เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธในประเทศเนปาลเช่นกัน ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากวัดโบดะนาถ
องค์สถูปครึ่งทรงกลมสีขาวเป็นสัญญลักษณ์แทนธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปล้องไฉนสีทองอร่าม 13 ชั้นเหนือองค์สถูป เป็นสัญญลักษณ์แทนระดับธรรม 13 ชั้นก่อนบรรลุพระนิพพาน(ข้อมูลจากเว็บ TKT)
อีกสองศรัทธาจากพระชาวธิเบตที่ประนมมือไหว้พร้อมกับเดินรอบสถูปแบบทักษิณาวรรต
ดวงตาเห็นธรรม สีสันที่แตกต่างจากวัดโบดะนาถ
เหนื่อยจากการเดินก็มาชมวิวบ้าง เสียดายที่วันนี้อากาศไม่เปิด เลยเห็นท้องฟ้าขุ่นๆมัวๆแบบนี้
แสงใกล้จะหมดลงไปแล้วแต่ก็ยังที่จะเก็บภาพสถูปมาได้
ชาวพุทธผู้เลื่อมใสกำลังหมุนล้อมนต์ที่อยู่รอบๆสถูป
องค์สถูปที่เป็นโค้งๆสีขาวลายเหลืององค์นี้รู้สึกจะไม่ตรงนะครับ
วันนี้คงเป็นวันสำคัญอะไรสักอย่างหรือไม่ก็คือวันอาทิตย์ที่มีผู้คนมาชุมนุมกันและมีการเลี้ยงอาหารมื้อเย็นให้แก่ทุกคนที่มาในวันนี้ เท่าที่เห็นจะเป็นข้าวกับแกงไก่
คนมานั่งทานกันเยอะแยะเลย
ดวงตาเห็นธรรมภาพสุดท้ายก่อนจะหมดแสงแห่งวันนี้ไป
และแล้วผมต้องจากลาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ คงเป็นความทรงจำที่มิมีวันลืมเลือนไปจากสมองผมได้ เนื่องจากผมได้มาเจอกับสถานที่จริงๆ ได้เห็น "ดวงตาเห็นธรรม" กับตาตัวเองจริงๆหลังจากที่ดูจากหนังสือการท่องเที่ยวมากมาย และอีกอย่างการมาของผมในครั้งนี้เป็นการมากับคนรู้ใจที่ผมมีความทรงจำอันยาวนานถึง 20 ปี เราสองคนจะไม่มีวันลืมตลอดไป...
ขอบคุณเพื่อนๆที่อุตส่าห์รอโหลดกระทู้นี้กันนานเลย แต่เพราะต้องการรูปที่ใหญ่และมีรายละเอียดเลยต้องทำแบบนี้ครับ แล้วตามตอนจบกับทริปเนปาลอันยาวนานถึง 10 วัน ในวันที่ 10 ต่อไปครับ สวัสดี ...
Original Published on http://www.pantip.com at [ 22 พ.ค. 51 14:42:37 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น