วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

เนปาล (Day II) ท่ามกลางอ้อมกอดหิมาลัย ตอน 2 หนีความวุ่นวายจากเมืองหลวงกาฐมาณฑุ คืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งที่เมืองโพครา

[ตอน 1] [ตอน 2] [ตอน 3] [ตอน 4] [ตอน 5] [ตอน 5.5] [ตอน 6] [ตอน 7] [ตอน 8] [ตอน 9] [ตอน 10]

วันนี้เป็นวันที่สองของทริป วันนี้พวกเราต้องตื่นแต่เช้าคือประมาณ 6:00 น. เพื่อไปให้ทันรถบัสของบริษัทกรีนไลน์ทัวร์ที่จะออกเดินทางไปเมืองโพครา(Pokhara อ่านว่า โพ-คะ-รา) เมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงกาฐมาณฑุ(Kathmandu)ประมาณ 200 กม. ซึ่งทางเป็นเขาวกไปมา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชม. ก่อนเดินทางออกจากเกสท์เฮ้าส์เรามีปัญหาเล็กน้อยคือเรื่องเงินๆทองๆ ตอนแรกตกลงเป็นอย่างดีว่าราคาค่าห้องคือ 13.5 USD เป็นราคา net แล้ว ไม่จ่ายอะไรนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว แต่พอจะเช็คเอ้าท์เจ้าหน้าที่ดันมีปัญหาจะคิดค่า TAX เราเพิ่ม 10% ซึ่งเราไม่ได้ตกเราเรื่องนี้กันมาก่อนเลยอย่างไงๆก็ไม่จ่าย ถ้ารู้มาก่อนอาจจะไม่พักที่นี่ก็ได้ เพราะที่พักมนกาฐมาณฑุนั้นเยอะมากๆ ไม่จำเป็นต้องจองด้วยซ้ำไป ผลสุดท้ายก็ยอมเราแต่มีการพูดในเชิงว่าจะ record ไว้ ซึ่งเราเองก็บอกไปว่าเราจะมาโพสต์เรื่องแบบนี้ในอินเตอร์เน็ตด้วย ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง จำไว้ --> ACME Guest House ! <--

เอาหล่ะ...ลืมเรื่องไร้สาระแบบนี้แล้วตามไปสถานีรถบัสของกรีนไลน์ด้วยกันเลยดีกว่า ตามเรามาครับ


แผนที่จากกาฐมาณฑุไปเมืองโพครา


พวกเราไม่มีเวลาพอที่จะทานอาหารเช้า หลังจากเช็คเอ้าท์เลยตรงดิ่งไปที่สี่แยกที่ทำการของบริษัทกรีนไลน์ทัวร์ เดินไปเรื่อยๆ จะนั่งหรือไม่นั่งแท็กซี่ก็ได้ แต่เดินก็เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เสียอย่างเดียวแบกของเยอะแยะมาด้วยสิ


ไปถึงเวลาประมาณ 7:15 น. นำตั๋วที่จองไว้ไปเช็คอิน และขอจองที่นั่งฝั่งขวาเพื่อจะได้ชมวิวงามๆของลำธารระหว่างทางที่ไปเมืองโพคราตามคำแนะนำของคุณ kfc เลยได้ที่นั่งเกือบหลังสุด


รูปร่างหน้าตารถก็เป็นแบบนี้ ใหม่และสะอาดสะอ้านดี คุ้มกับราคาตั๋ว 15 USD ที่จ่ายไป


รถบัสแล่นผ่านสนามเอนกประสงค์ของชาวเมืองกาฐมาณฑุ ที่สนามนี้มีคนมาเดินเล่นออกกำลังกาย เล่นฟุตบอลและกีฬาอื่นๆ เป็นที่สนุกสนาน คงคล้ายๆสนามหลวงบ้านเรา


ระหว่างทางก็ชมวิวไปเรื่อย วันนี้ดูจะคึกคักเป็นพิเศษเพราะอะไรหรอกหรือ ก็วันนี้เป็นวันปีใหม่ของเนปาลไงหล่ะ วันที่ 13 เมษายน ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทยเราเลย มีการฆ่าแพะให้เห็นปกติทั่วไปตามร้านริมถนน


เจอสี่แยกที่ไม่น่าจะเป็นสี่แยกได้ เพราะทุกคนไม่มีใครสนใจไฟเขียวไฟแดงเลยสักคน ต่างคนต่างต้องการที่จะไปในเส้นทางของตัวเอง โดยลืมไปว่ายังมีคนอื่นที่คิดเหมือนกันแต่เขายังไม่ได้ไปเพราะโดนขวางอยู่ นี่แหล่ะ...การจราจรที่เนปาล ใครว่าในกรุงเทพเราน่าเบื่อและรถติดแล้ว ถ้ามาที่กาฐมาณฑุจะทำให้นึกรักการจราจรในกรุงเทพเข้าไปเลยด้วยซ้ำ


ขอลาไปก่อนเมืองหลวงของประเทศเนปาล เพื่อไปสู่เมืองแห่ง trekking ที่โพครา


พอรถพ้นการจราจรที่แสนจะวุ่นวายสับสนของตัวเมือง เราก็เข้ามาสู่สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอีกครั้งกับเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามไหล่เขาถ้าใครมาแล้วคิดถึงเส้นทางเชียงใหม่-ปายก็ไม่ผิดมากนัก เพราะให้บรรยากาศแบบนั้นเลย ต่างกันในเรื่องของรายละเอียดต่างๆ เช่น สีสันของรถที่สัญจรไปมา สภาพบ้านเรือนตามริมทาง มารยาทการขับรถ ฯลฯ และส่วนหนึ่งที่สำคัญที่เราจะไม่เห็นในเส้นทางภาคเหนือของไทยคือ เทือกเขาหิมาลัยอันที่เราจะได้เห็นในอีกไม่ช้านี้


ไหล่ทางทำยกเป็นปูนขึ้นมาเพื่อกันรถตกเขา วิวช่วงนี้จะยังคงคล้ายๆภาคเหนือของไทยเรา 70%


คนข้างๆบอกว่าเห็นอะไรแว้บๆมาที่เขาด้านขวามือ มองออกไปแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะของเทือกเขาหิมาลายาช่วงอันนาปุรณะ หรือไม่ก็ช่วงดอลากีรี ที่สามารถมองเห็นได้จากเมืองกาฐมาณฑุ


ช่วงนี้คงไม่มีอะไรที่ทำให้ผมกดขัตเตอร์ได้รัวเท่านี้มาก่อน เปลี่ยนเลนส์ไปมาระหว่าง normal กับ tele เป็นว่าเล่น เพราะภาพที่ปรากฎเบื้องหน้ามาฉุดผมตื่นจากสิ่งใดๆทั้งปวง มิอาจแบ่งความสนใจไปทิศทางอื่นได้ นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยแบบใกล้ๆและด้วยตาตัวเองแบบนี้ ไป trekking ที่พูนฮิลล์ โพครา คงได้เห็นใกล้ๆและเต็มๆตากว่านี้อีกหลายๆเท่าเป็นแน่


สักประมาณ 9:15 น. รถก็แวะจอดระหว่างทางเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าห้องน้ำห้องท่า หรือซื้อขนมเล็กๆน้อยๆทาน


ส่วนผมเลือกดื่ม Milk Coffee และได้เห็นกรรมวิธีของชาวเนปาลีเขา โดยจะต้มนมจนร้อนใส่ถ้วยแล้วค่อยนำผงกาแฟมาผสมทีหลังและให้เติมน้ำตาลตามชอบ


เราเลือกทานอาหารเช้าแบบง่ายๆครับ 


สภาพบ้านชาวเนปาลีระหว่างทางไปเมืองโพครา เห็นแล้วทำให้ผมนึกชอบชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชนบทเนปาลขึ้นมาทันที


ไม่ผิดเลยที่เลือกนั่งทางด้านขวามือ เพราะคุณจะได้เห็ยวิวลำธารตลอดเกือบทั้งเส้นทาง 200 กม. เห็นแล้วก็สบายตาและใจเย็นขึ้นมาทีเดียว


จากวิวลำธารสลับฉากมาเป็นท้องทุ่งนาสีเขียวขจีบ้าง ซึ่งการทำนาข้าวเจ้าและข้าวสาลีก็เป็นอาชีพเกษตรกรรมหนึ่งของชาวเนปาลีนอกเหนือจากการปลูกข้าวโพด


ที่ลำธารสายนี้จะมีสะพานสลิงเป็นช่วงๆเพื่อเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเดินข้ามมาซื้อขายและแลกเปลี่ยนของทางการเกษตร และใช้เป็นช่องทางสัญจรเข้าบ้านเรือนที่อยู่ในเขาลึกเข้าไป


ช่างเป็นเส้นทางที่สวยงามเส้นทางหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเดินทางมาจวบจนปัจจุบันก็ว่าได้


พอประมาณ 10:30 น.รถก็มาถึงที่พักทานอาหารกลางวันระหว่างทางพอดี ที่นี่เราจะพักทานข้าวประมาณ 1 ชั่วโมงโดยอาหารมื้อนี้รวมอยู่ในค่าตั๋วรถบัสแล้ว นั่นก็คือเขาบริการให้ทานอาหารกลางวันฟรีที่นี่


อาหารมีให้เลือก 4 อย่างด้วยกัน เป็นผัดนู้ดเดิ้ล แกงไก่ แกงถั่ว และอะไรอีกอย่างจำไม่ได้ครับ


ผมตักมา 3 อย่าง พร้อมๆกับดื่มนมร้อนไม่แน่ใจว่าเป็นนมแพะหรือควาย แต่ไม่ใช่นมวัวแน่ๆ


หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อเที่ยงแล้วก็เดินทางกันต่อ ระหว่างทางก็ร้องเพลงคลอกันไปเรื่อยจาก O2 Atom ที่สามารถฟัง MP3 ได้ จนได้เวลาบ่ายสองสิบนาทีรถบัสก็ขับมาถึงยังสถานีปลายทางที่เมืองโพครา ที่นี่สามารถเรียกแท็กซี่ราคา 105 Rsซึ่งเป็นราคามาตรฐาน ไปที่พักในย่านเลคไซด์ได้ หรือเลียบทะเลสาบเฟวานั่นเอง เราแบ่งเป็น 2 คันเพราะรถบรรทุกไม่พอ

วันนี้ก็ต้องเจอกับขบวนเหมาอิสต์ที่ออกมาฉลองกับชัยชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพียง 2 วัน แต่ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด


ตอนแรกบอกให้แท็กซี่พาไปด้านใต้ของทะเลสาบ แต่ดันพาเราไปด้านเหนือซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ก็เลยลงและมองหาที่พักที่สืบๆมาจากอินเตอร์เน็ต


เดินผ่านมาตรงสี่แยกเห็นควายเดินข้ามถนนก็เลยต้องเก็บภาพซะหน่อย เพราะนานๆทีจะได้เห็นแบบนี้ กรุงเทพไม่มีโอกาสเห็นภาพแบบนี้แน่ๆ


ผมเดินหาที่พักแบบชาวบ้านที่จดมาจากเน็ตชื่อ Kapana guesthouse แต่ต้องเดินไกลมากและพบว่าอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบ วิวไม่สวยเท่าไหร่เพราะโดยอาคารอื่นๆบัง เลยเก็บวิวทะเลสาบเฟวาช่วงนี้ไปก่อน


และแล้วก็ต้องเดินกลับมายังรงแรมที่เพื่อนอีก 3 คนจองไว้แล้ว ชื่อว่า Hotel Peace Plaze อยู่ฝั่งเดียวกับทะเลสาบเฟวาเลย วิวน่าจะดี


สภาพภายในห้องซึ่งจะมีเตียงคู่แบบนี้ทุกห้อง แต่ห้องนี้มีห้องน้ำในตัวด้วย ห้องสะอาดสะอ้านน่าพักมากๆ เรื่องนี้ขอยืนยัน แถมใหม่ไม่เก่าแบบที่เคยพักในกาฐมาณฑุ ราคาต่อรองลงได้เหลือ 600 Rs/ห้อง


วิวเมื่อมองจากห้องพักออกไปยังชั้น 4 และชั้นดาดฟ้า ฟ้าเริ่มครึ้มมาแล้ว


เราเดินขึ้นมายังดาดฟ้า วิวสวยจริงๆ อีกฝั่งหนึ่งของถนนเป็นโรงแรมบลูเฮเว่น น่าพักเช่นกัน


Phewa lake หรือ ทะเลสาบเฟวา จุดท่องเที่ยวแห่งใหญ่ของเมืองโพครา มีเรือแจวสีฟ้าจอดอยู่เรียงรายรอนักท่องเที่ยวไปใช้บริการ ส่วนใหญ่จะล่องทะเลสาบไปวัดทอง(Golden temple)เพื่อชมวิวหรือไม่ก็เดินขึ้นไปดูสถูปบนเขา ซึ่งเราเองก็จะใช้บริการในอีกไม่กี่นาทีเช่นกัน


พอลงมาที่ด้านล่างของโรงแรมก็ต้องหลบอยู่ภายในตัวตึกไปไหนไม่ได้เพราะฝนตกลงมาพร้อมๆกับลูกเห็บ


พอฝนหายตกประมาณ 5 โมงกว่าก็ออกเดินหาลูกหาบและรถไปส่งที่ Nayapul และไปรับกลับ เดินมาได้ไม่กี่เมตรจากโรงแรมที่พัก ด้านขวามือก็เจอกับบริษัท Seven Lake Tour & Travelที่ทำทัวร์ต่าง และจองตั๋วเดินทาง เราเลยเดินเข้าไปสอบถาม เจ้าหน้าที่ชื่อรามพูดเป็นกันเองมากและราคาไม่แพง เราเลยเลือกจ้างที่นี่

สรุป
1.จ้างลูกหาบ(porter) 2 คน / สัมภาระ 5 คน ข้อกำหนดลูกหาบแต่ละคนจะไม่ขนสัมภาระที่หนักเกิน 15 Kg.(ตามระเบียบทางการ) --> ลูกหาบคิดค่าบริการวันละ 600 Rs / คน ซึ่งรวมค่าอาหารและค่าที่พักไว้แล้ว เราไม่ต้องจ่ายอะไรอีก
2.รถตู้เหมาจากโพครา(ออกหน้าออฟฟิศ) ไปส่งที่ Nayapul จุดเริ่มต้น trekking (ใช้เวลาเดินทาง 1:30 ชม.) และให้มารับกลับในวันเดินทางกลับด้วย รวมแล้ว 1,700 Rs
3.จองตั๋วเครื่องบินภายในประเทศจากโพคราไปลงที่กาฐมาณฑุ สายการบิน Sita Airline ราคา 80 USD / คน


พอจองอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเราสองคนก็ไปล่องเรือที่ทะเลสาบเฟวา โดยอีก 3 คนขอตัวไปเดินเล่น ราคาก็เป็นไปตามป้าย โดยเราเลือกข้อแรกคือไปชมวัดทอง (Golden Temple of Barahi) ที่อยู่กลางทะเลสาบโดยมีคนพายเรือด้วย ราคา 250 Rs


เรือสีสันสวยงาม


แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่สดใสแม้ว่าฝนจะเพิ่งตกมาก็ตาม


ล่องเรือไป 2 คนดูจะดีที่สุดแล้ว ไม่มีใครมาขัดคอ


มองเห็นสถูปสีขาวใหญ่(Peace Stupa) ตั้งอยู่บนเขาริมทะเลสาบ สอบถามคนเรือว่าใช้เวลาเท่าไหร่ เขาบอกว่าไปกลับ 3 ชม. ! โห....อะไรจะนานขนาดนั้น


และก็มาถึงยังวัดทอง (Golden Temple of Barahi) มีคนมาสักการะเยอะเลย


ด้านหน้าของวัดทอง ที่ที่ชาวฮินดูมาทำบุญโดยแค่ล่องเรือจากฝั่งมาไม่ไกล


เรือหลากสีลอยลำอยู่ในทะเลสาบ


ต่อจากนั้นเราก็ไปทานอาหารเย็นและเดินเลือกซื้อโปสการ์ดสวยๆจากร้านค้าย่านเลคไซด์ ได้มา 12 ใบราคา 100 Rs เพื่อนำไปด้วยเวลา trekking โดยกะว่าจะเขียนในตอนค่ำของแต่ละวัน จะได้ยังมีข้อมูลสดๆเขียนลงไปหาเพื่อนๆ


ค่ำนี้กลับดึกพอควรคือประมาณ 4 ทุ่มครึ่งเห็นจะได้ เลยรีบนอนเอาแรงเพื่อตื่นแต่เช้า(อีกแล้ว) นัดหมายรถออกไป Nayapul 7 โมงตรง ดังนั้นต้องตื่นมา 6 โมงเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารเช้า แล้วไว้เจอกันในเช้าวันพรุ่งนี้กับวันแรกของการ Trekking จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอชมครับ

ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาติดตามอ่านเรื่องราว และทักทายกัน สวัสดีตอนเช้าครับ (_/\_)

Original Published on http://www.pantip.com on [ 25 เม.ย. 51 05:01:18 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/04//E6547178/E6547178.html



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น