วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2551

เนปาล (Day IV) ท่ามกลางอ้อมกอดหิมาลัย ตอน 4 บนหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ [2nd day trekking]


เช้าวันใหม่บนที่พักที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงเกือบ 2,000 เมตรนั้น ช่างเย็นยะเยือกสำหรับผมซะจริงๆ ผมนอนพลิกไปมาจนได้ยินเสียงปลุกจากมือถือที่ตั้งไว้ เวลาประมาณตีห้าครึ่งก็ต้องลุกจากเตียงเพื่อมารอชมแสงแรกที่สาดส่องมากระทบยังยอดเขาอันนาปุรณะเซ้าท์ (Annapurna South) คงจะเป็นวินาทีที่ช่างมีความสุขจริงๆกับทริปเนปาลของพวกเราในครั้งนี้

วันนี้เราลงความเห็นว่าจะออกเดินทางประมาณ 8 โมงเช้ากว่าๆ ดูจากโปรแกรมแล้วคงจะไม่โหดเหมือนอย่างเมื่อวานที่ผ่านมาแล้ว เพราะจุดที่โหดสุดก็น่าจะเป็นบันได 3,280 ขั้นจาก Tirkhedhugga ขึ้นมายัง Ulleri ที่พักของเราในค่ำคืนที่ผ่านมา สอบถามลูกหาบ เขาก็บอกว่าวันนี้คงใช้เวลาเดินประมาณ 6-7 ชั่วโมง คงไปถึงกอเรปานีบ่ายสามบ่ายสี่โมงเย็น เพราะทางชันไม่ค่อยจะมีแล้วแต่ยังคงเดินขึ้นเขาเรื่อยๆเพื่อไปยังจุดที่เตรียมจะขึ้นพูนฮิลล์(Poon Hill) ในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น โดยระดับความสูงที่กอเรปานีนั้นประมาณ 2,874 เมตร นั่นก็แสดงว่าวันนี้เราต้องเดินสูงไปอีกเกือบๆ 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล

ทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีทางจะรู้ได้เลยถ้าเราไม่ได้ก้าวขาไปพิสูจน์ด้วยตัวของเราเอง


=====
Ulleri - Banthanti - Nange Thanti - Ghorepani (2874 m.)
เส้นสีน้ำตาล : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งวันที่สอง จากอุลเลรี(Ulleri)ไปกอเรปานี(Ghorepani)
เส้นสีแดง : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งวันแรก จากนายาพุล(Nayapul)ไปอุลเลรี(Ulleri)
เส้นสีน้ำเงิน : เส้นทางจากเมืองโพครา(Pokhara)ไปนายาพุล(Nayapul)


ผมตื่นออกมาตอนตีห้าครึ่งโดยยังไม่มีใครตื่น ความหนาวที่ระดับอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาทำให้ใบหน้าชาพอดู แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้ผมลุกเดินไปยังระเบียงด้านข้างเพื่อไปรอชมความงามของยอดเขาอันนาปุรณะเซ้าท์ (Annapurna South) ด้านซ้ายมือ และฮิอุนชูลิ(Hiunchuli) ด้านขวามือ ที่ยามนี้ไม่มีเมฆมาบดบังเหมือนเมื่อวาน


บ้านเรือนที่อยู่บนเขาอีกลูกหนึ่งยังคงเปิดไฟกัน ทำให้เห็นแสงเป็นจุดเล็กๆอยู่ตามเขาไกลออกไป


กา....กา......กา........กา..................

เสียงอีกาที่บินวนไปมาพร้อมกับส่งเสียงดังระงมอยู่เพียงเสียงเดียวภายใต้ความเงียบสงบของท้องฟ้า ณ อุลเลรีในเช้ามืดวันนี้ พร้อมๆกับแสงสีทองแสงแรกของวันใหม่ได้เริ่มสาดแสงเข้ามาจากด้านปลายเขาลูกโน้น ...หกโมงห้านาทีพอดิบพอดี ช่วงเวลานี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบ หนาวเย็น และมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก


เหลือบมองไปรอบๆ เกสเฮ้าส์ที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นก็ยังพบเห็นนักท่องเที่ยวที่มานั่งชมแสงแรกที่เตรียมกระทบยอดเขาอันนาปุรณะเซ้าท์เช่นกัน


ซูมไปดูพื้นที่หลังเขากันอีกครั้ง บ้านเรือนปลูกตามสันเขา เดินไปไหนมาไหนกันทีลำบากขึ้นลงกันทีเดียว แต่คิดว่าชาวเนปาลที่อยู่แถวนี้เขาคงชินแล้ว สบายๆ แต่กับเราไม่ไหวแน่ๆ


และแล้วแสงอาทิตย์ก็เริ่มส่องมากระทบยอดเขาอันนาปุรณะเซ้าท์ ยอดเขาที่ยิ่งใหญ่และสวยงามบนเทือกเขาหิมาลัยช่วงอันนาปุรณะ


หลังจากอิ่มเอมกับการชมวิวของยอดเขาทั้งสอง พวกเราก็ผลัดกันอาบน้ำจากห้องน้ำรวมแล้วเดินลงไปด้านล่างเพื่อไปทานอาหารเช้าที่เมื่อวานกอล์ฟได้เตรียมสั่งเอาไว้แล้วเพื่อจะได้ไม่เสียเวลามาสั่งในตอนเช้าแบบนี้
อาหารเช้านี้เป็นเมนูง่ายๆ ทานสะดวกจะได้ไม่เสียเวลามาก นั่นคือไข่ดาว, ขนมปังแบบธิเบต(Tibetan bread) แพนเค้ก และกาแฟหรือชาร้อนๆตามแต่ละคนชอบ


เพื่อนของกอล์ฟสั่งข้าวผัดร้อนๆควันฉุยที่แสนจะน่ากินมาทานกับเลมอน-ที


ชอบที่ประทับเกสเฮ้าส์อีกอย่างคือ ในห้องทานอาหารก็สามารถมองวิวยอดเขาอันนาปุรณะได้อีกด้วย ทำให้ไม่ว่าจุดใดๆของเกสเฮ้าส์นี้สามารถอยู่ใกล้ชิดกับวิวยอดเขาสวยๆของเทือกเขาหิมาลัยได้ตลอดเวลา


พอทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาเตรียมอุปกรณ์สำหรับเทร็คกิ้งกันแล้ว กอล์ฟกำลังง่วนอยู่กับการเติมน้ำดื่มในถุงพลาสติกของเป้ที่แบกมาด้วยตนเอง เดินๆอยู่พอกระหายน้ำก็สามารถดื่มได้จากหลอดดูดที่โผล่มาที่บริเวณคอได้เลย


ก่อนออกจากประทับเกสเฮ้าส์ขอเก็บภาพนี้ก่อน ไม่แน่ใจว่าเขาเรียกว่าธงหรือไม่ โดยจะมีจากประเทศต่างๆบนผืนผ้าสีดำ เสียดายประเทศไทยไม่มี ใครจะไปพักที่นี่ฝากซื้อของไทยเราแล้วนำไปแขวนไว้ด้วยนะครับ :)


ก่อนออกเดินทางจริงๆ ขอชักภาพกับเจ้าของประทับเกสท์เฮ้าส์ซะหน่อย อิอิ


และแล้วการเดินเทร็คกิ้งในวันที่สองก็เริ่มขึ้นในเวลาประมาณ 8:20 น. เราสองออกเดินเป็นชุดสุดท้ายอีกแล้ว เพราะแต่ทำโน่นทำนี่ แต่ปล่อยให้เขาเดินไปก่อนหน่ะดีแล้ว เราค่อยๆเก็บภาพระหว่างทางกันไปเรื่อยๆ


ใครว่าเส้นทางในวันที่สองไม่โหด เราเดินมาได้สักพักจึงลงความเห็นว่า "โหดพอควรเลย" เพราะความที่เส้นทางมันยังชันขึ้นเขาไปเรื่อยๆนั่นเอง จนต้องเดินไปหยุดพักไปตลอด แถมเราทั้งสองคนเริ่มมีอาการเจ็บขาให้เห็นกันแล้ว


ณ จุดนี้น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่เราจะไม่เห็นเทือกเขาหิมาลัยช่วงอันนาปุรณะแล้ว เพราะต่อไปเขาที่อยู่ใกล้ๆจะมาบดบัง ทำให้จากนี้ไปเราจะเดินแบบไม่มีวิวหิมาลัยเป็นเพื่อนอยู่ตลอดทางจนกระทั่งช่วงเย็นๆที่จะได้เห็นวิวยอดเขาต่างๆของเทือกเขาหิมาลัยอีกครั้งที่กอเรปานี(Ghorepani) จุดหมายของเราในวันนี้


ระหว่างทางก็จะเจอกับชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่นร้องไห้กันนัวเนีย อย่างเช่นเด็กคนนี้ พอเรามานั่งพักยังไม่ทันไรก็เดินเข้ามาค้นกระเป๋าเราเพื่อจะหาเงิน สุดท้ายเราขอถ่ายรูปแบบใกล้ๆแต่ไม่ได้ให้เงินไปเพราะจะเสียนิสัย


เรายังคงอยู่ในหมู่บ้านอุลเลรีแม้เดินไปไกลแล้วก็ตาม


หนึ่งชั่วโมงผ่านไปลองมองย้อนกลับไปยังประทับเกสเฮ้าส์ โห....เราเดินขึ้นมาสูงและไกลเหมือนกันนะเนี่ย


เราเริ่มเข้าเขตดงกุหลาบพันปีแล้ว ภาษาอังกฤษเรียก Azelia หรือภาษาทางวิทยาศาสตร์คือ Rhododendron เจอดอกที่กำลังแย้มบานอยู่หนึ่งดอก


นี่ไง....เริ่มเห็นอวดโฉมกันบ้างแล้ว


9:45 น. เราก็มาถึงหมู่บ้านแรกของเส้นทางการเดินเทร็คกิ้งในวันนี้คือ บันธานติ(Banthanti)



และร้านอาหารระหว่างทาง ซึ่งไปตรงไหนสักพักก็จะเจอตลอดเส้นทางนะครับ ไม่อดตายกัน ขอแค่มีเงินอย่างเดียว


ต่อจากนี้ไป เส้นทางจะเริ่มเข้าสู่ป่าแบบที่มีพืชตระกูลมอสปกคลุมแล้ว เนื่องจากสูงขึ้นเรื่อยๆและประกอบกัปรอากาศที่ชื้น พืชตระกูลนี้จึงพบเห็นอยู่ทั่วไปตลอดเส้นทาง


การเดินสวนกับลาที่กำลังบรรทุกสิ่งของนั้นไม่แปลกนัก แต่จะแปลกถ้าลานั้นบรรทุกอย่างอื่นดังเช่นเด็กตัวน้อยคนนี้ สงสัยคงเดินไม่ไหวแม่เลยพาขึ้นขี่บนหลังลาดูน่ารักไปอีกแบบ


ต้นกุหลาบพันปี (Rhododendron) เต็มไปหมดเลย


และแล้วพาเหรดลาขบวนแรกก็มาถึง เสียงคนนำทางได้ยินมาแต่ไกล ฝูงลากำลังขนเหล็กเส้นและปูนกันมาเลย ดูแล้วก็น่าสงสารนะครับ มันคงหนักแย่เลย


ลาเดินมาแบบนี้แนะนำให้หยุดรอและยืนแอบๆไว้จะเป็นการดี เพราะไม่งั้นแล้วอาจโดนลาชนเข้าให้ก็เป็นได้ เผลอๆดวงไม่ดีอาจโดนชนตกเขาก็เป็นได้ ควรระวังให้ดีครับ


อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆจนผมต้องเอาเสื้อแจ็คเก็ตที่ผูกเอวไว้ขึ้นมาสวมใส่ ชมวิวไปเพลินๆ ไม่แน่ใจว่าดอกสีขาวนี้ดอกอะไร


เดินไปเรื่อยๆจะเริ่มเห็นเต่าทองออกมาเดินกันยั้วเยี้ยแล้ว มีทั้งที่เกาะตามใบไม้และบนทางเดินเท้าจนบางครั้งก็ต้องบี้แบนจากการที่โดนคนที่สัญจรไปมาเหยียบทับ


ลาขบวนที่สองมาแล้ว


11:20 น. เราก็แวะพักดื่มน้ำอัดลมอีกครั้ง ณ จุดที่เริ่มเข้าเขตหมู่บ้าน Nange Thanti ราคาของน้ำอัดลมจะยังคงเท่าเดิมคือแบบขวด 250 ml. ราคา 70 Rs.(~35 บาท) ส่วนแบบขวดพลาสติก 500 ml. ราคา 120 Rp.(~60 บาท)


ไม่นานเราก็เดินมาถึงบริเวณที่เราทั้งสองเรียกว่า "หนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ" นั่นคือบนพื้นทางเดินเต็มไปด้วยกลีบของกุหลาบพันปีที่ร่วงหล่นนั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นที่มาของชื่อตอนนี้ โดยต่อไปเราจะเห็นกลีบดอกกุหลาบพันปีร่วงหล่นตามพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ


บางช่วงที่ต้องข้ามลำธารเล็กๆก็จะเห็นน้ำตกไม่ใหญ่นักอยู่บ้าง เห็นสภาพธรรมชาติแล้วนึกถึงภูสอยดาวบ้านเราจัง


มาชมดอกกุหลาบพันปีแบบใกล้ๆสัก 1 ชุดก่อน อาจจะไม่สวยเท่าไหร่นักเพราะยังไม่ได้เข้าเขตดงกุหลาบพันปีของจริง


ต้นอะไรไม่ทราบมีพืชใบเขียวปกคลุมลำต้น


ประมาณเที่ยงครึ่งเราก็มาถึงจุดพักรับประทานอาหารกลางวันระหว่างทางที่หมู่บ้าน Nange Thanti มีชื่อร้านอาหารว่า "Hungry Eye"



ดูเมนูกันก่อน สั่งอะไรดีจ๊ะ?


เครื่องดื่มร้อนๆมาก่อนเลยครับ เนื่องจากอากาศภายนอกเย็นมากแล้ว เลยสั่ง Hot Milk มา แต่แก้วนี้รู้สึกรสชาติแปลกๆ(คาวๆ ไม่แน่ใจว่านมควายมั้ย) เลยดื่มไม่หมดแต่ก็ได้คนข้างๆช่วยดื่มจนหมด อิอิ


ระหว่างรออาหารหลัก ก็สำรวจภายในร้านอาหารไปเรื่อยๆ ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอรูปตกแต่งร้านที่เป็นรูปเกาะนางยวน จากประเทศไทย 555 มาได้ไงเนี่ย??


ส่วนอาหาร ผมสั่งง่ายๆที่ทำเร็วคือ Egg Fried Rice แต่ก็ไม่วายรอเกือบชั่วโมงจนได้ พอมาเสริฟแล้วก็ลงมือโดยนำน้ำพริกที่ใส่กล่องมาคลุกกับข้าวด้วย อร่อยจริงๆเลย


ออกจากฮังกรี้อายก็เริ่มเจอกับดงกุหลาบพันปีเข้าจริงๆแล้ว แหงนมองไปเขาลูกไหนก็จะมีต้นกุหลาบพันปีแซมเต็มไปหมด โชคดีที่เรามาช่วงเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่ดอกกุหลาบพันปีเบ่งบานชูช่อสำหรับที่นี่โดยเฉพาะเลย


บางช่วงก็จะมีสะพานไม้ข้ามลำธารเล็กๆไป


ขนาดมีหินทำทางเดินไม่เพียงพอ ชาวบ้านยังอุตส่าห์นำไม้มาวางแทนเพื่อเป็นรั้วกั้นกันคนเดินผ่านไปผ่านมาตกเขา


มอสปกคลุมต้นไม้นี้ทั้งต้นเลย ช่างเขียวชอุ่มจริงๆ


ได้พบดอกกุหลาบพันปีสีบานเย็นแล้ว ต้นนี้ดอกหนาแน่นจริงๆ


มาชมกันแบบใกล้ๆบ้างครับ ดอกกุหลาบพันปีสีชมพูกำลังบานสวยอยู่พอดีเชียว


เดินผ่านลาบางครั้งก็อดสงสารมันไม่ได้ เพราะต้องแบกอะไรที่หนักๆและแปลกๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง หรือไม่ก็ถังแก็สดังที่เห็น


เดินมาเรื่อยๆอากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเข้าร่มไม้จะหนาวเป็นพิเศษ ทางเดินที่เห็นก็เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบของดอกกุหลาบพันปี เราทั้งสองยังคุยกันตลกๆว่า ไม่น่าเชื่อ  มีหนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบจริงๆด้วย ไหนใครบอกว่า ไม่มีหนทางใดที่จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบหรอก ?


จ๊ะเอ๋กับดอกกุหลาบพันปีสวยๆ ซึ่งเป็นของคู่กันอยู่แล้ว อิอิ


ยินดีต้อนรับสู่ดงกุหลาบพันปีที่กำลังแข่งกันเบ่งบานออกดอกชูช่อพรึบเต็มป่าบริเวณกอเรปานีเต็มไปหมด !



อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า "โรยด้วยกลีบกุหลาบ" แล้วจะให้เรียกว่าอะไร


ทำอย่างกับเป็นซุ้มให้เราทั้งสองลอดผ่านไปด้วยกัน


มาถึงบริเวณนี้แทบจะไม่ได้เดินไปไหนเลยเพราะต้องคอยเก็บภาพสวยๆที่สายตาทั้งสองมองเห็น


แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาหมดดั่งที่ใจอยากให้เป็น


ต้องมาให้เห็นด้วยสองตาตัวเอง


แล้วคุณจะได้ทราบซึ้งและซึมซับกับบรรยากาศที่รายล้อมรอบๆกายว่ามันช่างวิเศษเพียงใด โดยเฉพาะถ้ามากับคนพิเศษด้วยแล้ว....


ไม่นานนักหลังจากเดินต่อไปเรื่อยก็ได้เห็นคล้ายๆกับธงมนตราที่โบกสะบัดตามแรงลม จนเราเข้าใจผิดว่านั่นคือพูนฮิลล์ จุดที่เราจะมาขึ้นในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วเป็นแค่เพียงกลางทางจากด้านล่างที่กอเรปานีขึ้นไปยังพูนฮิลล์เท่านั้นเอง !


ดูความสดและความหนาแน่นของดอกกุหลาบพันปีอีกครั้งก่อนเข้าหมู่บ้านกอเรปานี


สี่โมงตรงเป๊ะก็มาถึงยังหมู่บ้านกอเรปานี(Ghorepani) ที่ที่เราจะต้องพักหนึ่งคืนก่อนที่จะขึ้นไปยังพูนฮิลลในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น


จากข้อมูลของคุณ kfc ที่บอกว่าอย่าเพิ่งเข้าพักบริเวณนี้ ให้เดินเข้าไปอีก 10 นาทีแล้วค่อยเลือกที่พัก เพราะจะได้ชมวิวแบบเต็มๆกับยอดเขาต่างๆของเทือกเขาหิมาลัย


ในที่สุดก็มาถึงที่โรงแรมตูกุเช(Tukuche Peak View) [ที่อยู่ในกูเกิ้ลแม็พ] ตามคำแนะนำของคุณ kfc เช่นเดิม


ที่พักให้เลือกชั้นสองฝั่งซ้ายมือนับจากเดินขึ้นบันไดไป โดยเฉพาะห้องท้ายๆ(สุดทางเดินออกไป) จะเห็นวิวเทือกเขาตูกุเช(Tukuche) ตามชื่อโรงแรมไงหล่ะครับ แต่ห้องฝั่งซ้ายก็เห็นวิวเทือกเขาหิมาลัยทุกห้องอยู่แล้ว
สภาพภายในห้องก็เป็นดังที่เห็น สะอาด และหนาวววมากกก


ตอนแรกที่ไปถึงยังไม่เห็นวิวเทือกหิมาลัยเขาแบบพานอรามาตามที่ตั้งใจจะมาดู เนื่องจากฟ้ายังไม่เปิดแต่พอสักพักก็สามารถมองเห็นได้เล็กๆน้อยๆก่อนที่จะหมดแสงอาทิตย์ลงไป


เก็บข้าวของสัมภาระเสร็จก็มาเดินช็อปปิ้งข้างนอก แต่บอกไว้ก่อนว่าอากาศที่นี่หนาวมากๆ พูดควันออกปาก ต้องสวมถุงมือมาด้วยไม่งั้นมือจะเย็นเกินไป ของที่นำมาขายก็จะมีพวกสร้อยต่างๆ สร้อยคอ สร้อยข้อมือ สีสันสดใสสสส


เดินชมไปเรื่อยๆก่อน ถ้าราคายังไม่ถูกใจค่อยมาต่อรองในวันรุ่งขึ้นได้ก่อนเดินทางกลับ  พี่คนนี้กำลังหลับตานับคล้ายๆลูกประคำไปมา สงสัยจะไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไหร่


ก่อนจะกลับเข้าที่พักก็มาดูจุดที่จะเดินขึ้นพูนฮิลล์(Poon Hill)ในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นกันก่อน เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะเดินมาไม่ถูกทางเพราะมืด
ทางขึ้นก็ตรงบันไดที่คนเสื้อสีน้ำเงินกำลังเดินลงมาโดยจะสามารถไปได้ทั้งซ้ายและขวาตามแผนที่ที่บอกไว้ เพราะสุดท้ายแล้วก็จะมาบรรจบกันอีกทีก่อนที่จะเดินขึ้นพูนฮิลล์อีกครั้ง แต่ผมแนะนำให้เดินไปทางซ้ายมือจะดีกว่าครับ เส้นทางชัดเจนทางไม่ชันมากนัก


หลังจากอาบน้ำที่ไม่ค่อยจะอุ่นเท่าใดนัก ก็ทะยอยลงมาทานอาหารมื้อเย็นกัน คนในโรงอาหารนี้ออกมาทานเยอะอยู่ทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง และมีฟืนเป็นเชื้อเพลิงในการทำให้อบอุ่นด้วย ที่นี่อากาศหนาวมากๆๆๆ

แล้วก็ได้เวลาอาหารที่สั่งไปมาเสริฟแล้ว มีพิซซ่า, โอมเล็ตหรือไข่เจียว, แกงไก่ และขาดไม่ได้นั่นคือ โมโม่ พร้อมกับเสริฟด้วยชาร้อน

ช่วงนี้เองที่ผมรู้สึกว่าอาการเดิมเข้ามาทักทายอีกแล้ว นั่นคือ "อาการเจ็บเข่า" เจ็บจนไม่สามารถที่จะเดินขึ้นและลงบันไดได้ตามปกติต้องใช้มือเท้าราวบันไดตลอด อาการนี้เคยเกิดขึ้นตอนลงมาจากเขาคินาบาลูหลังจากพิชิต Low's Peak และเกิดอีกครั้งตอนที่ลงมาจากภูสอยดาวกับเจ้ากอล์ฟเมื่อกันยายนปีที่แล้ว ผมจึงเริ่มคิดเสียดายอยู่ในใจแล้วว่า มาถึงตรงนี้แล้วจะไม่สามารถขึ้นพูนฮิลล์เชียวหรือ ? หรืออาจต้องพักอีกหนึ่งคืนแล้วค่อยขึ้นในเช้าของอีกวันหนึ่ง โดยให้คนอื่นๆเดินทางล่วงหน้าไปก่อนไม่ต้องรอ แต่โชคก็ยังเข้าข้างผมอยู่บ้าง กอล์ฟทราบดีถึงอาการของผม เลยให้ยา Celebrex ซึ่งเป็นยาคลายกล้ามเนื้อให้ผมกินก่อนนอน ผมได้แต่ภาวนาว่ากินไปแล้ว และนอนพักยาวคงจะช่วยให้ดีขึ้นมาบ้างไม่ต้องถึงกับไม่เจ็บเลย แต่อย่างน้อยก็เจ็บน้อยลงจะได้พยายามเดินขึ้นไปกับพวกเพื่อนๆให้ได้ในวันรุ่งขึ้น แต่ดูๆแล้วเปอร์เซ็นต์ช่างน้อยจริงๆ เพราะหลังจากทานอาหารและทานยาเสร็จก็เดินขึ้นห้องในสภาพแย่มากๆ เจ็บเข่าสุดๆ พอเข้าห้องก็รีบนอนใต้ผ้าห่มไม่ขยับขาไปไหนเพราะขยับไม่ได้นั่นเอง ขยับแล้วจะปวดมาก คราวนี้คงมีปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยผมให้สามารถเดินขึ้นพูนฮิลล์ในเช้ามืดวันรุ่งขึ้นได้ 

แล้วมาดูกัน เช้ามืดวันพรุ่งนี้ผมจะหายจากอาการเจ็บเข่าแล้วสามารถเดินขึ้นพูนฮิลล์ได้หรือไม่ หรือปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ! ?

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น