วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2551

เนปาล (Day III) ท่ามกลางอ้อมกอดหิมาลัย ตอน 3 Never End Peace And Love ... NEPAL [1st day trekking]


วันนี้แล้วสินะที่เราจะไปเดินทนกัน หรือเรียกแบบฝรั่งว่า trekking พวกเราตระเตรียมกระเป๋าเป้ให้ขนของน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะไม่งั้นน้ำหนักคงเกิน 15 กก. ต่อ 2 ใบตามที่ตกลงกับเอเย่นต์เมื่อวานแน่ๆ ผมและจ๊ะเอ๋รวมเสื้อผ้าเข้าไว้ด้วยกันในเป้เดียว กอล์ฟรวมกับเพื่อนจาก TKT แต่กอล์ฟก็แบกเองไป 1 ใบ ส่วนเพื่อนกอล์ฟนั้นเอาไปเต็มสูตร ไม่แยกออกสักกะชิ้น ภาระหนักอึ้งคงตกไว้กับลูกหาบ เบ็ดเสร็จแล้วมีเป้ให้ลูกหาบขนทั้งหมด 3 ใบ / ลูกหาบ 2 คน

ตามที่นัดกันไว้เมื่อเย็นวานคือ วันนี้รถจะมารอรับเวลา 7 โมงเช้าที่หน้าออฟฟิศซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่พักของเรานั้น แต่ละคนก็ต้องตื่นมาทำธุระส่วนตัวกันประมาณ 6 โมงเช้าซึ่งในเนปาลก็สว่างโล่งแล้ว ใช้เวลาเดินทางจากเมืองโพครา(Pokhara)ไปนายาพุล(Nayapul) ประมาณ 1 ชม. ครึ่ง ส่วนระยะเวลาเทร็คกิ้งของวันแรกนั้นขึ้นอยู่กับความฟิตของแต่ละคน ไกด์บอกมาว่า 4 ชม.ถ้าจะไปถึง Tirkhedhunga แต่เราจะกัดฟันไปอีก 2 ชม.เพื่อไปพักที่ Ulleri ตามที่คุณ kfc ได้บอกไว้ หลายคนไม่เชื่อระยะเวลาที่ไกด์บอกมา เลยเป็นที่มาว่าต้องออกแต่เช้าตรู่เพราะคงใช้เวลา 6-8 ชม.เป็นแน่


=====
Pokhara - Nayapul - Birethanti - Maththanti - Sudame - Hile - Tirkhedhugga - Ulleri(1960 m.)
เส้นสีน้ำเงิน : เส้นทางจากเมืองโพคราไปนายาพุล
เส้นสีแดง : เส้นทางเดินเทร็คกิ้งจากนายาพุล(Nayapul)ไปอุลเลรี(Ulleri)
  

เราตื่นนอนมาประมาณ 5:45 น. แล้วจัดแจงเก็บข้าวของแยกไว้สำหรับฝากกับทางโรงแรมเพราะขากลับจากเทร็คกิ้งเราก็จะมาพักที่นี่ต่อ ไม่ต้องนำของที่ไม่จำเป็นไป
จากดาดฟ้าชั้น 3 ของที่พักก็ทำให้เราเริ่มออกอาการตื่นเต้นไม่น้อย เพราะไม่ทันไรก็ได้เห็นยอดหางปลา(Fish tail) หรือมัจฉาปูชเร(Matchapuchre) เป็นยอดแปลกยอดหนึ่งบนเทือกเขาหิมาลัยช่วงอันนาปุรณะ(Annapurna) ซึ่งแต่ละจุดที่ได้เห็นยอดหางปลานี้จะมีมุมไม่เหมือนกัน เรารอคอยเพื่อจะไปค้นหาคำตอบว่าทำไมถึงมีชื่อว่า "หางปลา" ที่พูนฮิลล์ในเช้าวันที่สามของโปรแกรมเทร็คกิ้งนี้


เมื่อเราซูมไปใกล้ๆ อย่างกับอยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่เลย


อาหารเช้าสั่งแบบง่ายๆ เพราะเดี๋ยวจะไม่ทันรถที่จะมารับตอนเจ็ดโมง เลยเลือกสั่งแบบ American Breakfast มีผมทานอยู่คนเดียว ประกอบด้วย ไข่ดาว 2 ฟอง, ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น, เนยและแยม และมิลค์คอฟฟี่ ราคา 99 Rs


เจ็ดโมงนิดๆก็เดินออกไปรอที่ออฟฟิศหลังจากที่นำกระเป๋าที่ไม่ได้ขนไปด้วย 2 ใบฝากกับเจ้าของโรงแรมและบอกว่าเราจะกลับมาพักในเย็นวันที่ 18-19 เมษายน 51 รวมเป็น 2 คืนช่วยจัดห้องไว้ให้ด้วย รถตู้สภาพดูดีทีเทียว จะบรรทุกนักเดินทางจากไทย 5 คนบวกกับลูกหาบจากเนปาลอีก 2 คนไปยังนายาพุลจุดเริ่มต้นของการเทร็คกิ้งในเขตอันนาปุรณะ หรือ ACAP(Annapurna Conservation Area Project)


 พอรถเลี้ยวซ้ายจากสี่แยกที่เมืองโพคราแถวเลคไซด์ย่านที่เราพัก ไม่นานเราก็จะได้เจอภาพภูเขาขาวโพลนจากหน้าต่างรถตู้ดังที่เห็นในภาพ ตื่นตาตื่นใจมากๆกับภูเขาและลำธารขนาบกันไปราวกับฝันไปที่ได้เห็นภาพสวยงามแบบนี้ มันเป็นฝันที่ได้กลายเป็นความจริงก็คราวนี้แหล่ะ ภาพวิวเทือกเขาหิมาลายาสูงตระหง่านขาวด้วยหิมะปกคลุมสะท้อนแสงอาทิตย์เมื่อยามเช้าแบบนี้คงไม่ทำให้ใครอยากที่จะหลับใหลอีกต่อไป


กอล์ฟถึงกับเลื่อนกระจกหน้าต่างรถตู้เพื่อนำกล้อง 40D ออกมาเล็งภาพโดยไม่อยากให้อะไรมาบดบังสิ่งที่ตามองเห็นสู่เลนส์ราคาเป็นหมื่นเพื่อเก็บภาพประทับใจนั้นเอาไว้


ยอดมัจฉาปูชเรช่างสูงเด่นมาแต่ไกลเป็นยอดที่ใครๆเขาร่ำลือในความแปลกและยิ่งใหญ่ พอมาเห็นด้วยตาก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

รถเริ่มไต่ไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ ความสูงเริ่มเพิ่มขึ้น บางจุดมีบ้านเรือนปลูกสร้างตามริมถนน ความสูงที่เพิ่มขึ้นทำให้อากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะแม้จะมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาก็ตาม


แปดโมงสี่สิบรถตู้ก็พาพวกเราทั้งห้าคนมาถึงยังนายาพุล(Nayapul) จุดเริ่มต้นเทร็คกิ้งช่วงพูนฮิลล์(Poon Hill) และจมสม(Jomsom) อากาศค่อนข้างเย็นลง


โฉมหน้าผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้ ขาดแต่เพียงผมเพราะผมเป็นคนถ่ายนั่นเอง อิอิ


 อีกห้านาทีเก้าโมงเราก็เริ่มเดินด้วยขาสองข้างแล้ว อุณหภูมิตอนนี้ก็ 22.2 องศาเซลเซียส อากาศเย็นๆ สบายๆ


เส้นทางช่วงแรกเป็นเส้นทางที่สบายมากเพราะเดินไปตามทางที่ชาวบ้านสัญจรไปมา และเป็นหมู่บ้านที่มีบ้านเรือนมาปลูกอยู่ริมทางเดินตลอดสองข้างทาง มีร้านขายของ ขนม อาหาร และเครื่องดื่มตลอดทั้งสองข้างทาง บางทีเราก็สวนกับลูกหาบที่แบกของกองโตอยู่บ้าง คงมีนักท่องเที่ยวเดินกลับมาตอนเช้ามืด


เดินไม่ทันไรก็ต้องมาเจอกับฝูงลาที่กำลังหยุดยืนเพื่อรอขบวนไปพร้อมๆกันโดยฟังสัญญาณจากเจ้าของว่าเมื่อไหร่จะเริ่มออกเดินทาง สังเกตเห็นผ้าไหมพรมถักสีแดงที่ติดอยู่ตรงหน้าผาก ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไรหรือแสดงอะไรบางอย่างหรือไม่ แต่จะเห็นแบบนี้อีกเมื่อเดินไปเรื่อยๆ


เป็นฝูงลาที่เยอะจริงๆ ต้องพยายามเดินหลีกๆเข้าไว้


แล้วก็มาถึงยังสะพานสลิงสะพานแรกครับ ข้ามลำธารแรกที่ตอนนี้น้ำเหือดแห้งไปหมดแล้ว


หลังจากนั้น พอเดินไปสักพัก จะเจอกับด้านซ้ายของเส้นทางในช่วงแรก ซึ่งจะเป็นลำธารสีขาวขุ่นลัดเลาะไปกับเขา เดาๆเอาอุณหภูมิน้ำน่าจะเย็นไม่น้อย เพราะขนาดอุณหภูมิอากาศเองก็เย็นสบายอยู่แล้ว


มองย้อนกลับไปเห็นเด็กๆเนปาลีวิ่งเล่นแล้วอดคิดถึงเราตอนเป็นเด็กไม่ได้ คงมีความสุขน่าดูยิ่งอยู่ใกล้ๆธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้ด้วยแล้ว สุขทวีคูณ


บางร้านก็ขายผักผลไม้ มะเขือเทศสีแดงสดดูแล้วน่าทานจัง


ประมาณ 9:35 น.เราก็เดินมาถึงสะพานข้ามลำธารอีกสะพาน ซึ่งตรงไปคือจุดเช็คพอยต์สำหรับการมาเทร็คกิ้งที่นี่ ธงมนตรากำลังค่อยๆปลิวตามแรงลมที่อาจจะไม่แรงนักเหมือนบนเขา


ณ จุดนี้คือหมู่บ้านบิเรธันติ(Birethanti)เป็นจุดเช็คพอยต์สำหรับการมาเดินเทร็คกิ้งเส้นทางช่วงนี้ โดยด้านซ้ายมือที่เห็นลูกศรชี้จะไปกอเรปานี(Ghorepani)โดยผ่านหมู่บ้านอูลเลรี(Ulleri) ส่วนด้านขวามือจะไปยังกันดรุ๊ค(Ghandruk)แล้วไปต่อที่กอเรปานี(Ghorepani)ได้เช่นกันแต่จะไกลกว่าเส้นทางทางด้านซ้ายมาก


เดินมาเจอชาวบ้านกำลังตากหนังสัตว์ 3 ตัว ไม่แน่ใจว่าหนังสัตว์อะไร เสือหรือหมีน้าาา แปลกตาเรามาก


ระหว่างทางเป็นทางเดินหินที่ชัดเจนไม่หลง และเดินไปไม่เหงาเนื่องจากเจอชาวบ้านและลูกหาบตลอดทั้งเส้นทาง เดินสวนกันไปสวนกันมา


เดินไปเรื่อยๆก็จะเจอกับน้ำตกขนาดกลางๆ ไม่เล็กและใหญ่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับของไทยเรา มีฝรั่งใส่ชุดบิกินี่ลงไปเล่นน้ำเหมือนกัน เจ้ากอล์ฟก็เป็นคนหนึ่งที่เดินลงไปเก็บภาพเด็กๆเนปาลที่ลงกระโดดเล่นน้ำ ณ น้ำตกแห่งนี้


เดินไปเรื่อยๆ อากาศชักเริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว แต่หนทางยังอีกยาวไกลนัก อากาศร้อนจากที่แต่เดิมใส่เลื้อแจ็คเก็ตทำให้ต้องถอดออกมาผูกกับเอวแทน เริ่มเดินทางมาถึงหมู่บ้าน Maththanti แล้ว


รูปแบบบ้านของชาวเนปาลีเป็นรูปแบบที่ถูกใจกับใครหลายๆ คน ดูได้จากสีสันอันสดใสของหน้าต่างและประตูที่ทาสีฟ้าสวยสลับกับเสาสีเลือดหมูของของชาวเนปาลีที่ค้ำยันหลังคาและอาคารที่อยู่ชั้นบน


มาที่นี่มีแต่เดินและก็เดิน เห็นคนอยู่ลิบๆมั้ย??


ผ่านลำธารใสสะอาด เห็นแล้วอยากดื่มน้ำเย็นๆขึ้นมาทันใด


แล้วก็มาถึงจุดพักจุดแรกของการเทร็คกิ้งในทริปนี้ พวกเราสั่งน้ำอัดลมและซื้อหนังสือมาอ่าน


มื้อนี้ผมสั่ง Egg with Fried Noodle รสชาติโอเคครับ


เจ้าลายังคงเป็นยานพาหนะที่ชาวบ้านนิยมใช้เป็นอย่างมาก เนื่องจากขนของได้มากขึ้น สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตลอดเส้นทาง


 มาเจอป้ายระหว่างบอกข้อมูลทาง ตรงไป(up way) Ulleri อีก 3 ชม. ส่วนจมสมนั่นอีก 5 วัน และขากลับ(down way) ก็บอกเส้นทางที่เราเดินผ่านมานั่นเอง


อ้าววว.....มาเจอกับควายเล่นน้ำเข้าให้แล้ว มันเองก็คงตื่นเราน่าดูที่ไปมองจ้องมันพร้อมๆกับวัตถุแปลกๆสีดำตรงด้านหน้า


เส้นทางเดินและขอบทางเดินปูด้วยหินชั้นเป็นแผ่นๆสวยงามดี


บางจุดก็ปลูกข้าวกันตามนาขั้นบันได


แอบส่องนมแม่กระบือตัวนี้หน่อยเถอะ


แล้วในที่สุดสิ่งที่ผมตามหาจากบันทึกของคุณ kfc ก็เจอในบัดนี้ นั่นคือข้อความที่เขียนลงบนฝาผนังจากร้านค้าร้านหนึ่งของหมู่บ้าน Sudame ว่า

"Never End Peace And Love"

ซึ่งก็คืออักษรขึ้นต้นแต่ละคำรวมกันคือ N E P A L = เ น ป า ล นั่นเอง โดยแต่ละคำก็มีความหมายมากๆ น่าจะหมายถึง ความรักและสันติภาพไม่มีวันจะสิ้นสุดลง เห็นข้อความแล้วแทบขนลุก


เส้นทางช่วงนี้ไม่ค่อยจะโหดเท่าใดนัก ค่อยๆเดินขึ้นทีละเล็กน้อยเป็นบางช่วง บางจุดก็เดินสวนกับลูกหาบที่แบกของใหญ่โตมาก ยังคิดในใจเลยว่ายังไงๆก็เกิน 15 กก.แน่ๆ


เจอข้อความ "Never End Peace And Love" อีกครั้งก่อนจะออกจากหมู่บ้าน Sudame


เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักไม่ต้องเร่งรีบ วิวสองข้างทางสวยงามเสมอ ขนาดไม้ที่ตัดเรียงไว้เพื่อทำฟืนยังดูแปลกตาเลย


หน้าต่างและวงกบบ้านหลังนี้คงจะเพิ่งทาสีใหม่


เหลือบมองขึ้นไปด้านบนเนินเขา เห็นบ้านเรือนปลูกกันอยู่หลายหลัง เดินขึ้นเดินลงคงลำบากน่าดู แต่คนแถวนี้น่าจะชินแล้วก็เป็นได้


ทางเดินช่วงนี้เรียงตัวโค้งสวยงามมากเลยนะครับ ชอบที่มีราวกันตกแน่นหนาแข็งแรงด้วย ผิดกับสถานที่ท่องเที่ยวในไทย น้อยมากที่จะมีครับ


บ่ายสองสี่สิบห้าก็มาถึงยังหมู่บ้าน Hile ณ จุดนี้ผมดื่มน้ำแฟนต้า 1 ขวดและขอซื้อน้ำเปล่าติดตัวไปเนื่องจากขวดเดิมจะหมดแล้ว


ฟ้าครึ้มๆมาแล้ว สงสัยฝนจะตกในไม่ช้า แต่ดอกไม้เล็กๆสีชมพูระหว่างทางก็สวยงามเสมอสำหรับเราสองคน


สุดท้ายเดินไปได้สักพักฝนก็ตกลงมาจริงๆ แต่คราวนี้ไม่ตกปรอยๆแล้ว หนักปานกลาง เราเลยเลือกแวะหลบฝนและสั่งนมร้อนไปในตัวเพื่อฆ่าเวลา แต่ก็มีนักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่กลัวฝนยังคงเดินต่อไปท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายมาอย่างเช่น 2 คนนี้  เราแวะที่นี่เพื่อหลบฝนและสั่งเครื่องดื่มไปในตัว แต่เด็กเจ้าของร้านดันมาชักชวนเราให้พักที่นี่ โดยอ้างว่าไปอูลเลรีอีกไกล จะมืดซะก่อน คงอยากจะได้ลูกค้ามาพักที่นี่บ้าง แต่เราไม่สนใจเพราะยังเหลืออีกหลายชั่วโมง สามารถไปต่อได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา


พอฝนซาก็ออกเดินต่อ เพราะเกรงว่าจะไปถึงค่ำถ้ามัวแต่มารอฝนหายหยุดตก จนสุดท้ายก็ต้องมาเจอกับเพื่อนจาก TKT และลูกหาบสองคนที่นั่งหลบฝนในร้านอาหารที่หมู่บ้าน Tirkhedhugga หมู่บ้านสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปอูลเลรี(Ulleri) ที่อยู่ด้านบนโน้นนนนน  ซึ่งห่างจากที่นี่(Tirkhedhugga) โดยใช้เวลาเดินเท้า 2 ชม. !



15:05 น.ก็เริ่มออกเดินทางต่อแม้ฝนจะยังไม่หยุดตกก็ตาม เห็นธงมนตราแล้วทำให้ใจชื้นและมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง สู้ๆ เตรียมเดินขึ้นเขา 3280 ขั้น(ใครเป็นคนนับเนี่ย?)ในช่วงที่โหดที่สุดของทริปนี้ต่อไป


พอเดินขึ้นไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงก็มองลงมาด้านล่าง เห็นหมู่บ้าน Tirkhedhugga ที่เราได้ผ่านมาเมื่อสักครู่ใหญ่ๆ


และก็ต้องมาเจอกับขบวนลาขนของลงจากเขาเช่นเคย ช่วงนี้ดูลาจะระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะทางชันมากๆ พลาดไปคออาจหักได้


เท้าคู่นี้แหล่ะที่เดินทนกันมาหลายชั่วโมงด้วยกันตลอดไม่มีบ่นสักคำ


ระหว่างทางฝนตกๆหยุดๆตลอดเวลาแต่ไม่ได้ตกหนักมากมายอะไรนัก เบื่อๆเหนื่อยๆจากการเดินขึ้นเขาก็หยุดพักมองดูวิวที่ขุนเขาลูกข้างๆที่อยู่ไกลออกไป แอบตกใจเหมือนกันว่าทำไมเราเดินขึ้นมาสูงขนาดนี้ได้ไงเนี่ย


16:23 น. มาถึง Annapurna View Guest House ที่พักและร้านเครื่องดื่มระหว่างทางบนเขา ที่นี่ผมก็ดื่มสไปร์ท 500 ml. ราคา 120 Rs อีกหนึ่งขวดและหยุดหลบฝนและชมวิวไปในตัว


วิวที่เห็นจากร้านค้าแห่งนี้ ช่างโชคดีเหลือเกินที่จ๊ะเอ๋เป็นคนเรียกให้ดูและสามารถเก็บภาพรุ้งกินน้ำได้ทัน เราโชคดีอีกแล้ว


พักสักครู่ก็ต้องเดินทางต่อ ป้าขายเครื่องดื่มเมื่อกี๊บอกว่าอีก 30 นาทีจะถึงด้านบน ซึ่งก็นับถอยหลังไปเรื่อยๆไม่ถึงสักที จ๊ะเอ๋จะไปทางไหนดีค่ะเนี่ย ?


และแล้วเวลาประมาณ 17:35 น. ผมและจ๊ะเอ๋ก็มาถึงที่ประทับ(ใจ)เกสเฮ้าส์(Pratap Guest House) ตามลายแทงของคุณ kfc ว่าไว้ ไหนดูหน่อยซิว่าวิวที่บอกว่าสวยจะเป็นอย่างไร
ทีนี่เราทั้งคู่มาถึงเป็นคู่สุดท้าย เพราะกอล์ฟและอีก 2 คนมาถึงก่อนเราแล้ว ดีที่พอเรามาถึงอีกไม่เกิน 7 นาทีฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเลย


กอล์ฟได้เลือกห้อง 101 ให้เราเพราะบอกว่าวิวสวยมากอยู่ริมระเบียงสามารถมองดูเทือกเขาจากภายในห้องได้เลย อีกอย่าง เขาอยากเก็บไว้ให้เราเนื่องจากเราได้แนะนำให้มาพักที่นี่
ภายในห้องมีอยู่ 2 เตียงเล็กๆ เราเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเนื่องจากเปียกมาจากฝนที่ตกระหว่างทางตลอด หลังจากนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนเลย เพราะรู้สึกเพลียและกำลังจะเป็นไข้ ประกอบกับปวดข้อเท้าด้านซ้าย เลยทาเจลซึ่งผิดมากๆ เพราะอากาศภายนอดหนาวอยู่แล้วพอไปทาเจลยิ่งจะทำให้มันดูดความร้อนจากร่างกายไปอีก คราวนี้หล่ะสั่นงั่กๆเป็นเจ้าเข้าเลย ต้องรีบใส่ถุงมือ ถุงเท้า และเสื้อกันหนาวอีกตัวและนอนห่มผ้าห่มเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น นอนไปได้สักพักค่อยรู้สึกดีขึ้น ได้ยินเสียงจากกอล์ฟเรียกให้ออกมาดูอะไร.....


วิวเทือกเขาหิมาลัยที่เข้ามาพักตอนแรกเป็นดังรูปนี้เนื่องจากฝนตกลงมาหนักมากๆ มองไม่เห็นอะไรเลย สงสัยเย็นนี้จะผิดหวังไม่ได้ชมยอดอันนาปุรณะ เซ้าท์ อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องคิดใหม่เมื่อฝนซาลงภาพที่ได้เห็นคือ....


นี่แหล่ะ.....คือภาพที่ได้หลังจากฝนหยุดตก ฟ้าเคลียร์ขึ้นมาอีกครั้ง


ซูมไปดูกันใกล้ๆ ด้านซ้ายมือคือยอดอันนาปุรณะ เซ้าท์(Annapurna South) ยอดที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัยช่วงอันนาปุรณะ


ดูกันให้เต็มตากับยอด Annapurna South ในยามที่ต้องกับแสงอาทิตย์สีทองยามเย็น ไอหิมะบนยอดล่องลอยช่างสวยงามจริงๆ กอล์ฟและผมผลัดกันเปลี่ยนเลนส์เทเลกันอย่างสนุกสนาน เราบอกกันว่า "เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ"


ยอดนี้ พื้นเขาเป็นสีดำเข้มปกคลุมด้วยหิมะสีขาวไปทางๆดูสวยงามไปอีกแบบ


เมื่อฟ้าเคลียร์อีกครั้ง กลุ่มเมฆที่ปกคลุมยอดเขาลอยออกไป ภาพที่ต้องการเห็นก็เผยโฉมสวยงามอีกครั้ง


กอล์ฟหยิบ 40D มากดชัตเตอร์อย่างไม่ลดละเช่นกัน ช่วงเวลานี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการเก็บภาพขุนเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะอย่างภาพที่เห็นบนประทับเกสเฮ้าส์อีกแล้ว


เมื่อถึงเวลาประมาณทุ่มนึงก็ได้เวลาทานอาหารเย็นร่วมกันแล้ว ณ คืนนี้มีกลุ่มของเรา 5 คน 3 ห้องกับกลุ่มของชาวเกาหลี 3 คน 2 ห้องเพียงเท่านี้


ด้านหลังที่เห็นเป็นชาวเกาหลีครับ สนทนากับเจ้าของคล่องเชียว ส่วนกลุ่มเราคุยกันเอง อิอิ


ในชั้นล่างซึ่งเป็นห้องทานอาหารยังสามารถมองเห็นยอดเขาอันนาปุรณะ เซ้าท์ได้จากภายใน ณ เวลานี้แสงอาทิตย์ใกล้จะหมดลงเต็มที


มื้อค่ำนี้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย อาจเพราะเพลียก็เป็นได้ เราสั่งแกงไก่และไข่เจียว อร่อยมากๆ


ตบท้ายด้วยโมโม่ 2 จานรสชาติใช้ได้โดยทำเองจากคุณลุงเจ้าของเกสเฮ้าส์นี้และเสริฟโดยหลานชายที่ช่วยเหลือกันทำกับข้าวตลอด
คืนนี้คงเป็นคืนที่หนาวเหน็บอีกคืน เหลือบดูนาฬิกาที่มีตัววัดอุณหภมิช่วงตอนตี 3 บอกไว้ประมาณ 7 องศาเซลเซียส ไม่ได้ผ้าห่มหนาๆ ถุงมือ คืนนี้คงไม่รอดแน่ๆ แล้วค่อยมาตื่นในเช้าวันใหม่เพื่อเดินทางต่อไปยังกอเรปานีเตรียมขึ้นพูนฮิลล์ในอีกเช้าของวันต่อไป

ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเรื่องราวและทักทายกันครับ สวัสดีตอนเช้าวันพุธที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๑ ครับ (_/\_)

Published on www.pantip.com at [ 30 เม.ย. 51 02:53:26 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/04/E6562439/E6562439.html



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น